ไม่ใช่เจ้าหญิงอย่างที่เห็น!! แหม่ม คัทลียา เล่าชีวิตรักหมดเปลือก หลั่งน้ำตาขอบคุณที่ยังรักกัน
ข่าวบันเทิงวันนี้
เป็นครั้งแรกเจ้าหญิงวงการบันเทิง "แหม่ม คัทลียา แมคอินทอช" มาเปิดใจเรื่องราวความรักที่ไม่เคยพูดที่ไหนใน "รายการ Club Friday Show" ผลิตโดย CHANGE2561 ว่าเรื่องความดุของคุณแม่ก็ดุเหลือเกิน เพื่อนยังโทรมาไม่ได้เลย และได้เล่าที่มาของฉายา เจ้าหญิงในวงการ ที่ได้มาพร้อมความกดดันเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา อีกทั้งเปิดความจริงที่ทุกคนอยากรู้ถึงสถานะที่แท้จริงกับคู่จิ้นในตำนาน "แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง" พร้อมเล่าเรื่องราวความรักกับสามีสุดที่รัก "สงกรานต์ กระจ่างเนตร์" แบบหมดเปลือกคบกันแบบไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดและสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าคนนี้คือ คู่ชีวิต งานนี้ สาวแหม่ม ยังได้หลั่งน้ำตาเมื่อเปิดความในใจถึงลูกรักทั้งสามคน
แหม่ม คัทลียา เล่าชีวิตรักหมดเปลือก หลั่งน้ำตาขอบคุณที่ยังรักกัน
เมื่อถูกชมว่าสวยตลอดรู้สึกยังไง?
แหม่ม : ต้องรู้สึกดีอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าเราก็รู้ตัวเองเสมอว่าเวลาตอนเช้ามาหน้าของเราก็ธรรมดาเพราะยังมีคนอีกมากมายที่สวยมากในประเทศเราเราเลยไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษไปกว่าคนอื่น ๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าเกี่ยวด้วยไหมที่บ้านคุณแม่จะไม่เคยชมเลยไม่เคยอวยเราเลย ถามยังบอกว่านี่สะโพกใหญ่มากต้องออกกำลังกายแล้วนะ ตายแล้วแหม่มทำไมคิ้วรกอย่างนี้ คุณแม่จะเป็นแบบนี้ตลอดเลยไม่เคยบอกเราเลยว่าสวย
และเป็นน้องสาวที่มีพี่ชายหล่อมากในประเทศนี้ในยุคหนึ่งเขาดังมาก ตอนนั้นเรารู้สึกยังไงบ้าง?
แหม่ม : สิ่งที่เรารู้สึกมากกว่าว่าเขาหล่อหรือไม่หล่อเพราะเราเห็นกันตั้งแต่เกิดมันเลยชินตา แต่สิ่งที่เราเห็นคือ สาว ๆ มาชอบพี่ชายเราเยอะมากฉันต้องทำตัวเป็นแม่มดเพราะห่วงพี่
แล้วที่มาของการเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคนแรก?
แหม่ม : จริง ๆ เราเป็นคนธรรมดาแต่ต้องขอบคุณหลาย ๆ สื่อที่ตั้งฉายาให้ และอาจจะเป็นเพราะเราเล่นละครเรื่องที่สองหลังจากเล่นเรื่อง เพื่อเธอ ไปแล้วพอเรื่องที่สอง อยากหยุดตะวันไว้ที่ปลายฟ้า ของพี่บอย เราเล่นรับบทเป็นเจ้าหญิงแล้วตอนนั้นยังไม่ค่อยมีละครเกี่ยวกับเจ้าหญิงมากก็เลยเรียกกันว่าเจ้าหญิง ๆ ด้วยหรือเปล่า เพราะว่าสื่อเป็นคนตั้งขึ้นมาให้รู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็แค่คนธรรมดา แต่ก็กดดันนะคะ แต่พอสักพักใหญ่ ๆ จนมีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามา เราก็กดดันนะเพราะในชีวิตจริง ๆ เราไม่ใช่เจ้าหญิง เราเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ผิดถูกต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
มีหนุ่ม ๆ มาจีบเยอะไหม?
แหม่ม : ต้องบอกเลยนะคะ พี่ฉอด คือน้อยมาก ๆ เพราะในหนึ่งสัปดาห์เราเรียน 5-6 วัน เราต้องลงหน่วยกิตให้มันอัดแน่น ให้อยู่ 3 วันนี้เพื่อที่อีก 4 วันจะไปถ่ายละครเพราะฉะนั้นเรียนกับทำงานเราค่อยข้างหนักแล้วเราเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ค่อนเห็นมีใครเข้ามาหรือหน้าเราคว่ำก็ไม่รู้ ผู้ชายเข้าหาเราน้อยมากอย่าง ABAC แหม่มก็เจอกับ หนุ่ม ศรราม ตอนนั้นเขาก็ดังกว่าเรามาก
ช่วงนั้นเป็นแฟนกับ พี่แท่ง หรือเปล่า?
แหม่ม : อุ๊ย!!!! เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนถามเนอะสนิทกันมากค่ะ เพราะเล่นละครด้วยกัน อย่างที่บอกค่ะชีวิตเราอยู่ที่กองถ่ายกับมหาวิทยาลัยเท่านั้นแล้วก็อยู่กับแม่ พี่แท่ง เป็นเหมือนรุ่นพี่ที่เราไปร่วมเล่นกับเขาและเขาดังกว่าเรามากแล้วด้วยความที่เราใหม่มา เขาก็เลยพยายามที่จะทำลายกำแพง (แต่ที่คนอินกันเยอะมากเพราะเราเป็นคู่ขวัญคนเลยอินทั้งนอกจอในจอเลย) สมมติมายืนคู่กันถ่ยรูปปุ๊บ ก็จะมีเสียงกรี๊ดดังเข้าไปอีก ที่เขาเรียกว่า คู่จิ้น ๆ ที่ทุกคนยังคงมองเราตลอดเวลาว่าเคมีของเราคงเข้ากันได้ดี ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาเจอกันมีเล่นเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังเจอกันสวัสดี ทักทายกันเหมือนเดิมค่ะ
คนก็ยังมองว่าเพราะพี่แท่ง อกหักจากเราจนทุกวันนี้ยังไม่ยอมมีใครสักคนเลย ในขณะที่แบบว่าแหม่ม เป็นคุณแม่ลูกสามไปแล้ว?
แหม่ม : ไม่ อันนั้นเจ้าชายกลัวฝนตัวจริง จนกระทั่งเจอพี่กบ กับ มอส แล้วก็คุยกันไปกันมาเขาก็บอกมาว่าตาคนนั้นหาคนอยู่ด้วยยาก เป็นเจ้าชายที่กลัวฝนค่ะ
ครั้งแรกที่เจอกับคุณสงกรานต์ เจอกันยังไงที่ไหน?
แหม่ม : เป็นการนัดให้เราเจอกันของเพื่อน ๆ ค่ะ เพื่อนเป็นคนนัดให้ซึ่งวันนั้นเพื่อน ๆ ก็อยู่ด้วยพอเราไปถึงร้านที่เพื่อน ๆ นัดไว้เปิดประตูเข้าไปเขาก็ลุกขึ้นยื่นให้เรา (เราก็แอบคิดเหมือนที่พ่อทำให้แม่เลย) ก็รู้สึกประทับใจเบา ๆ แต่ยังไม่ได้ชอบหรือปิ๊งเลยนะคะ ในตอนนั้นเพื่อน ๆ ก็คงพยายามที่จะเซ็ตให้เขานั่งตรงที่พอเวลาเราเดินมาถึงเขาต้องลุกขึ้นมาแล้วก็นั่งใกล้กัน (แต่มีเคสที่เราเจอเขาก่อนหน้านั้นอีกค่ะ แต่เราจำเขาไม่ได้คือ ตอนนั้นไปเจอกันที่โปโล ที่ออกกำลังแล้วแหม่มก็นั่งอยู่กับพี่ไก่ แล้วบี่บี๋ เดินมาสวัสดีครับพี่ไก่ แล้วคือตอนนั้นเรากำลังคุยเรื่องทริปไปดำน้ำกันอยู่แล้วพี่ไก่ เขาก็แนะนำว่านี่ แหม่ม นะ แหม่ม นี่ บี่บี๋ นะช่วงนั้นเราก็มนุษย์สัมพันธ์ดีเราก็ชวนเขาไปดำน้ำไหมค่ะ ซึ่งเรื่องนี้คุณบี่บี๋เขามาเล่าให้เราฟังทีหลังเขาเจอเราก่อนแล้วเรายังชวนเขาไปดำน้ำเลย) ตอนที่มาเจอเขาอีกครั้งหนึ่งตอนนั้นคือ ถามว่าเขาสเปคไหมคือตอนนั้นเราก็อายุ 32 แล้ว ไม่ใช่แบบ 22 เพิ่งเรียนจบ เราก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาประมาณหนึ่งแล้ว ความรู้สึกไม่ได้เหมือนแบบหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพิ่งเจอกัน
แต่เห็นว่า บี่บี๋ เขาประทับใจตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่โปโลคลับแล้ว?
แหม่ม : เราไม่รู้เลยค่ะเพราะเมื่อก่อนเราหน้าคว่ำมากไม่รู้ว่าหน้าเป็นอาวุธหรือเปล่าคนเลยไม่ค่อยเขามาหาเรามาก พูดตรงนี้เลยมีคนพูดด้วยว่าเราหยิ่ง (ตอนนั้น บี่บี๋ เขาเหมือนคุ้น ๆ ว่าเราเป็นคนในวงการแต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เด็กไม่ค่อยได้ดูทีวีดูละครไทยเท่าไหร่
เพราะมุมนี้หรือเปล่าที่ทำให้แหม่ม รู้สึกดีเพราะเขาไม่ได้เขามาหาเราเพราะว่าเราเป็นคนในวงการ?
แหม่ม : จริงค่ะพี่ฉอด คือเขาก็เข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจแบบว่าสนใจผู้หญิงคนนี้ แต่ไม่ได้สนใจว่ามีชื่อเสียงหรือว่าอะไรแล้วเราชอบที่เขาค่อย ๆ เขามาเรียบร้อย ไม่ได้จู่โจมเราเข้ามา ความสัมพันธ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแลกเบอร์ แล้วก็ส่งข้อความหากันประมาณหนึ่งก่อนแล้วก็ค่อยนัดออกมาเจอกันแล้วก็คุย (นานไหมที่กว่าจะเป็นแฟน พี่ฉอดเชื่อไหมว่าไม่เคยนัดแนะสรุปวันนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ไม่มีวันครบรอบ เพราะเราเป็นคนไม่ชอบเซอร์ไพรส์ แต่ในตัวของเขาคือมีความโรแมนติกอยู่แล้วในความเป็นสุภาพบุรุษของเขาแบบวันเกิดเราเขาก็จะทำกับข้าวให้ทาน ลูก ๆ ก็จะแซวว่าวันเกิดแม่ ๆ ไม่พาไปไหนเหรอ เขาก็บอกว่านี่ไงวันเกิดทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้กิน
แล้วที่บอกว่าไม่มีการขอเป็นแฟน แล้วมาคบกันตอนไหนยังไง?
แหม่ม : เรามาคบกันตอนโตด้วยหมายความว่าอายุ 32 มีอะไรเราก็พูดกันตรง ๆ เราไม่ได้มีการแอบซ่อนว่าเราคบกันนะ ถามว่าพูดกันตรง ๆ ตอนนั้นเราก็เป็นห่วงเขามากกว่าเนื่องจากเขาไม่ใช่คนในวงการ แล้วเขาไม่ค่อยเป็นคนสาธราณะอยู่แล้วบวกกับเป็นคนเรียบ ๆ เงียบ ๆ เวลาไปไหนเขาค่อนข้างอึดอัด เราก็เลยไม่ได้หวือหวาไปในที่ที่มีคนเยอะ ๆ ไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดมันเป็นช่วงแรก ๆ ของยุคการมีปาปารัซซี่ การมีหนังสือบันเทิงหลากหลายมากมาย จากคนที่เก็บตัวเงียบ ๆ แล้วมาบวกกับสภาพสังคมที่เกิดขึ้นแบบนี้ตอนนั้นเป็นปัญหาเลยค่ะ เราค่อนข้างคุยกันเยอะเพราะเราทั้งคู่ต่างไม่เข้าใจกันแต่แล้วสุดท้ายก็ก้าวข้ามมันได้
มีอาการหึงหวงกันบ้างไหม?
แหม่ม : ไม่เชิงว่าหวงค่ะ แต่เขาจะห่วงมากกว่า กลับบ้านกลับกี่โมง ถึงบ้านหรือยังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามากเราไปถ่ายละครกลับก็เหนื่อยแล้ว เรารายงานแม่ พอเราอาบน้ำเสร็จเราก็นอนแล้วเขาก็คงวรอว่าเรากลับบ้านมาหรือยังพอตื่นเช้ามาข้อความมหาศาลเลย เขาก็บอกว่าเราอาจจะไม่รู้สึกอะไรเราแค่ห่วง
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาคนนี้คือ คนที่เราจะใช้ชีวิตจากนี้ด้วยตลอดไป?
แหม่ม : ข้อที่หนึ่งที่บอกไปแล้วนะคะ คือความเป็นสุภาพบุรุษอันนี้สำคัญมากมันค่อนข้างครอบคลุมหมดเลย เขาให้เกียรติเรา เขาให้เกียรติครอบครัวเราเขาไม่เอาเราไปพูดที่ไหนแม้แต่ในกลุ่มเพื่อน เสมอต้นเสมอปลายตลอด และเรามีข้อตกลงกันว่าถ้าเราทะเลาะกันจะทะเลาะกันไม่เกิน 1 วัน พื้นฐานคือเราทั้งคู่รักกัน และยิ่งพอเรามีลูกคืออารมณ์ของเราเย็นลงมาก แต่เขากลับกลายเป็นคนที่โมโหเร็วกว่าเพราะว่าเขาทำงานเป็นคนคิดเร็ว คิดไปข้างหน้าแต่พอมีลูกดีขึ้นเยอะค่ะ และเป็นคนที่ไม่เจ้าชู้เลยเป็นคนรักครอบครัวมากซึ่งอันนี้เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต
แต่วันนี้ครอบครัว กระจ่างเนตร เป็นครอบครัวที่ต้องบอกว่ามีความรักที่แข็งแรงแล้วก็ดูแบบว่าภาพในอินสตราแกรมเป็นครอบครัวที่ดูรักและมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันเยอะแยะมากมาย?
แหม่ม : ชอบทำอะไรด้วยกันเพราะเรารู้สึกว่าไม่รู้วันหนึ่งวันใดที่ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาจะไปเล่นกับเพื่อนไปอยู่กับเพื่อนเราเลยพยายามกอบโกยเวลาที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสามแล้ว ตอนนี้คือ ลูกคนโตเป็นหนุ่มแล้วด้วย?
แหม่ม : น้องแมค ตอนนี้อายุ 15 แล้วค่ะ น้องคิน น้องเนซซี่ พอเขาโตขึ้นตอนนี้เราก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะมีสาว ๆ เข้ามาชอบ เราถูกใจไม่ถูกใจนะคะ
มีใครที่มีทีท่าจะเข้าวงการบ้างไหม?
แหม่ม : ดูท่าทางคือ ยังไม่มีนะคะ พี่ฉอด แต่ว่าดูแล้ว แมค น่าจะเป็นคนที่มีแววที่สุดค่ะเพราะเขาเป็นคนขี้เล่นแบบ พี่วิลลี่ เขาก็จะบอกว่าแม่ ๆ หล่อไหม ทรงผมนี้เป็นยังไงบ้าง แต่พอเขาเจอคนเยอะ ๆ เขาก็จะเป็นอีกแบบเลยนะคะ
แต่ลูก ๆ ห่วงคุณแม่มาก?
แหม่ม : แมค มีหวงแม่แบบว่าถ้าเขาเห็นว่าค่ำแล้วแม่ยังไม่กลับก็จะโทรหา ทักหาเรา แต่ตอนนี้ แมค ได้ส่งต่อสิ่งนี้ไปสู่ น้องคิน ล่ะที่จะเป็นคนมาตามเราเขาโทรหาเราเยอะมากบางทีเราทำงานอยู่เราก็จะบอกเขาว่าคิน ๆ แค่นี้ก่อนนะเพราะทุกคนในกองรออยู่เขาก็จะบอกว่าไม่ได้ ๆ คุณแม่จะเสร็จกี่โมง (เราก็ไม่สามารถบอกเขาได้เป๊ะ ๆ ว่าจะเสร็จกี่โมงเพราะเวลาคนทำงานในวงการบันเทิงเราก็บอกไปว่าประมาณเขาก็จะถามว่าประมาณเท่าไหร่กี่นาที) แล้วก็มีถึงขั้นว่าเราไปถ่ายในป่าเขาก็หวงเราว่าเราเปลี่ยนเสื้อตรงไหน เราก็บอกว่าเขามีเต็นท์ให้เปลี่ยนมีใครเห็นแม่ ๆ ไหม แล้วบางครั้งคือต้องถ่ายรูปแล้วส่งไปให้ คิน ดูว่าวันนั้นใส่แบบไหนที่ถ่ายละคร แต่ก็ชื่นใจอีกแบบ แต่ลูกสาวคนเล็กเท่าที่เราสังเกตคือเขามีความเหมือนเรามาก สำหรับเนซซี่ จะเป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้นักเลง ๆ นิดนึง เพราะคุณยายจะเรียกเขาว่า ดาวเรือง เพราะเมื่อก่อนจะมีละครเรื่อง ดาวเรือง แล้วนางเอกจะแก่น ๆ เถียงคน สู้คนคุณย่าจะคือ เวียนหัวกับ เนซซี่ มากจนคุณยายพูดว่าแม่เธอตอนเด็ก ๆ เขาเรียบร้อยมากเลยนะ เขาไม่เป็นแก่นเหมือนเราหรอก
แต่ลูก ๆ ดูเหมือนไม่เข้าใจความดังของคุณแม่เท่าไหร่?
แหม่ม : เขาก็งงค่ะ พี่ฉอด อย่างตอนแมค 7-8 ขวบ มีคนเจอแล้วยิ้มให้เข้ามาขอถ่ายรูป เขาก็จะแบบแม่ ๆ ทำไมเขารู้จักแม่ ๆเราก็อธิบายให้เขาฟังว่าเขาคงรู้จักจากที่แม่ออกทีวี ออกรายการบ้าง
ที่มีลูกเยอะเพราะกลัวลูกเหงาเพราะตัวเองมีแค่พี่ชายคนเดียว?
แหม่ม : ใช่ค่ะ เพราะเราชอบอยากมีลูกเยอะ ๆ ความที่เรามีพี่น้องแค่สองคน พอพี่วิลลี่ ไม่อยู่เหงามาก พอแม่ดุไม่มีพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะหันไปหาใคร แต่ตอนนี้เรามีลูกสามคนเราทำความเข้าใจเลยว่าถึงเราเลี้ยงเหมือนกันแต่นิสัยที่โดยกำเนิดแต่ไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันอะไรเยอะนะคะ เพราะบางคนอาจจะได้เราไป แต่อีกคนก็ได้จากคุณพ่อเขาไป
วันนี้คุณแม่คนสวยมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วอยากจะบอกอะไรกับลูก ๆ ทั้งสามคนที่เป็นหัวใจของคุณแม่บ้าง เพราะถึงวันนี้ คุณแม่กล้าที่จะพูดว่าแม่มีชีวิตอยู่เพื่อลูก?
แหม่ม : ก็จริงอย่างที่ พี่ฉอด พี่อ้อย พี่อั๋น พูดนะคะว่าแน่นอนคนเป็นแม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกอยู่แล้วอยากจะให้ลูกทั้งสามคนที่ดูอยู่นะคะ อย่าลืมสิ่งที่พ่อและแม่สอนเราจะต้องเป็นคนดีอย่างไร ดูแลระมัดระวังอะไร เป็นพี่น้องต้องรักกัน พี่ต้องดูแลน้อง น้องต้องเชื่อฟังพี่ เกิดวันใดวันหนึ่งแม่ ๆ กับพ่อไม่อยู่แล้วเราก็ต้องดูแลกันเองแล้วก็รักใครกันมาก ๆ และที่สำคัญที่สุดเราต้องเป็นคนดีค่ะ (น้ำตาคลอ) แม่ ๆ รัก แมค คิน เนซซี่ ที่สุดจะร้องไห้
ทุกวันนี้พูดได้เลยว่าชีวิตของ แหม่ม คัทลียา อยู่เพื่อลูก?
แหม่ม : แหม่ม ว่าแม่ทุกคนนะคะ ลูกต้องมาที่หนึ่งโดยอัตโนมัติ โดยสัญชาตญาณแต่เชื่อไหมว่าเราไม่เคนเห็นเวอร์ชั่นตัวเองนี้เลย แต่ว่าถามว่าชอบเด็กไหมชอบเด็กมาก ชอบเล่นกับเด็ก แต่เราไม่ได้นึกว่าจะแต่งงานเป็นคุณแม่แต่ภาพที่ไกลมาก แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราไม่อยากแต่งงานแต่เป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนไหมก็มีเหมือนกัน .. คนนี้ยังไม่น่าจะใช่
ในความเป็นแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แล้วในความภรรยาเป็นภรรยาสไตล์ไหน?
แหม่ม : เราก็ไม่ได้มีภาพว่าเรามีสามีเราต้องเป็นสไตล์นั้น สไตล์นี้อยู่ในหัวแต่พอมีสามีเราก็ค่อนข้างปรับเข้าหากันค่อนข้างมากโดยอัตโนมัติน่าจะเป็นทุกบ้าน ซึ่งแหม่ม รู้สึกว่าอะไรยอมได้เราก็ยอมเราก็ให้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวจริง ๆ เราก็ไม่ไปข่ม ไม่ไปทับไลน์ หรือมีอะไรที่ต้องตัดสินใจเราก็ให้เขาเป็นคนตัดสินเพราะเราไว้ใจในการตัดสินใจของเขา
อะไรคือ สิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เราปรับตัวเป็นภรรยาจากความโสดในวันนั้นเปลี่ยนมาเป็นภรรยาเป็น แหม่ม คัทลียา กระจ่างเนตร์?
แหม่ม : มีลูกค่ะ พอเรามีลูกเราก็ต้องปรับ ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวนี้ไปได้ดีที่สุด ทุกข์ให้น้อยที่สุด ปัญหาให้น้อยที่สุดเพราะว่าเราทำเพื่อลูก แต่ถ้าถามว่าทำไมเป็นผู้ชายคนนี้เพราะเขามีความใกล้เคียงคุณพ่อเราที่สุดเราเป็นคนที่ช่างจู้จี้เหมือนกัน เรื่องเยอะ ยอมรับเลย ที่ต้องเป็นผู้ชายคนนี้เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษอันนี้สำคัญมาก
ผ่านอะไรต่อมิอะไรมากมาย 30 ปีในเส้นทางของวงการบันเทิงที่เราให้ความสุขกับคนอื่น ซึ่งแน่นอนคนที่ให้ความสุขกับคนได้เราต้องหัวเราะทุกวันเนอะเราต้องผ่านเรื่องราวที่มีทั้งเจ็บที่สุด เหนื่อยที่สุดและมีความสุขที่สุดมาแล้ว ไหน ๆ มานั่งอยู่ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW เรามักเรียนรู้วิธีคิดจากชีวิตของหลายๆคนอะไรในชีวิตที่ผ่านมาแล้วอยากจะแบ่งปัน แล้วรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นวิธีคิดและเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นบ้างในการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น?
แหม่ม : สำคัญที่สุดเลยนะคะ แหม่ม ว่าคือการมีครอบครัวที่อบอุ่นสำคัญมากของแหม่ม ไม่ว่าจะไปเจออะไรมาหนักหนา สาหัส ขาดความรัก ขาดความเข้าใจตรงไหน พอเราหันมาหาครอบครัวจะซัพพอร์ตเราเสมอไม่ว่าจะเป็นก่อนที่เราจะมีครอบครัวก็คือ คุณพ่อคุณแม่หรือพี่วิลลี่ แหม่ม โชคดีที่มีครอบครัวที่ดีและเข้าใจสำคัญคือเราต้องพูดกันให้มากขึ้นความรัก ความผูกพัน จิตใจที่ใสสะอาดและการมองโลกในแง่ดี ในแง่บวกการมีความหวังมีกำลังใจมันจะเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ชีวิตเราก้าวไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง ต่อจะมีอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่นะคะ อยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนว่าทุกคนเกิดมาเท่ากันเพียงแต่ว่าตั้งสติให้ดีหากำลังใจจากคนรอบข้าง จากคนที่เขารักเรา เพราะฉะนั้นมองโลกในง่ดี คิดบวกเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงค่ะ เป็นกำลังใจให้ และอีกอย่างสำหรับตัวแหม่มเลยคือต้องขอบคุณ ครม. ที่รักและ ซัพพอร์ตให้กำลังใจแหม่ม มาตลอด ขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่ติดตามผลงาน แหม่ม มาตลอดแล้วก็ที่ (น้ำตาไหล) พูดมาเสมอว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้ ก็คงไม่มีแหม่มวันนี้ ก็ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้มาโดยมาตลอด และดูแลหัวใจแหม่ม พูดเสมอคนเหล่านี้คือลมใต้ปีก แหม่ม มาตลอดขอบคุณค่ะ (ยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมน้ำตา)
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :