รีเซต

ยังไม่มีกำหนดสึก พระกากัน รับบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ ฟื้นฟูพุทธสู่อินเดีย

ยังไม่มีกำหนดสึก พระกากัน รับบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ ฟื้นฟูพุทธสู่อินเดีย
ข่าวสด
25 มีนาคม 2565 ( 13:39 )
295

พระกากัน (อโสโก) มาลิค ร่วมกับสหายทางธรรม ก่อตั้ง “มูลนิธิไตรรัตนภูมิ” รับบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ พลิกฟื้นพุทธศาสนาให้คนอินเดีย

พระกากัน (อโสโก) มาลิค พระเอกซุปตาร์อินเดีย ผู้รับบท เจ้าชายสิทธัตถะ ในภาพยนตร์เรื่อง Sri Siddhartha Gautama หลังอุปสมบทที่ไทยเป็นเวลา 1 เดือน ยังไม่มีกำหนดลาสิกขา ได้ร่วมกับเครือข่ายสหายธรรมที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิฯ ฐิติรัตน์ เฮงสกุล และว่าที่ร้อยเอกณัฏฐกิตติ์ ชัยเฉลิมมงคล เปิดตัว มูลนิธิไตรรัตนภูมิ ส่งเสริมกิจการด้านพระพุทธศาสนา เผยแผ่และฟื้นฟูพระพุทธศาสนากลับคืนประเทศอินเดีย รับบริจาคพระพุทธรูปจำนวน 84,000 องค์ ไปมอบให้กับชาวอินเดีย เป็นการพลิกฟื้นคืนพระพุทธศาสนาสู่มาตุภูมิ

โดย พระกากัน อโสโก กล่าวถึงเส้นทางภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ และจุดเริ่มต้นโครงการฟื้นฟูพระพุทธศาสนากลับคืนสู่ประเทศอินเดียว่า “อาตมาเริ่มต้นชีวิตเป็นชาวพุทธจากที่ได้รับบทเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ในเรื่อง Sri Siddhartha Gautama จริงๆ อาตมาเกิดในศาสนาฮินดู และได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธหลังจากที่ได้เล่นเรื่อง Sri Siddhartha Gautama เวลาที่เราจะได้รับแสดงบทใดบทหนึ่งก็ตาม จะต้องเรียนรู้คาแร็กเตอร์บทบาทนั้นๆ ตอนที่อาตมาได้รับบทเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ศึกษาประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน”

“สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Sri Siddhartha Gautama ได้มีการถ่ายทำที่ประเทศศรีลังกา และได้เผยแผ่ไปทั่วโลกจนได้รับรางวัลมากมาย เป็นรางวัลจากทางองค์การสหประชาติด้วย ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทุกครั้งที่ได้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วย ในทุกครั้งที่ได้รับการเผยแผ่ไปจนได้รับความนิยม อาตมามีคำถามในใจตลอดเลยว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ธรรมะ เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย แต่ในปัจจุบันเหลือชาวพุทธในอินเดียเพียงแค่ 1-2 % เท่านั้น เกิดอะไรขึ้น

“พอได้ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา อาตมาคิดว่า ทำไมศาสนาพุทธในประเทศอินเดียถึงได้หายสาบสูญไป อาตมาได้กลับไปประเทศอินเดียหลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำหนังและฉายภาพยนตร์ทั่วโลกแล้ว อาตมาได้ไปศึกษาความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้ว การกลับมาอีกครั้งหนึ่งของศาสนาพุทธในประเทศอินเดียเกิดจากบุคคลสำคัญท่านหนึ่งชื่อว่า ดร.เอ็มเบดการ์ ที่คนอินเดียขนานนามท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะท่านทำให้ศาสนาพุทธกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งได้”

“ท่านดร.เอ็มเบดการ์ ได้พาคนฮินดูจำนวน 5 แสนคน ในปีพ.ศ.2499 ประกาศตนเป็นพุทธมามกะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เลยทำให้ศาสนาพุทธกลับมามีชีวิตอีกครั้ง คืนลมหายใจให้ศาสนาพุทธในประเทศอินเดียอีกครั้ง จากสิ่งที่ท่านดร.เอ็มเบดการ์ทำ ทำให้อาตมาได้มองท่านเป็นต้นแบบ และตั้งใจว่าจะคืนศาสนาพุทธให้ประเทศอินเดีย แต่พอหลังจากตอนนั้นที่ท่านดร.เอ็มเบดการ์ พา 5 แสนคนประกาศเป็นพุทธมามกะ เพียงแค่ 3 เดือนหลังจากนั้นท่านก็ได้เสียชีวิต ทำให้การขับเคลื่อนศาสนาพุทธในประเทศอินเดียหยุดชะงักลงไปด้วย วงล้อแห่งธรรมจักรก็หยุดไปด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาก็คิดว่าหลังจากนี้ไปต้องมีใครสักคนคอยปั่นวงล้อธรรมจักรนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้อาตมาคิดว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง”

“เวลาเราได้ตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วสิ่งนั้นเป็นกุศลสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถึงวันนั้นที่เราทำจะต้องมีคนสนับสนุนแน่นอน อาตมาตั้งใจจะนำศาสนาพุทธให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งในประเทศอินเดีย อาตมาตั้งใจทำเรื่องนี้มีผู้ใหญ่ทั้งในประเทศอินเดียและต่างประเทศให้การสนับสนุนยืนเคียงข้างเสมอ อาตมาคิดว่าการกลับมาฟื้นฟูเผยแผ่ศานาพุทธในเบื้องต้นเป็นการนำพุทธประวัติเจ้าชายสิทธัตถะที่เคยรับบทในภาพยนต์แล้วไปฉายในประเทศต่างๆ เพื่อให้เกิดการตื่นรู้ เกิดกระแสการตระหนักรู้คุณค่าของพุทธศาสนา”

“แต่นั่นยังไม่เพียงพอ อาตมากลับไปคิดว่าในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านได้สร้างสถูป 84,000 เจดีย์เพื่อจะเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กระจายไปทั่วอาณาจักร อาตมาคิดว่าเราทำถึงขั้นนั้นไม่ได้ แค่เพียงเราสามารถที่จะช่วยบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ให้กับชาวพุทธได้กลับเอาไปกราบสักการะ ได้นำไปเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ได้นำไปสวดมนต์ไหว้พระ ก็น่าจะช่วยในระดับหนึ่ง การนำกิจกรรมบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”

“หลังจากที่มีแนวคิดเรื่องจะกลับไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียแล้ว อาตมาได้เดินทางไปเยี่ยมชุมชนชาวพุทธ โดยเฉพาะในรัฐมหาราษฏระ ไปเยี่ยมวัด ศูนย์กลางชุมชนที่ชาวพุทธอยู่แล้วพบว่า สภาพโดยส่วนใหญ่ชาวพุทธในอินเดียมีฐานะยากจน เขาไม่มีวิหาร วัดเป็นแค่ห้องแถวเล็กๆ เข้าไปนึกว่าจะมีพระพุทธรูป ปรากฏว่าไม่มี มีเพียงแค่รูปถ่ายรูปวาดใส่กรอบไว้เป็นรูปพระพุทธเจ้า บางที่เป็นแค่การตั้งรูปแทนขึ้นมา ซึ่งรูปลักษณ์ไม่ใช่ความสวยงามวิจิตรที่จะมองว่าเป็นพระพุทธเจ้า ถามว่าในอินเดียมีวัดเยอะไหม จริงๆ แล้วมีค่อนข้างเยอะ สังเกตได้จากที่ท่าน ดร.เอ็มเบดการ์ พาคนฮินดูมานับถือศาสนาพุทธ เบื้องต้น 5 แสนคน จากชนชั้นวรรณะระดับล่างที่คิดว่าอยากจะก้าวเข้าสู่ความเท่าเทียมในสังคม”

“ท่านดร.เอ็มเบดการ์ได้ศึกษาหาข้อมูลว่า ถ้าท่านศึกษาทุกศาสนาสุดท้ายจะได้คำตอบว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดีที่สุด ที่จะนำความเท่าเทียมมาสู่มนุษย์ในสังคม เพราะฉะนั้นท่านก็เลือกที่จะนำศาสนาพุทธกลับมาเผยแผ่ให้กับคนอินเดียอีกครั้งหนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนพุทธในอินเดียจาก 5 แสนคน ทุกวันนี้กลายเป็น 10 ล้านคน หลังจากที่ผ่านเวลาไปกว่า 60 ปี นั่นก็เป็นจุดหนึ่งที่จะบ่งบอกว่าจริงๆ แล้วคนพุทธในประเทศอินเดียยังมีอีกค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในพื้นที่ของรัฐมหาราษฏระ”

“คนพุทธที่ประเทศอินเดียแม้จะมีประมาณ 10 ล้านคน แต่ก็ยังไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนตัวอาตมาที่ได้หันกลับมานับถือศาสนาพุทธเมื่อปี พ.ศ.2557 ที่ประเทศศรีลังกา ในตอนนั้นอาตมามีความคิดในใจว่าอยากจะทำโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมา แต่ยังติดปัญหาอยู่ว่าตอนนั้นเป็นคนพุทธแล้ว แต่หลักธรรมคำสอนหรือธรรมะลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า อาตมายังไม่สามารถที่จะถ่ายทอดได้ ยังไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง ก็เลยคิดว่าต้องบวชให้ได้ จนตัดสินใจว่ายังไงก็ตามต้องมาบวชที่เมืองไทย เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธของคนทั้งโลก แล้วเป็นที่ที่จะสามารถศึกษาธรรมะอย่างแท้จริงได้ รวมไปถึงคนไทยที่มีสัมพันธไมตรีมีมิตรภาพที่ดีเวลาที่มาเมืองไทย ถ้าเลือกจะมาบวชจะมาบวชที่ประเทศไทย”

“หลังจากที่ได้ทำโครงการบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ จริงๆ ก็ได้เริ่มต้นมาก่อนหน้านี้แล้ว บริจาคพระพุทธรูปพระประธานให้กับวัดที่ประเทศอินเดียประมาณ 50 กว่าองค์ และพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ประมาณ 5,000 องค์ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราทำจริงจังขึ้นมา ปรากฏว่าพอแจ้งไปกับทางญาติโยมทุกท่านสนใจได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ศรัทธาญาติโยมหลั่งไหลกันเข้ามาเรื่อยๆ”

“อาตมาเคยเป็นศิลปินเป็นนักแสดง สิ่งที่ห่วงที่สุดคือภาพลักษณ์ ผม คิ้ว ความงามบนใบหน้าทุกอย่าง มันเป็นสิ่งที่เราต้องละสิ่งเหล่านี้ทุกอย่าง รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ทำให้รู้สึกว่าเป็นอุปสรรคพอสมควร แต่ว่าการได้บวชไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคณะทีมงานที่ช่วยกัน จิตอาสา อยากจะขออนุโมทนากับสื่อมวลชนทุกท่านที่ช่วยกันกระจายข่าวบอกบุญเรื่องนี้ ทำให้กิจกรรมที่ทำในวันนี้ไปไกลกว่าที่เราคิดมาก รู้สึกว่าภารกิจใกล้จะสำเร็จในไม่ช้านี้”

“ในขณะเดียวกันการทำงานถ้าเปรียบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ก็จะมีมารมาผจญ มีอุปสรรคหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามา เช่นเดียวกับการทำกุศลที่ยิ่งใหญ่ก็จะมีอุปสรรคต่างๆ เข้ามาท้าทายตลอดเวลา อาตมาย้อนคิดไปถึงวันแรกที่ได้อุปสมบทแล้ว วันแรกมีคนนำพระพุทธรูปมาถวาย มีคนนำภัตตาหารมาให้ ก็รู้สึกอิ่มเอมใจ มีคนนำพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาถวายจะนำไปประดิษฐานที่อินเดีย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าทุกวันนี้ประชาชนจะหลั่งไหลมาทั่วประเทศ เพื่อที่จะมาร่วมโครงการนี้”

“บางท่านอาวุโสมากๆ เดินไม่ไหวแล้วให้ลูกหลานพามา ประเคนถาดถวายพระพุทธรูปที่บูชาทุกวันนี้ พอมาถึงจุดนี้รู้สึกว่าโครงการของเรามาไกลมาก ที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ อาตมาก็เลยนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนกับท่านเจ้าอาวาสวัดธาตุทอง ได้ข้อตกลงกันว่า ท่านสนับสนุนให้พวกเราจัดตั้งมูลนิธิไตรรัตนภูมิขึ้นมาจากชมรมเพื่อความโปร่งใส เพื่อการดำเนินกิจกรรมตรงนี้ให้สะดวกและสำเร็จลุล่วงไปได้”

“สำหรับหนทางใต้ร่มกาสาวพัตร์ที่มาถึงวันนี้ เรามากันไกลมาก จากเริ่มต้นที่ได้บวช ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสพระราชวรญาณโสภณ ได้จัดพระอาจารย์มาสอนเรื่องธรรมะ วิปัสสนา ได้มีโอกาสไปสนทนาธรรมกับพระเถระผู้ใหญ่หลายๆ วัดแทบจะทั่วประเทศ รวมไปถึงการฝึกวิปัสสนา นั่งสมาธิ บริหารจิต หาหนทางแห่งสันติภายในจนมาถึงทุกวันนี้ จะเห็นว่าผู้คนหลั่งไหลเข้ามากราบสักการะและเข้ามาถวายพระพุทธรูปเพื่อร่วมโครงการ มาด้วยความศรัทธา อยากจะมาฟังเทศน์ฟังธรรมด้วย อาตมาก็อยากจะสอนธรรมะแก่คนรุ่นใหม่โดยใช้หลักคำสอนง่ายๆ เพื่อที่จะให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ทำทุกวันนี้จะเกิดผลค่อนข้างที่มีกระแสที่ดีมากๆ ในประเทศอินเดีย จนกระทั่งองค์กรชาวพุทธที่ประเทศอินเดียส่งข้อความมาเพื่อจะบอกว่า อย่าเพิ่งสึก อย่าเพิ่งลาสิกขาตอนนี้ได้ไหม ขอให้อาตมาได้กลับไปประเทศอินเดียเพื่อที่จะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนพุทธในประเทศอินเดีย

“ซึ่งได้คุยกับเจ้าอาวาส ท่านได้มอบหมายให้อาตมาและพระพี่เลี้ยง และฆราวาสเดินทางไปทั้งคณะเพื่อที่จะไปในที่ต่างๆ สถานที่สำคัญต่างๆ ในประเทศอินเดีย เริ่มต้นด้วยพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมืองกุสินารา เมืองสารนาถ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพื่อไปขอพร ไปกราบสักการะ รับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต และจะเดินทางไปรัฐมหาราษฏระ สถานที่ที่คนพุทธส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียอาศัยอยู่ที่้นั่น ไปบ้านเกิดของท่านดร.เอ็มเบดการ์ ตอนนี้คนพุทธที่ประเทศอินเดียได้เตรียมการต้อนรับ ค่อนข้างน่าตื่นเต้นมาก ซึ่งตรงนั้นจะใช้เวลาประมาณ 12 วัน จะเดินทางวันที่ 28 มี.ค. แล้วกลับมาประเทศไทยวันที่ 10 เม.ย. หลังจากนั้นจะกลับมาทำภารกิจของเราต่อไม่จบแค่นี้แน่นอน”

“ประเทศไทยและประเทศอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมา มีความใกล้ชิดกันในหลายด้าน ทั้งด้านวัฒนธรรม ด้านภาษา การแต่งกาย มีความใกล้ชิดกันมาตั้งแต่สมัยอดีตแล้วจนมาถึงปัจจุบัน ในอนาคตไม่แน่นอน อาตมาอาจจะลาสิกขาวันไหนก็ได้ แต่อาตมาเชื่ออย่างหนึ่งคนไทยจะร่วมภารกิจกับอาตมาไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของเรา จากการที่อาตมาได้รับความรักความศรัทธาในขณะที่อาตมาบวชอยู่ในวัดธาตุทองแห่งนี้ มั่นใจว่าภารกิจของเราการได้รับความไว้วางใจ การได้รับความรักจากคนไทยจะทำให้ภารกิจของเราจบสิ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน”

“สำหรับภารกิจนี้เป็นการเริ่มต้นของภารกิจหลักทั้งหมด ซึ่งภารกิจที่แท้จริงของกิจกรรมการบริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์ไม่ใช่กิจกรรมเดียวแล้วจบเลย ภารกิจหลักของเราก็คือการนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากลับไปสู่ประเทศอินเดียอีกครั้ง คืนลมหายใจของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียอีกครั้ง ให้คนอินเดียกลับมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง เราจะมีการวางแผนกันระยะยาว หนทางยังไปต่ออีกไกล อยากจะขอบคุณทุกท่านมาตลอดระยะเวลาที่อาตมาได้บวชก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย”