แซ็ก สไนเดอร์ เฉลยเหตุผลที่ "Sucker Punch" ถึงไม่มีฉบับ Director’s Cut เหมือนหนังเรื่องอื่น
ตลอดเส้นทางอาชีพการกำกับภาพยนตร์ตลอด 20 กว่าปีของ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องของการกำกับหนังออกมาได้ถูกใจผู้ชมแล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในหนังแทบทุกเรื่องของสไนเดอร์ก็คือ หนังที่เขากำกับนั้นมักจะมีฉบับตัดต่อใหม่ หรือฉบับเรียกว่า Director’s Cut ออกมาให้ชมกันภายหลังด้วย
แต่หลายคนก็แอบสงสัยว่า ในเมื่อสไนเดอร์ขึ้นชื่อเรื่องของการทำหนังที่มีเวอร์ชันพิเศษ แล้วมีหนังของเขาเรื่องไหนไหมที่ไม่มีฉบับ Director’s Cut พ่วงท้ายชื่อเรื่องอย่างเด็ดขาด ถ้าเป็นแฟนสไนเดอร์ก็จะพอเดาออกว่าหนังเรื่องนั้นคือ ‘Sucker Punch’ (2011) หนังแอ็กชันแฟนตาซีพลังหญิง ผลงานการกำกับเรื่องที่ 5 ของเขานั่นเอง ซึ่งในการสัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Collider สไนเดอร์ได้อธิบายว่าทำไมหนังเรื่องนี้ จึงเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ไม่มีฉบับ Director’s Cut
“ปัญหาของ ‘Sucker Punch’ ก็คือฉบับ Director’s Cut ของมันเป็นเพียงแค่การขยายฉากออกไปครับ มันคือฉากที่ถูกลบออกมากกว่าจะเป็นหนังจริง ๆ ที่มีโทนต่างออกไป (จากฉบับหลัก) ผมคิดว่าในบรรดาหนัง Director’s Cut ของผม Director’s Cut ของ ‘Batman v Superman’ คือตัวอย่างที่ดีในการให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากฉบับหลัก”
“แต่ผมมองว่า ‘Sucker Punch’ ไม่เคยได้ถูกเตรียมเอาไว้แบบนั้นเลย ในขั้นตอนการตัดต่อ ตอนที่เราตัดฉากในหนังเรื่องนั้นออกไป ด้วยฟุตเทจที่ผมมี มันจึงแตกต่างจากสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ และสิ่งที่ผมคิดว่าอยากจะให้มันเป็นมาก ๆ “
‘Sucker Punch’ เล่าเรื่องของเบบีดอล หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงโดยพ่อเลี้ยงจอมทารุณ เธอถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง เธอจึงเริ่มวางแผนหลบหนีและผจญภัย เธอและหญิงสาวอีก 4 คนต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อตามล่าของวิเศษ 5 ชิ้นเพื่อใช้ในการหลบหนี ก่อนที่มารร้ายจะตามพวกเธอพบ
แม้เรื่องราวการผจญภัยแฟนตาซีแนว ๆ นี้จะถือเป็นแนวที่สไนเดอร์ถนัด และบรรดาหญิงสาวที่มาร่วมแสดงก็มีเสน่ห์ แต่เนื้อเรื่องกลับทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะการเฉลยจุดหักมุมของเรื่อง ทำให้ได้คะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปเพียง 22% เป็นหนังที่ได้คะแนนต่ำที่สุดของสไนเดอร์ และทำรายได้ Box Office แบบแค่คืนทุนสร้างเพียง 89 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างทั้งหมด 82 ล้านเหรียญ
สไนเดอร์เองเป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำหนังฉบับ Director’s Cut ของตัวเองออกมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ ‘Dawn of the Dead’ (2004) รวมทั้ง ‘Watchmen’ (2009) ที่มี 2 เวอร์ชัน คือฉบับที่ยาวกว่าปกติ 24 นาที และฉบับ Ultimate Cut ที่ยาวเกือบ 4 ชั่วโมง รวมทั้ง ‘Batman v Superman: Dawn of Justice Ultimate Edition’ (2016) ที่มีฉากพิเศษ ตัวละครใหม่ และเนื้อหาที่เป็นเรต R แบบเต็มตัว
ผลงาน Director’s Cut ที่มีชื่อเสียงของเขาเองก็อย่างเช่น เวอร์ชันตัดต่อใหม่ของ ‘Justice League’ (2017) หนังรวมฮีโรเรื่องเดียวของจักรวาล DCEU ที่เกิดขึ้นจากแคมเปญเรียกร้องของแฟนหนังให้สไนเดอร์กลับมารื้อแก้ใหม่ จนกลายมาเป็น ‘Zack Snyder’s Justice League’ (2021) ฉบับ 4 ชั่วโมงที่เข้าฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงของ HBO ที่ล้างภาพเวอร์ชันแรกทิ้งไปได้อย่างไม่เหลือซาก
หรือแม้แต่ผลงานใหม่อย่าง ‘Rebel Moon’ หนังมหากาพย์ไซไฟของ Netflix สไนเดอร์เองก็ออกมายืนยันแล้วว่า ทั้ง 2 ภาคของหนังเรื่องนี้ ทั้ง ‘Rebel Moon Part One: A Child of Fire’ ตอนแรกที่จะฉายในวันที่ 22 ธันวาคมที่จะถึงนี้ และตอนที่ 2 ‘Rebel Moon Part Two: The Scargiver’ ที่จะออกฉายในวันที่ 19 เมษายน 2024 จะมีฉบับ Director’s Cut ที่เป็นฉบับเรต R แยกออกมาต่างหาก และจะฉายหลังจากฉบับปกติ (เรต PG-13) โดยฉบับเรต R นั้นจะมีฉากความรุนแรงและเรื่องเพศ ที่ทำให้เรื่องราวมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ในการสัมภาษณ์กับ ComicBook.com สไนเดอร์ได้เล่าถึงความชื่นชอบของเขาที่มีต่อหนังฉบับ Director’s Cut ที่ไม่ใช่แค่การเพิ่มฉากให้มีความยาวกว่าฉบับปกติเท่านั้น แต่มันยังทำให้โทนและเรื่องราวของหนังเปลี่ยนไปจากเวอร์ชันที่คุ้นเคย
“สำหรับผม ประวัติศาสตร์ของหนังฉบับ Director’s Cut นี่มันเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ตอนสมัยผมเรียน ผมมักจะอยู่ในโรงหนังและคิดเสมอว่า มันคงจะเจ๋งดีนะ ถ้าในหนังจะมีอีกเรื่องให้ค้นพบ เมื่อคุณเริ่มทำหนัง ในความคิดคุณจะเต็มไปด้วยเสียงที่คอยบอกว่าอยากจะเล่าอะไรบ้าง และ Director’s Cut ก็คงเป็นเพียงทางออกที่ดีที่สุด”
“แล้วหลังจากนั้น ก็จะมีเสียงอื่น ๆ มาดึงความสนใจคุุณ แต่สุดท้าย ผมก็จะจบมันลงตรงที่ว่า ‘ถ้าเกิดมันจะมีโพรงกระต่ายให้เรามุดไปเจอ ได้เรียนรู้แง่มุมต่าง ๆ ของตัวละครให้มากขึ้นได้จริง ๆ ล่ะ มันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง ?’ มันมักจะออกมาตอนที่ผมคิดซีน หรือตอนเขียนบท ผมมักจะจบเนื้อเรื่องด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่า มันน่าจะมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นอีกได้นะ”
ที่มา: Collider, ComicBook.com