จะหยุดอยู่แค่หนึ่งจักรวาลทำไม ในเมื่อตอนนี้ประตูสู่ Multiverse ได้เปิดออกแล้วหลังจากทำเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ปั่นป่วนไปแล้วในซีรีส์ LOKI (2021) แนะนำการมีอยู่ของพหุจักรวาลนับอนันต์ในซีรีส์แอนิเมชั่น What If...? (2021) จนได้มีการแง้มประตู นำตัวละครจากพหุจักรวาลเข้ามาโลดแล่นบนหน้าจอภาพยนตร์ร่วมกันอย่างใน Spider-Man: No Way Home (2021) ที่ขยายขอบเขตของจักรวาลให้กว้างขึ้นไปอีก แต่ในครั้งนี้ จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล หรือ MCU จะไปให้ไกลกว่าครั้งไหน ๆ แถมบ้ายิ่งกว่าที่เคย กับภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุด ฟอร์มยักษ์แห่งปีจาก Marvel Studios อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness หรือ จอมเวทย์มหากาฬ ในมัสติเวิร์สมหาภัยDoctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) ภาพยนตร์เรื่องที่ 28 จาก Marvel Studios ภาพยนตร์เดี่ยวเรื่องที่ 2 ของคุณหมอแปลกจอมเวทย์แห่งโลกที่ดำเนินเรื่องราวอยู่ใน MCU บอกเล่าเรื่องราวของภัยร้ายครั้งใหม่ที่ Dr. Stephen Strange (Benedict Cumberbatch) จะต้องรับมือผ่านพหุจักรวาลหรือ Multiverse อันบ้าคลั่ง หลังจากที่ได้สัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับมันไปนิดหน่อยจากใน Spider-Man: No Way Home (2021) ครั้งนี้ Dr. Strange และร่วมกับเหล่าฮีโร่ทั้งหน้าเก่าและใหม่อย่าง Wanda Maximoff / Scarlet Witch (Elizabeth Olsen), Wong (Benedict Wong) รวมถึงฮีโร่สาววัยรุ่น LGBTQ+ คนใหม่ล่าสุดอย่าง America Chavez (Xochitl Gomez) จะต้องช่วยกันหยุดยั้งภัยอันตรายอันใหญ่หลวงที่กำลังคืบคลานเข้าสู่จักรวาล ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไปมันทั้งบ้า เดือด และน่ากลัว จนคนดูตามแทบไม่ทันหากจะมีภาพยนตร์จาก MCU เรื่องไหนที่เล่นกับคนดูจนหน้าเหวอ ก็คงจะเป็นเรื่องนี้นี่แหละ ที่ตัวภาพยนตร์จัดหนักใส่เต็มให้กับคนดูตั้งแต่เปิดเรื่อง!!! ไม่มีการวอร์มอัพใด ๆ ทั้งสิ้น พาคนดูขึ้นรถไฟเหาะไปเลย มีการแวะพักเบรคบ้างเพื่อทำความรู้จักกับตัวละครใหม่อย่าง America Chavez และป้อนข้อมูลใหม่ ๆ อย่างเรื่องราวของ Multiverse เข้ามาอย่างเร็วท่วงที จากนั้นก็กลับไปบ้าระห่ำกันต่อจนแทบไม่ให้คนดูได้พักหายใจกันเลยทีเดียว (ขนาดฉาก End Credits ก็ยังไม่เว้น) ฉากแอ็คชั่นมีความเล่นใหญ่และอลังการมากขึ้น พอ ๆ กับลูกบ้าอันแปลกใหม่ของฉากพิศดารเหนือจินตนาการอย่างการร่ายมนตร์คาถาของเหล่าจอมเวทย์ ที่ในครั้งนี้มีให้ชมมากกว่าที่เคย และไม่ธรรมดาการที่ได้ผู้กำกับไตรภาค Spider-Man (2002-2007) อย่าง Sam Raimi ผู้ที่คว่ำวอดในการเล่าเรื่องโทนสยองขวัญมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า ทำไมตัวภาพยนตร์จึงมีโทนสยองขวัญสอดแทรกเข้ามาอยู่เนื่อง ๆ มีฉากที่น่ากลัว และมืดมนมาก ๆ (บางฉากคือแทบจะขึ้นเป็นเรต R แล้วนะ) เราสามารถสัมผัสมันได้ชัดเจนผ่านทางภาพ มุมกล้อง และเสียงบรรเลงที่บิ้วอารมณ์ใหม่ขึ้นมาอย่างกับดูหนังสยองขวัญตามสไตล์ของผู้กำกับ ที่ทำให้เราทั้งรู้สึกกลัว ลุ้นระทึก และวิตกกังวลไปพร้อม ๆ กันกับเหตุการณ์ที่เหล่าตัวละครนั้นจะต้องเผชิญ ซึ่งการที่ได้ Sam Raimi เข้ามากำกับก็นับว่าเป็นความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่องเชิงสยองขวัญเข้าสู่ MCU อันเป็นรสชาติใหม่ที่น่าสัมผัสและไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่แบบนี้อย่างไรก็ตาม การที่ตัวภาพยนตร์จัดหนักใส่เต็มให้กับคนดูตั้งแต่เปิดเรื่อง การหาทางลงเพื่อจบภาพยนตร์อย่างถูกต้อง เหมาะสมและสวยงามจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เองก็ไม่สามารถรับมือกับทางลงได้ดีพอ จึงทำให้ในช่วงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจึงรู้สึกเหมือนถูกตัดจบ จืดจาง และไม่มีน้ำหนักที่หนักแน่น เมื่อเทียบกับตอนต้นเรื่อง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความยาวของภาพยนตร์ที่มีเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเอง ทำให้พอมีการอัดข้อมูลไปแน่นมาก ๆ ตั้งแต่ต้นเรื่อง การสรุปปมของเรื่องให้ครบทุกอย่างภายในเวลาอันจำกัดจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่กระนั้นเอง ตัวภาพยนตร์ก็ยังอยู่ในระดับที่เข้าใจได้ (ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย) หากคิดถึงเพื่อการต่อยอดเรื่องราวของตัวละครที่ต้องดำเนินกันต่อไปในครั้งหน้าหมอแปลกเท่ วันด้าเยี่ยม รักที่สุด คือ น้องอเมริกา!!!บทบาทของตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน บางตัวละครดีกว่าที่คาดคิดไว้ด้วยซ้ำ มาเริ่มกันที่ตัวละครพระเอกหมอแปลกของเราอย่าง Dr. Strange ที่ถึงแม้ในเรื่องจะมีตัวละครหลัก และ Cameo รับเชิญสุดเซอร์ไพรส์มากมาย (จนบางครั้งเราก็เริ่มเอะใจว่า นี่มันหนังของหมอแปลกจริง ๆ ใช่ไหม?) แต่ Benedict Cumberbatch ก็สามารถยกระดับบทบาทของ Dr. Strange ได้ขึ้นไปอีกขั้น เราจะได้เห็นถึงช่วงเวลาที่ตัวละครนั้นมีความสับสน และความเสียใจจากเรื่องที่พบผ่านกับความสัมพันธ์ระหว่าง Christine Palmer (Rachel McAdams) และเรื่องที่จะต้องตัดสินใจในการกอบกู้จักรวาล เสมือนเป็นเส้นทางที่ต้องทดสอบตัวตนของ Dr. Strange เองว่าตัวเขาเป็นบุคคลแบบไหน รวมถึงเหล่าตัวแปรต่าง ๆ ของ Dr. Strange ไม่ว่าจะเป็น Defender Strange และ Sinister Strange ที่ต่างก็มีความคิดและเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และถึงแม้จะมีบทในเรื่องไม่มาก แต่ Benedict ก็สามารถแสดงศักยภาพในการนำเสนอเหล่าตัวแปรได้อย่างน่าชื่นชมถึงกระนั้น ตัวละครที่น่าจะมีผลกระทบทางอารมณ์มากกว่ากลับเป็นตัวละคร Wanda Maximoff ที่ตอนนี้ได้กลายเป็น Scarlet Witch ไปเรียบร้อยแล้ว ในตัวภาพยนตร์ Wanda ต้องแบกรับความเจ็บปวดจากความสูญเสียอย่างมากมาย จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ของเธอ ซึ่ง Elizabeth Olsen สามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดของผู้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และความต้องการอันแรงกล้าในการนำสิ่งดังกล่าวกลับคืนมาได้อย่างดีงามมาก ๆ แต่น่าเสียดายที่คิดว่าเวลาในการเล่าเรื่องน้อยไปหน่อย จึงทำให้ซีนอารมณ์โศกเศร้าอาจจะไม่ได้อิมแพคเท่าที่ควรแต่ตัวละครที่น่าจะเรียกเสียงชอบของใครหลาย ๆ คนได้อยู่หมัด (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย) นั่นก็คือ America Chavez ที่รับบทโดยน้องนักแสดงสาว Xochitl Gomez ที่ต้องบอกว่า เธอคือความสดใสของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแท้จริง แถมยังคอยช่วยผลักดันตัวละครอย่าง Dr. Strange ให้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น และถึงแม้ว่าบทของเธอจะอยู่เคียงคู่กับ Dr. Strange ในหลายฉาก แต่เราแทบจะได้รู้ความเป็นมาของเธอน้อยมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็หวังว่า เรื่องราวของเธอจะได้รับการสำรวจที่มากขึ้นในเรื่อง ๆ ต่อไปจนนำไปสู่การตั้งรวมทีม Young Avengers ร่วมกับเหล่าเพื่อน ๆ ฮีโร่วัยรุ่นของเธอ เรียกได้ว่า เธอคือตัวละครสำหรับอนาคตในจักรวาล MCU ได้เลยทีเดียวสำหรับตัวละครสมทบอื่น ๆ ก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมตามมาตรฐานอย่างตัวละคร Wong ของ Benedict Wong ที่ในครั้งนี้เราจะเห็นบทบาทและความรับผิดชอบของเขามากขึ้นจากภาคที่แล้ว จนได้กลายเป็นคู่หูปกป้องจักรวาลเทียบเคียง Dr. Strange ได้เลย Rachel McAdams ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างตัวละคร Christine กับ Dr. Strange ที่ต่างฝ่ายต่างรู้ถึงสถานะของตัวเองดี จึงเลือกที่จะเป็นแบบนั้น และสำหรับตัวละครเพื่อนเก่าอย่าง Karl Mordo ของ Chiwetel Ejiofor ที่ครั้งนี้มาในรูปแบบของตัวแปรจากพหุจักรวาล ก็แสดงตัวเป็นเหมือนทั้งเพื่อนรักเพื่อนร้ายที่ทั้งตัว Dr. Strange และคนดูก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดขึ้นมาเลย แถมยังชื่นชอบขึ้นไปซะด้วยซ้ำ รวมไปถึงตัวละคร Cameo ที่มารับเชิญในเรื่องอย่างคับคั่งที่คนดูเห็นแล้วจะต้องว้าวแน่นอน ก็ขอให้เข้าใจว่า ควรให้ความสนใจถึงความตื่นเต้นที่ได้เห็นพวกเขา มากกว่าจะไปโฟกัสถึงบทตัวละครที่มันน้อยเกินไป เพราะ พวกเขา คือ ตัวละครที่มาเพื่อแฟนเซอร์วิสคนดูโดยเฉพาะ (แต่เชื่อว่าคงยากที่จะทำใจแบบนั้น กับตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน)No Play Safe Modeหากคุณไม่ใช่เหล่าแฟน ๆ ที่ติดตามเรื่องราวของ MCU มาก่อนสักเล็กน้อย บอกได้เลยว่า นี่เป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องของ MCU ที่เป็นการดีหากคนดูจะทำการบ้านมาก่อนอย่างน้อยก็เพื่อความเข้าใจในเรื่องราวที่มากขึ้น เพราะอย่างที่บอกไปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดหนักใส่เต็มตั้งแต่เปิดเรื่อง ไม่ได้มีการทบทวนของตัวละครมากนัก โดยเฉพาะสาเหตุของความเจ็บปวดอันแสนโหดร้ายและเศร้าโศกของ Wanda Maximoff / Scarlet Witch ที่เนื้อเรื่องเป็นผลกระทบหลักมาจากซีรีส์เดี่ยวของเธออย่าง WandaVision (2021) รวมไปถึงเรื่องราวของ Multiverse และตัวแปรอันหลากหลายที่คนดูจะเข้าใจได้ยิ่งขึ้นหากรับชมซีรีส์ LOKI (2021) และซีรีส์แอนิเมชั่น What If...? (2021) มาก่อน นี่เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของ Marvel Studios ที่จะสามารถเล่นกับตัวละครหรือเรื่องราวของจักรวาลไหนก็ได้ และไม่มีคำว่าเพลย์เซฟโหมดอีกต่อไป เพราะ เนื่องด้วยการเชื่อมโยงและร้อยเรียงเรื่องราวร่วมกันผ่านทั้งจอภาพยนตร์และซีรีส์มาตลอด 10 กว่าปี การได้เล่าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความตื่นเต้นสุด ๆ ของเหล่าแฟน ๆ ที่จะได้เห็นเรื่องราวครั้งถัดไปของตัวละครMultiverse is going Mad!!!หลังจบมหากาพย์ศึกมณีพิทักษ์จักรวาล Infinity War ไปใน Phase 3 ของ MCU อย่าง Avengers: Endgame (2019) และ Spider-Man: Far From Home (2019) Doctor Strange in the Multiverse of Madness ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของจักรวาล MCU ด้วยการเป็นเรื่องราวที่ขยายขอบเขตของจักรวาลไปไกลสุดสู่ Multiverse อันไร้ขีดจำกัด ที่ต่อจากนี้ไป Marvel Studios จะเล่นทุกอย่างได้ดั่งความต้องการ เช่นเดียวกับฉาก End Credits ตัวแรกของเรื่อง (มีทั้งหมด 2 ฉาก End Credits นะ) ที่เช่นเดิมทำหน้าที่บอกใบ้ถึงการผจญภัยครั้งใหม่ของ Dr. Strange ที่แฟน ๆ ต่างคาดเดากันว่า เรื่องราวต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นกำลังพาคนดูไปสู่มหากาพย์แห่งสงครามระหว่าง Multiverse อันยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งอย่าง Secret Wars ที่แฟน ๆ ทั่วโลกต่างรอคอยและคาดหวังให้เรื่องราวรวมพลเหล่าฮีโร่ขนาดใหญ่นี้ถูกดัดแปลงขึ้นสู่จอภาพยนตร์ ซึ่งคิดว่ามันคงจะเป็นประสบการณ์การเดินทางผ่านโลกภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นและตระการตามากสุด ๆ สำหรับ MCUโดยสรุป Doctor Strange in the Multiverse of Madness คือ การเดินทางของ Dr. Strange ที่บ้ากว่าครั้งไหน ๆ มีสีสันที่แปลกตา และรวดเร็วเป็นอย่างมาก รวมถึงการมาของโทนแนวสยองขวัญเข้าสู่ MCU ก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติใหม่ที่ Marvel Studios ได้นำเสนอให้เราได้ลองสัมผัสกันในโรงภาพยนตร์ และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดในแง่ของการเล่าเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือเรื่องที่คนดูจะรู้สึกสนุก ตื่นเต้น และเซอร์ไพรส์ไปพร้อม ๆ กับตัวละครในเรื่องอย่างที่สุดจริง ๆ8/10 - It's The Real MadnessMarvel Studios' Doctor Strange in the Multiverse of Madness จอมเวทย์มหากาฬ ในมัสติเวิร์สมหาภัย เข้าฉายแล้ววันนี้ในทุกโรงภาพยนตร์https://www.youtube.com/watch?v=mvRxgOX7Kes&t=1sขอบคุณรูปภาพและวิดีโอภาพปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 6 |ภาพประกอบที่ 7 | ภาพประกอบที่ 8 จาก Official Facebook Marvel Studiosภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 4 | ภาพประกอบที่ 5 จาก Official Site Marvel.comคลิปวิดีโอจาก Youtube: Marvel Thailandบทความที่เกี่ยวข้องก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ MCU กับการตะลุย Multiverse อันไร้ขีดจำกัดใน Marvel Studios’ Doctor Strange in the Multiverse of Madnessจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !