ฟลอเรนซ์ พิวจ์ กดดันตอนรับบท "Midsommar" จนถึงขั้นเสี่ยงต้องทำร้ายตัวเอง
ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Florence Pugh) นักแสดงสาวคลื่นลูกใหม่ชาวอังกฤษวัย 27 ปี ที่กำลังเป็นที่จับตามองในฮอลลีวูดจากการมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ในหนังบล็อกบัสเตอร์มากขึ้น โดยเฉพาะบทบาท เยเลนา เบโลวา (Yelena Belova) น้องสาวของ นาตาชา โรมานอฟฟ์ ทั้งใน ‘Black Widow'(2021) และซีรีส์ ‘Hawkeye’ (2021) รวมทั้งเธอกำลังจะรับบทบาทเป็นหัวหน้าแก๊งแอนตี้ฮีโร ‘Thunderbolts’ ในจักรวาล MCU (Marvel Cinematic Universe) ที่ใกล้ถึงกำหนดการถ่ายทำในช่วงฤดูร้อนปีนี้แล้ว
ซึ่งถ้าใครยังจำกันได้ พิวเคยเป็นนักแสดงขวัญใจชาวหนังอินดี้มาก่อน เพราะเธอเริ่มแจ้งเกิดจากการแสดงในหนังนอกกระแสหลายเรื่อง นั่นก็คือ บทบาท ดานี อาร์ดอร์ (Dani Ardor) นักศึกษาสาวผู้พบประสบการณ์หลอนแตก ‘Midsommar’ (2019) ของค่าย A24 ที่โด่งดังจากงานด้านภาพ โปรดักชัน เซ็ตติงที่ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส ตัดกับภาพบรรยากาศและเรื่องราวสุดเขย่าขวัญ และฉากสุดโหดได้หลอนพิลึกพิลั่นแบบไม่เหมือนใคร
โดยพิวได้เปิดเผยเรื่องนี้ในรายการพอดแคสต์ Off Menu ซึ่งส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ เธอได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์เบื้องหลังในการรับบทนำในหนังสยองขวัญผลงานการกำกับของ อารี แอสเตอร์ (Ari Aster) เรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ที่แม้ว่าบทบาทนี้ จะเป็นบทบาทหนึ่งที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาเธอในฝั่งหนังนอกกระแส แต่เธอก็ได้เปิดเผยว่า การรับบทดานี ในเรื่องราวและเซ็ตติงสุดกดดันนี้ ก็ทำให้เธอต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจอยู่มากพอสมควร
“ตอนที่ฉันถ่ายทำ ฉันรู้สึกผูกพันกับตัวละครนี้มากเลยค่ะ และฉันก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนกับตัวละครอื่น ๆ ที่ฉันเคยเป็นเลย ฉันไม่เคยต้องแสดงเป็นใครสักคนที่ต้องรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้มาก่อน และฉันก็มักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างที่นักแสดงคนอื่น ๆ ไม่จำเป็นจะต้องทำ
“ในทุก ๆ วัน เรื่องราวมีแต่จะแปลกขึ้นและก็ยากขึ้นทุกวัน ตัวฉันเองต้องจินตนาการถึงความโหดร้ายและความเยือกเย็นในหัวของฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันคิดว่า ในท้ายที่สุด ฉันคงต้องทำร้ายตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงการแสดงแบบนั้นอย่างแน่นอน”
“ฉันจำได้ว่าเทกแรกนั้นยาวมาก มันนานกว่าซีนในหนังที่คุณดูอีก เมื่ออารี (แอสเตอร์) สั่งคัต พวกเรานักแสดงทุกคนเกาะแขนกัน จิกเล็บบนฝ่ามือของทุกคนและร้องไว้สะอื้น ฉันจำได้ว่ามันเป็นอะไรที่หยุดได้ยากมาก ไม่มีฉากไหนที่ดิบเถื่อนและชวนให้อ่อนล้าเหมือนวันนั้นแล้ว มันเป็นฉากที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด กระอักกระอ่วน หันหน้าหนีจากจอตอนดูอย่างน้อย 10 วินาที แต่สำหรับเรา มันเป็นช่วงโมงที่ยาก สวยงาม และน่าภาคภูมิใจ”
นอกจากนี้ ด้วยสภาพอากาศอันร้อนอบอ้าว รวมทั้งชุดลายดอกไม้ และมงกุฏดอกไม้ ซึ่งเป็นชุดประจำตำแหน่งของราชินีแห่งเดือนพฤษภาคม (Queen of May) ที่เห็นในหนังก็เรียกได้ว่าสาหัสไม่แพ้กัน เพราะต้องใช้เวลาออกแบบนานหลายเดือน และมีน้ำหนักมากกว่า 15 กิโลกรัม เพราะประกอบไปด้วยดอกไม้ปลอมนับหมื่นดอก แถมยังต้องขยับเขยื้อนร่างกายระหว่างสวมชุดให้ได้ด้วย ซึ่งพิวได้เปิดเผยว่า
“ชุดนั้นมันหนักมากค่ะ คนที่ออกแบบชุดที่น่าทึ่งเหล่านั้นต้องใช้เวลาออกแบบนานหลายเดือนในการสร้างมันขึ้นมา ดอกไม้ทั้งหมดทำจากผ้าด้วยมือขึ้นเองทีละดอก และข้างในก็มีลวดในนั้น เลยทำให้ชุดนั้นหนักมาก ตอนใส่และถอดก็ต้องใช้เวลานานถึงกว่า 15-20 นาที ฉันจึงต้องพยายามอยู่นิ่ง ๆ และพอยิ่งอากาศร้อนด้วย แปลว่าฉันก็จะยิ่งรู้สึกร้อนหนักเข้าไปอีก”
แม้ว่าการรับบทนี้จะทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความโหดร้ายต่อตัวเอง รวมทั้งความกลัว ความกังวล และต้องเผชิญกับความยากลำบากในการถ่ายทำ แต่เธอก็รู้สึกผิดที่ต้องจากลาตัวละครนี้อย่างถาวร เพราะหลังจากที่ถ่ายทำ ‘Midsommar’ เสร็จสิ้น เธอต้องเดินทางไปถ่ายทำ หนังพีเรียด ‘Little Women’ (2019) ต่อทันทีแบบแทบไม่ได้หยุดพัก
เพราะก่อนหน้านี้ ด้วยความที่คิวถ่ายของเธอระหว่างหนัง 2 เรื่องนี้ชนกันพอดี พิวจึงได้โทรศัพท์ไปขอกับ เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) ผู้กำกับ ‘Little Women’ ให้ขอเลื่อนการถ่ายทำไปก่อน พอเธอรับบทใน ‘Midsommar’ เสร็จสิ้น เธอจึงรีบเดินทางจากกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี กลับไปสหรัฐอเมริกาเพื่อแสดงเป็น เอมี มาร์ช (Amy March) หนึ่งในสี่ดรุณี ที่ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมต่อทันที ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเผยว่า การแสดงใน ‘Little Women’ เปรียบเสมือนเป็นการพักใจจากความกดดันทั้งมวลที่เธอต้องแบกรับใน ‘Midsommar’ นั่นเอง
และด้วยการต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์ และเริ่มถ่ายทำทันทีแบบช็อตฟีลขนาดนั้น แม้บทบาทนักศึกษาผู้ผ่านชีวิตเฮงซวย ทั้งการเจอมรสุมชีวิตครอบครัว แถมแฟนหนุ่มของเธอก็ดูจะไม่ค่อยเข้าใจ แถมยังต้องติดสอยห้อยตามมาเที่ยวประเทศสวีเดนตามเพื่อน ๆ ของเธอ จะทำให้เธอกดดันสุด ๆ แต่เธอก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องลาจากตัวละครนี้มาแบบกะทันหัน
“ฉันจำได้ว่า ฉันมองออกไปนอกเครื่องบินแล้วก็รู้สึกผิดมาก ๆ เลยค่ะ เพราะฉันรู้สึกเหมือนว่าทิ้งเธอ (ดานี) ไว้ที่กลางทุ่งหญ้า ในสภาวะทางอารมณ์แบบนั้น มันแปลกมาก ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน …แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องทางจิตวิทยา ที่ฉันเกิดความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนทิ้งเธอให้ถูกทารุณกรรมบนทุ่งหญ้านั้น มันก็ตลกดี ที่ฉันสร้างคนเศร้าแบบนี้ขึ้นมา และฉันก็ทิ้งเธอไว้นั่นเพื่อไปเล่นหนังเรื่องอื่นต่อ”
“ตอนนั้นเราต้องถ่ายทำกันในทุ่งหญ้าที่ร้อนจัด แสดงด้วยภาษาที่แตกต่างกันถึง 3 ภาษา ฉะนั้นฉันคงไม่อาจพูดได้ว่าทั้งหมดนั่นมันน่าสนุกหรอกนะ แต่ฉันก็ไม่อยากจะตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไมการถ่ายทำในสภาวะแบบนั้นมันถึงน่าสนุกนักนะ”
ที่มา: Variety, IndieWire, The New York Times