In My MemoriesComrades , Almost A Love Story : เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว (1996) เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันไปได้ ถ้าเคยทำบุญร่วมไว้ถึงจะยังไงก็ต้องเจอะกันท่านเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือไม่? หากจะมีหนังรักในดวงใจสักเรื่องหนึ่ง หรือต้องนึกถึงหนังรักที่อยู่ในดวงใจมาสักเรื่องหนึ่ง ชื่อของหนังเรื่องแรกๆที่คิดออกมาได้คือหนังเรื่องอะไร และสำหรับผู้เขียนแล้ว นี่คือชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว จำได้ลางๆว่าเคยเขียนถึงเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ขี้เกียจไปค้นงานเก่าๆ ทั้งที่จริงๆก็มีหนังรักในดวงใจหลายเรื่อง เพียงแต่หนังเรื่องนี้ผุดขึ้นมาเป็นชื่อแรก ในทุกครั้งที่ตั้งโจทย์กับความทรงจำ หนังที่สร้างความประทับใจมาแล้วเมื่อยี่สิบหกปีที่ล่วงเลยผ่านมา แต่กระนั้นแม้จะก้าวผ่านเวลามากว่าสองทศวรรษ ตัวหนังยังคงเป็นที่กล่าวขาน เป็นที่รำลึกถึง เป็นหนังรักในดังใจของคนรักหนัง มีที่หนังรักสักเรื่องที่เป็นดูปัจเจก งานที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบมากเรื่องหนึ่งในฐานะหนังฮ่องกง งานของ ปีเตอร์ ชาน งานขึ้นหิ้งที่ดูกี่ครั้งความซาบซึ้งตราตรึง ความประทับใจยังคงเปี่ยมล้น กับเรื่องราวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับปุถุชนทั่วไป เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียวสุดท้ายเราก็แพ้ แพ้ใจตัวเราเองบทสนทนาของคนว้าเหว่สองคนที่ได้รู้จัก ผูกสัมพันธ์ และพัฒนากลายมาเป็นความรัก เรื่องราวของ หลี่เฉียว (จามม่านอวี้) และ เสี่ยวจิง (หลี่หมิง) ชนชั้นธรรมดาที่เหมือนไร้ค่า ในสังคมที่ต้องแก่งแย่งในฮ่องกงยุค 90 ประชากรชั้นสอง ชนชั้นแรงงาน ที่เดินทางจากแผ่นดินใหญ่มาด้วยความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลี่เฉียว คือคนที่มั่นใจกล้าคิดกล้าทำ แหกขนบ ส่วน เสี่ยวจิง คือคนที่ทำทุกอย่างตามกรอบตามกฏ กระทั่งดูคร่ำครึ แต่ทั้งสองกลับมีโชคชะตาที่ต้องกันมาพบกัน ในความสัมพันธ์แบบ รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกของ เสี่ยวจิง ที่มีต่อ หลี่เฉียวแรกเริ่มจากการคบเพื่อผลประโยชน์ของ หลี่เฉียว แล้วความซื่อความจริงใจของ เสี่ยวจิง กลับละลายน้ำแข็งในใจ หลี่เฉียว ลงทีละน้อย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเหงา และความเปล่าเปลี่ยวของคนไกลบ้าน พัฒนามาเป็นเพื่อน และสุดท้ายก็เกินเลยความเป็นเพื่อนไป อาจบางทีก็เพราะความเหงาและว้าเหว่ของคนสองคน หรืออาจบางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตที่บันดาลนำพา ให้คนสองคนมาพบกัน รักกัน และต้องจากกันไปมีเส้นทางของตน จนถึงเวลาที่สมควร หรือกามเทพเล่นตลกกับพวกเขาจนพึงใจแล้ว จึงได้พาพวกเขากลับมาเจอกันการจากลาอาจบางทีก็มาจากความไม่ตั้งใจเพราะนี่ไม่ใช่รักครั้งแรกของ เสี่ยวจิง แต่ทว่า อาจเป็นรักแรกของ หลี่เฉียว เสียวจิง มีหญิงหนึ่งในดวงใจมาก่อนแล้ว คือ เสี่ยวถิง (หยางกงหยู) คนรักผู้รอเขาอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ แต่ หลี่เฉียว กลับพบผู้ชายที่เข้ามาเยียวยา มาเป็นกำแพงให้พักพิงยามเธอพบปัญหา และในยามที่เธอรู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจต่อ เสี่ยวจิง และ เสี่ยวถิง การตกลงปลงใจไปกับ พี่เป้า (เจิ้งจื้อหว่ย) นักเลงผู้ไม่น่าจะมีรักแท้ ก็คล้ายกับการหลีกหนี และกลบฝังความรู้สึกที่แท้จริง หรือมิใช่... ส่วนฟากฝั่ง เสี่ยวจิง นั้น เสี่ยวถิง คือรักแรก แต่ถึงที่สุดก็ไม่อาจประคองให้เป็นรักสุดท้าย เพราะคำตอบที่แท้จริงของหัวใจ คือมิอาจทำร้าย เสี่ยวถิง ไปมากกว่านี้ เพราะเรื่องของหัวใจ เมื่อไม่ไหวก็ไม่ควรฝืน มิฉะนั้น รังแต่จะสร้างรอยแผลให้ซึ่งกันและกัน แผลที่บาดลึกและเจ็บปวดแต่สำหรับความรู้สึกของ หลี่เฉียว ที่มีต่อ พี่เป้า อาจไม่ใช่ความรัก แต่มันก็ถูกพัฒนามาจากความเห็นใจ และทำให้เส้นทางชีวิตของ หลี่เฉียว และ เสี่ยวจิง มิต่างจากต้องกลายเป็นดั่งเส้นขนาน แต่ทุกวินาทีที่ล่วงผ่าน แม้จะพยายามเท่าไหร่ ที่จะพร่ำบอกตัวตนของตัวเองว่าเขาและเธอเป็นแค่เพื่อน ความสัมพันธ์ที่เกิดเป็นเพราะความเปลี่ยวเหงา แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นหรือคือการหลอกตัวเอง และมันก็เป็นเช่นระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด แล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างมันพังทลาย เขาและเธอตัดสินใจที่จะเลิกหลอกตัวเอง เลิกหลอกคนข้างเคียงและทำอย่างที่หัวใจเรียกร้อง มรสุมในชีวิต พี่เป้า กลับพรากพวกเขาอีกครั้ง และเพราะ หลี่เฉียว คือคนดีพอ ที่จะไม่ทิ้งคนที่เคยช่วยเหลือและเยียวยาหัวใจ กระทั่งตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายไปกับ พี่เป้า ในวันที่ลำเค็ญกลายเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก กลับกันทาง เสี่ยวจิง กลับมีความกล้าพอ กล้าที่จะเผยความในให้กับ เสี่ยวถิง ว่า เขาหมดรักเธอแล้ว และทุกวินาทีในใจเขาตอนนี้มีแต่ หลี่เฉียว ทว่า เส้นทางของคนสองคนก็มิอาจเป็นไปตามที่ต้องการ หรือสวรรค์ไม่เคยเป็นใจให้พวกเขาเมื่อเส้นทางชีวิตเป็นดั่งเส้นขนาน ผู้หญิงไปซ้ายผู้ชายไปขวายากยิ่งที่จะมาบรรจบ แต่เมื่อฟ้าลิขิตและพระเจ้าไม่โหดร้ายกับรักแท้ เส้นทางชีวิตของ เสี่ยวจิง กับ หลี่เฉียว ก็โคจรมาใกล้กัน ในมหานครแห่งความวุ่นวาย ตัว หลี่เฉียว เองได้ตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐานกับพี่เป้า และ เสี่ยวจิง ก็เริ่มต้นชีวิตใหม่และชีวิตกำลังลงตัว ฝ่าย หลี่เฉียว กลับต้องมาพบกับความสูญเสีย ที่ทำให้เธอต้องยืนบนขาของตัวเองอีกครั้ง จนกระทั่งข่าวการเสียชีวิต เติ้งลี่จวิน นักร้องในดวงใจของเขาและเธอ ได้นำพาให้พวกเขาทั้งสองกลับมาพบกัน หลังจากผ่านเวลาอันร้าวรานในการห่างไกล ทั้งที่ในใจยังคำนึงมาถึงสิบปี และในที่สุดพรหมลิขิตก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ในความเป็นหนังรัก นี่คือหนังรักที่เป็นปัจเจกหนังรักไม่มีเรื่องราวแฟนตาซี หนังรักไม่มีฉากหวานเลี่ยน หนังรักไม่เร่งเร้าบีบคั้น ปล่อยให้เรื่องราวมันพัฒนาไปตามลำดับ นี่คือเรื่องราวความรักของมนุษย์ธรรมดา ชนชั้นแรงงานที่หาใช่เจ้าหญิงเจ้าชายหรือคุณคุณชายคุณหนู และมันทำให้หัวใจสัมผัสได้ถึงความเป็นจริงในชีวิต ที่อาจมีบ้างบางคนบางคู่รักที่เป็นเฉกเช่น เสี่ยวจิง กับ หลี่เฉียว มันคือความง่ายที่คนดูเข้าถึงและดึงอารมณ์ร่วมไปทั้งหมดหัวใจ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องรักหวานซึ้งในนิยาย แต่นี่คือเรื่องราวความรักที่สามารถเกิดขึ้นจริงๆบนโลก โสเภณีนางหนึ่งรักกับพระเอกหนัง ที่ทุกคนดูถูกว่าเธอคิดไปเอง หากแต่มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่รู้ความจริง ครูสอนภาษาอังกฤษชาวต่างชาติที่รักกับโสเภณีอีกนาง ที่ยอมอยู่กับเธอจนลมหายใจสุดท้าย แม้ต้องรับทราบว่าเธอเป็นโรคร้าย และตัวเองก็ต้องยอมรับการเป็นโรคติดต่อนั้น ความรักของ เสี่ยวจิง ที่มีต่อ เสี่ยวถิง ที่เป็นรักครั้งแรก แต่ลงท้ายกลายเป็นทำตามหน้าที่และความตั้งใจเท่านั้น ความรักของ หลี่เฉียว ที่มีต่อพี่เป้าที่เป็นเช่นความเห็นใจ และยอมอยู่เคียงข้างเมื่อเขามีลำบาก และรักระหว่าง เสี่ยวจิง กับ หลี่เฉียว คือรักแท้ที่มีพัฒนาการ รักที่ตรึงใจ แม้ไม่ใช่รักครั้งแรกหากแต่เชื่อว่านี่คือรักครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ และใครจะปฏิเสธหรือไม่ว่า เรื่องราวความรักที่เห็นในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตจริงเรื่องราวของมนุษย์ปุถุชนในความเป็นหนัง นี่คือหนังที่งดงามในเรื่องของบทภาพยนตร์ที่เข้าถึงง่าย การเล่าเรื่องเชิงสัญลักษณ์ที่ขับส่งเรื่องราว ทั้งการใช้เพลงของ เติ้งลี่จวิน มาเป็นแกนหลัก หรือใช้ความหมายของเปศกาลตรุษจีน มาเป็นฉากหลังในการบอกเล่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่ ที่ทุกครั้งที่เพลงขึ้นมาคนดูจะขนลุก ตื้นตัน น้ำตาเอ่อ หรือกลายเป็นหนังที่เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนก็จะคิดถึงหนังเรื่องนี้ได้ เพราะการสื่อสารด้านภาพที่ทรงพลัง เช่นซีนกระดิ่งจักรยานร่วงหล่น การสื่อความหมายทางด้านภาพ กอบโกยอารมณ์ร่วมจากผู้ชมอย่างเต็มที่ ทั้งยังได้การแสดงที่สุดยอดของนักแสดงทั้งหมดทั้ง หลี่หมิง จางม่านอวี้ ให้การแสดงที่ต้องลุกขึ้นยืนปรบมือ สีหน้าท่าทางสายตาภาษากาย ทั้งคู่ถ่ายทอดได้อย่างถึงอารมณ์ หรือใครจะลืมฉากติดกระดุมเสื้อ ที่เชื่อหมดใจว่าทุกอย่างมันเตลิดไปตั้งแต่นั้น หรือการแสดงอารมณ์ในฉากสุดท้าย ที่หน้าร้านขายเครื่องไฟฟ้า ที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย แต่เชื่อเถอะว่าขนลุก และไม่แน่ว่าหลายคนอาจมีน้ำตาคลอ ส่วนคนอื่นๆก็มีเครดิตที่น่าจดจำโดยเฉพาะ เจิ้งจื้อเหว่ย ที่เล่นดราม่าได้อย่างไร้ที่ติ และขโมยซีนได้ทุกครั้งที่ออกมา รวมถึงตัวละครคุณป้า เสี่ยวถิง (หยางกงหยู) และตัวครูสอนภาษา ซึ่งเชื่ออย่างเหลือเกินว่าตัวบทหนัง และการกำกับของ ปีเตอร์ ชาน สามารถรีดเร้นศักยภาพของพวกเขาและเธอออกมาได้ จนทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอด ได้หนังที่โศกซึ้งตราตรึงแต่ไม่บีบคั้น ไม่หวานแต่พอดี กลายเป็นหนังที่ยกขึ้นไปไว้บนหิ้ง ในฐานะตำนานอีกเรื่องของโลกภาพยนตร์ ที่ผ่านมากี่ปีคนดูก็ยังกล่าวถึงอย่างมั่นคง เฉกเช่นความรักของ เสี่ยวจิง กับ หลี่เฉียว ที่แม้เวลาจะผ่านไป 3,650 วันก็ยัง รักเธอคนเดียวและนี่คือหนังรักที่เมื่อถึงวาระที่คิดถึงเรื่องราวของความรัก ชื่อหนังเรื่องนี้จะผุดขึ้นมาเป็นเรื่องแรก เพราะความดีงามของตัวหนังเอง และชื่อไทยที่เป็นอมตะ เนื่องเพราะนี่คือความรักในแบบที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้บนโลกใบนี้ มันคือเรื่องราวความรักพื้นฐานบ้านๆ ไม่หวานเลี่ยน ไม่เลิศหรูเฉกเช่นเทพนิยาย แต่มันคือเรื่องราวความรักของคนที่เราสามารถพบเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เรื่องราวความรักของคนที่เราสามารถเดินสวนทางกับเขาได้โดยที่ไม่สนใจ เช่นกันหากแต่ไม่ใช่เราที่ไม่สนใจเขา เขาเองก็ไม่สนใจเราไม่ต่างกัน และมันคือความเป็นปัจเจก มันมีบริบททางสังคมชั้นกลางถึงล่างให้สัมผัส และมันทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในใจคนดูหนังเสมอมา แม้ว่า ถึงวันนี้หนังเรื่องนี้จะผ่านเวลาเกินกว่า 3650 วันมามากมายแล้ว แต่เมื่อได้กลับไปดู ยังมีสัมผัสเดิมในความรู้สึกอยู่เสมอรำลึกความทรงจำโดย#ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 จาก Facebook Comrades: Almost a Love Storyจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !