Short CommentD.P. 2 หน่วยล่าทหารหนีทัพ (2023)ยังชัดเจนที่จะกระเทาะและตีแผ่ที่เล่นใหญ่เร้าใจมากขึ้นแต่กลับเหมือนไม่ค่อยเป็นเนื้อเดียวกันเพราะดูไปบ่นไปดูคอนเทนต์เกาหลีบ่อยมากแทบเหมือนอาหารจานหลักซึ่งก็คืองานหนังหรือละครกระทั่งซีรีส์ขนาดสั้นที่สร้างมาเพื่อลงสตรีมมิ่งก็ผ่านตามาค่อนข้างมาก แล้วสิ่งที่ผู้เขียนชอบจนทำให้ถอนตัวออกมาจากวังวนของงานเกาหลีไม่ได้คือความเข้มข้นของเนื้อหาที่อาจเรียกได้กว่ากล้าได้กล้าเสี่ยงกล้าเล่ากล้าเจาะลึกและกล้าเปิดโปง ในบางครั้งเรื่องที่เล่าคือเรื่องที่เป็นปัญหาที่ค่อนข้างหยั่งรากลึกในระดับโครงสร้างที่ยากจะสั่นคลอนและไม่น่าจะหยิบมาเปิดโปงได้กับความฉ้อฉลบางอย่างที่สุ่มเสี่ยง แต่สุดท้ายการได้ดูเนื้อหาสะท้อนปัญหาบางอย่างที่อาจไม่ค่อยได้เห็นก็มาจากเกาหลีเหมือนอย่างเมื่อสามปีที่แล้วมีซีรีส์ขนาดสั้นที่มาตีแผ่ปัญหาความรุนแรงในกองทัพที่เป็นปัญหาที่หมักหมมไปถึงรากแก้ว แต่ปัญหาที่เป็นก็ไม่มีการแก้ไขจนกลายเป็นคล้ายวัฒนธรรมองค์กรของกองทัพบ้านเขาที่คนภายนอกมองเข้าไปไม่ต่างจากแดนสนธยาที่ยากจะเข้าใจ และการตีแผ่ครั้งนั้นก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมถึงใจในองค์ประกอบทุกทางจนคว้ารางวัลยอกเยี่ยมจากบ้านเขาไปอย่างเต็มภาคภูมิกับ D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพสืบเนื่องมาจากซีซันที่แล้วที่เกิดความสูญเสียทำให้อันจุนโฮ (จองแฮอิน) กับฮันโฮยอล (กูกโยฮวาน) ต้องรับมืออย่างหนักเพราะความรู้สึกผิดแต่ทางกองทัพก็พยายามปิดเรื่องโดยโยนความผิดไปยังทหารผู้สูญเสีย จนกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรมที่คิมรูรี (มุนซังฮุน) ทหารที่ถูกรุ่นพี่รังแกกราดยิงทหารรุ่นพี่ที่คนดูได้เห็นเมื่อท้ายซีซันที่แล้วทำให้มีทั้งคนตายและคนเจ็บ ร้อนไปถึงเบื้องบนที่จะต้องมาเก็บกวาดซึ่งก็คือการกำจัดคิมรูรีทว่าทีม D.P. ที่มีอันจุนโฮและฮันโฮยอลก็สามารถช่วยได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ทำให้เบื้องบนคือนายทหารระดับสูงกูจาอุน (จีจินฮี) ไม่พอใจและกลั่นแกล้งทีม D.P. ที่รวมไปถึงผู้ดูแลทีมคือจ่าพัคบอมกู (คิมซองคยุน) กับผู้กองอิมจีซอบ (ซนซกกู) ทว่าเมื่อจ่าพัคบอมกูกับผู้กองอิมจีซอบรู้เงื่อนงำในการสืบสวนคดีในการเสียชีวิตในกองทัพที่จะส่งผลกระทบต่อกองทัพอย่างแรงทางกูจาอุนจึงรุกหนัก จนในที่สุดเมื่อไม่มีทางเลือกทางออกคือส่งข้อมูลนั้นคืนให้กูจาอุนโดยอันจุนโฮไปจัดการ แต่เมื่ออันจุนโฮได้เห็นข้อมูลนั้นหัวใจกลับสั่งให้เขาทำบางอย่างที่จะเขย่าความมั่นคงของกองทัพได้หรือไม่?เล่นใหญ่ขึ้นทำให้เห็นพัฒนาการที่ไปข้างหน้าที่เจาะเข้าลึกกว่าความเร้าใจก็สูงกว่าเพราะเล่นภาพใหญ่ เมื่อซีซันที่แล้วทั้งหกตอนคือการเข้าเกาะกุมหัวใจคนดูด้วยเรื่องของผลที่ทำให้มองย้อนไปหาเหตุ นั่นคือการตามจับทหารหนีทัพกลับมาเพื่อให้เห็นถึงเหตุปัญหาของการหนีทหารซึ่งก็คือเรื่องความรุนแรงในกองทัพบ้านเขา แล้วถ้านับว่าเป็นจุดเริ่มต้นซีซันที่แล้วคือการชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เป็นปัจเจกจนมาซีซันนี้ที่เล่นใหญ่ขึ้นคือว่ากันถึงระดับกองทัพที่มีอะไรไม่เคลียร์ที่ไม่ใช่สีเทาแต่ดำสนิท นั่นหมายความว่าถ้านับจากซีซันที่แล้วมาถึงตรงนี้เรื่องมีพัฒนาการที่ไปข้างหน้าที่เจาะลงลึกกว่าการที่ทหารหนีทัพแต่ลงลึกไปถึงรากที่ก่อร่างวัฒนธรรมองค์กรอันดำมืด ดังนั้นเมื่อเล่นใหญ่กว่าเรื่องบานปลายไปมากกว่าความเร้าใจที่เห็นตรงหน้าก็มากกว่าเป็นธรรมดา แล้วยังเปิดหน้าด้วยชั้นเชิงเดิมคือเริ่มจากการปูที่ความเร้าใจอยู่ต่ำสุดแล้วค่อยเพิ่มทวีขึ้นจนไปขมึงตึงในตอนสุดท้าย ซึ่งในส่วนของบทที่เอาจริงช่วงต้นยังต้องจับต้นชนปลายเพราะก็ผ่านมาตั้งสามปีแต่เมื่อเข้าที่ก็เข้มข้นจนเข้มขลังมีพลังได้อย่างเดิมในเรื่องแรงดึงดูดแต่กลับคล้ายไม่เป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมีบางเรื่องที่เหมือนเชื่อมกันไม่ติดในฉากหน้าแต่ว่าต้องคิดให้ลึกจึงจะรู้ว่าเกี่ยวข้องกัน อาจเพราะซีซันนี้คือการพัฒนาปัญหาที่ต่อยอดมาจากที่ซีซันแล้วได้วางเอาไว้ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเนื้อหาแต่ไปถึงสเกลของปัญหาที่เจาะลงให้ลึกกว่าเดิม ดังนั้นในฉากหน้าเรื่องของทหารหนีทัพเลยกลายเป็นประเด็นรองไปอย่างหมดทางเลี่ยงเพราะความต้องการลงลึกไปถึงรากของปัญหานั่นคือวัฒนธรรมองค์กรของอกงทัพบ้านเขานั่นเอง ทำให้ในเรื่องของการตามล่าตามจับทหารหนีทัพดูไม่เป็นเนื้อเดียวกันกับวัตถุประสงค์หลักแม้จะเป็นผลจากรากของปัญหาที่หยั่งลึกนั้น แต่การที่บทดึงคนดูไปใส่ใจกับเรื่องเชิงโครงสร้างด้วยวิธีการจัดการปัญหาของกองทัพที่ทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนต้องรวดร้าวทำให้ในฉากหน้าที่มองเห็นคล้ายกับการเล่าเรื่องทหารหนีทัพเป็นรายบุคคลที่เคยทำงานได้ดีในซีซันที่แล้วกลายเป็นไม่ค่อยจับใจนัก ทำให้ในเรื่องส่วนบุคคลดูลอยออกมาเพราะโฟกัสหลักไม่ได้อยู่ตรงนี้เหมือนซีซันที่แล้ว จนต้องคิดให้ลึกถึงสาเหตุของปัญหารายบุคคลจึงจะเข้าใจว่ามันก็คือเรื่องเดียวกันยังคงชัดเจนที่จะกระเทาะและตีแผ่ที่คราวนี้พยายามเขย่าเข้าไปถึงโครงสร้าง เพราะปัญหาความรุนแรงในค่ายทหารบ้านเขาเป็นปัญหาที่หมักหมมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เมื่อมีเรื่องทีก็ออกมาพูดถึงทีแต่เมื่อเรื่องเงียบก็เงียบไปรอให้เรื่องใหม่โผล่ขึ้นมาจุดประกายวนไปแบบนี้ และในซีซันที่แล้วการกระเทาะเปลือกของปัญหาและตีแผ่ให้สังคมบ้านเขาได้เห็นว่านี่คือเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรให้หายไปตามสายลม แล้วในซีซันนี้ก็ยังคงชัดเจนแต่เห็นเป็นความพยายามต่อยอดจากสิ่งที่เล่าในซีซันที่แล้วที่แม้จะเป็นเรื่องใหญ่แต่ก็คือปลายเหตุของปัญหา แล้วมาในซีซันนี้คือการลงลึกไปถึงรากแก้วเพื่อเขย่าโครงสร้างของปัญหานั่นคือภาวะแดนสนธยาของกองทัพบ้านเขาที่การจัดการปัญหาต่างๆนาๆเต็มไปด้วยความบิดเบือนกลบฝังความจริง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเองที่ทำให้การกระทำความรุนแรงต่อรุ่นน้องในค่ายทหารกลายเป็นเหมือนมรดกตกทอดกันมาเพราะเมื่อมีเรื่องใหญ่ลุกลามบานปลายกองทัพบ้านเขาใช้วิธีปกปิดบิดเบือนปัดให้พ้นตัว ซึ่งก็คือโครงสร้างของกองทัพเองที่สร้างทุกอย่างขึ้นมาที่ถ้าไม่ได้รับการปฏิรูปแก้ไขก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้กับกองทัพบ้านเขาการแสดงที่ยังโดดเด่นแม้จะเพิ่มการเน้นตัวละครมากหน้าขึ้น ในซีซันที่แล้วยอมรับว่าเหมือนเป็นเรื่องของจองแฮอินกับกูกโยฮวานที่ต่อให้มีนักแสดงมากฝีมือมาร่วมก็เป็นนักแสดงสมทบเต็มที่หรือหนักกว่านั้นกลายเป็นนักแสดงรับเชิญไป พอมาในซีซันนี้เมื่อเล่นใหญ่ขึ้นตัวละครก็มากขึ้นจึงเห็นการเน้นตัวละครที่มากหน้าขึ้นและก็ได้นักแสดงระดับยอดฝีมือมารวมกัน ซึ่งตัวหลักจากซีซันที่แล้วคือจองแฮอิน,กูกโยฮวาน,คิมซองคยุนและซนซกกูก็ยังมาครบแต่คราวนี้คนหลังมีบทบาทมากขึ้น ส่วนที่มาเสริมความเข้มข้นยังได้ระดับจีจินฮีและคิมจีฮยอนมารับบทที่ค่อนข้างโดดเด่นและอาจรวมถึงโกคยองพโยที่มาสานต่อเรื่องจากซีซันที่แล้วนิดหน่อยด้วยก็ยังได้ ซึ่งการที่เรื่องสเกลใหญ่ตัวละครที่โดดเด่นมากขึ้นทำให้สองพระเอกเหมือนไม่เด่นมากเท่าซีซันที่แล้วอาจเพราะโฟกัสหลักเปลี่ยนเป็นจับจ้องกับเรื่องโครงสร้างด้วยก็คงใช่ กระนั้นนักแสดงที่ว่ามาทั้งหมดที่เป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่องยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสุดยอดเพราะแต่ละคนก็มีช่วงเวลาที่ดีในการขึ้นจอเหมือนกันหมดจนการแสดงคือส่วนที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปอย่างสนุกเช่นกันโดยส่วนตัวคือความเร้าใจมีมากกว่าซีซันที่แล้วแต่เรื่องทางความรู้สึกกลับทำได้แค่สะกิดที่ผิว สำหรับความเห็นส่วนตัวล้วนๆในซีซันนี้มีความน่าสนใจกว่าเพราะเล่นเรื่องขนาดใหญ่กว่านั่นหมายความว่าแรงบีบอัดทางอารมณ์หนักแน่นกว่า หรือจะเรียกให้ง่ายคือมีคนตัวใหญ่ให้เกลียดซึ่งธรรมชาติมนุษย์จะรังเกียจการที่องค์กรใหญ่ทำกับคนตัวเล็กๆอย่างน่ารังเกียจแบบนี้อยู่แล้ว ทำให้ถ้าว่ากันที่ความเร้าใจซีซันนี้มีมากกว่าแน่นอนเพราะบีบหนักกว่าแต่น่าเสียดายสิ่งที่เคยเป็นมาในซีซันที่แล้วคือดราม่าย่อยเรื่องเล่าเฉพาะบุคคลในซีซันที่แล้วจับใจกว่า นั่นเพราะซีซันที่แล้วเล่าเรื่องพื้นฐานเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถประสบได้แต่ซีซันนี้เล่นที่ภาพใหญ่ที่ว่ากันตามตรงไม่มีใครโยกคลอนได้แม้ว่าจะไม่พอใจรังเกียจแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ จนเมื่อถึงบทสรุปก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนโครงสร้างได้เพราะโครงสร้างทางกฎหมายคุ้มกันไว้อย่างหนา จึงจัดว่าในความเร้าใจดูดีกว่าแต่ความรู้สึกเรื่องอารมณ์กลับไม่ปักลึกเข้าหัวใจสะกิดได้แค่ผิวๆ แถมยังสงสัยไม่หายกับทักษะการต่อสู้ตัวต่อตัวที่กลายเป็นยอดนักบู๊เอาตอนไหนนะดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก จาก Instagram netflixthภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4 / ภาพที่ 5,6,7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram netflixkr อ่านบทความซีซันแรกได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/Zj5LN7N1YdW8 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !