Movie Review Broker (2022) จัดหารักซงคังโฮ-แบดูนา-ไอยู-กังดงวอน ในความเว้าแหว่งทางสถานะของหัวใจที่เติมเต็มได้จากคนแปลกหน้าตามประสา "ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ" รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! บทความนี้อาจต้องเท้าความหน่อยว่ารักแรกของผู้เขียนในการดูละครซีรีส์เกาหลีที่ไม่ใช่งานหนังคือนักแสดงแบดูนาจากซีรีส์ออกอากาศทาง ITV หรือช่อง 5 ก็ไม่แน่ใจนักแต่ที่จำได้แม่นคือชื่อไทยที่ว่าคุณแม่มือใหม่ใจเกินร้อย (Country Princess (2003)) ซึ่งตอนนั้นแบดูนาในวันยี่สิบสี่ปีกลายเป็นรักแรกของผู้เขียนกับนักแสดงเกาหลีที่ทำให้ติดตามเธอมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ถ้ามีงานของเธอออกมาก็จะดูอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นงานจากเกาหลีหรืองานที่เธอโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดแล้วก็มีหนังหนึ่งเรื่องที่ผู้เขียนอยากดู นั่นคือการร่วมงานกันระหว่างแบดูนานักแสดงที่ผู้เขียนชื่นชอบกับผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่ผู้เขียนชื่นชอบคือฮิโรคาสึ โคเรเอดะในหนังเกาหลี ใช่แล้วฮิโรคาสึ โคเรเอดะผู้กำกับญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษมากำกับหนังเกาหลีที่แค่ชื่อผู้กำกับก็การันตีมิติเชิงอารมณ์ได้แล้วแถมยังมีนักแสดงตัวท็อปอย่างซงคังโฮและไอยูมาร่วมงานด้วย เมื่อเป็นดังนี้เมื่อผู้เขียนเห็นในแอปสตรีมมิ่งโดยบังเอิญแล้วจะพลาดได้ไงจึงจัดไปให้สมอยากเพราะก็รอมานานมากแล้ว คืนที่ฝนกระหน่ำหญิงสาวนางหนึ่งอุ้มลูกน้อยมาทิ้งไว้หน้ากล่องเด็กแล้วก็จากไปแต่ซูจิน (แบดูนา) เจ้าหน้าที่ปราบปรามการค้ามนุษย์ทนสงสารไม่ได้จึงเอาเด็กไปไว้ในกล่อง แล้วเด็กคนนั้นก็ถูกอุ้มไปโดยซังฮยอน (ซงคังโฮ) เจ้าของร้านซักรีดที่ทำงานร่วมกับดงซู (กังดงวอน) พนักงานในโบสถ์เพื่อเอาเด็กทารกไปขายให้คู่แต่งงานที่จะซื้อไปเพราะมีปัญหาทางการอุปการะเด็กและเขาทั้งสองถูกเรียกว่า Broker ทว่าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวคนนั้นกลับมาถามหาลูกตัวเองจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่เธอก็ไม่พบลูกของเธอดงซูจึงพาเธอมาพบกับซังฮยอนและจึงได้รู้ว่าเธอคือโซยอง (ไอยู) แล้วคนทั้งสามก็ตกลงกันที่จะหาผู้ซื้อที่จะซื้อลูกของโซยองจึงเดินทางร่วมกันและระหว่างทางที่แวะพักบ้านเด็กกำพร้าก็มีเด็กอีกคนแอบขึ้นรถคือแฮจิน (อิมซึงซู) แล้วจากสามกลายเป็นสี่ที่ต้องเดินทางตามหาผู้ซื้อที่เหมาะสมเพราะต้องให้โซยองเห็นชอบที่จะให้ลูกของเธอไปอยู่กับใคร และการเดินทางครั้งนี้อาจทำให้อะไรที่ขาดหายไปของทั้งสี่คนได้เติมเต็มแม้กระทั่งซูจินที่ตามจับพวกเขาอยู่ เรียบเรื่อยละเอียดละเมียดร้อยเรียงบาดแผลและปมแห่งความเว้าแหว่งในหัวใจเรื่องครอบครัวได้สวยงามตามสไตล์ ในหนังของฮิโรคาสึ โคเรเอดะจะมีเอกลักษณ์ของเขาคือความเรียบเรื่อยไม่เร่งเร้าไม่บีบคั้น ส่วนเรื่องที่เล่าก็มักจะเป็นเรื่องง่ายๆที่มักจะขาดหายไปจนเกิดช่องว่างในหัวใจและเป็นเรื่องครอบครัวที่แตกร้าว เอาจริงสารภาพตรงนี้ว่าผู้เขียนดูเรื่องนี้แล้วคิดถึง Shoplifters (2018) ที่ว่ากันที่เรื่องของครอบครัวไม่จริงแต่เป็นครอบครัวที่แท้ที่ถ้าคิดให้ถ่องแท้ก็ละม้ายคล้ายกับจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่ลักที่เล่าหลังจากการพบกันของแต่ละคนได้สักระยะแต่นี่คือการเริ่มได้ผู้สัมพันธ์ ซึ่งบทหนังของฮิโรคาสึ โคเรเอดะที่ควบเขียนบทเองยังเก่งในการหาจุดด่างในหัวใจคนเรื่องของความเหว้าแหว่งเป็นปมด้อยในเรื่องของครอบครัวที่หลากหลายมาเล่าได้อย่างละเอียดละเมียดในเวลาจำกัด เพราะในงานที่ผ่านๆมาหรือเรื่องนี้ที่ความจริงตัวละครมากคนก็มากความแต่ละคนต่างมีปมแต่สามารถร้อยเรียงเรื่องราวให้ผูกพันกันผ่านปมของแต่ละคนได้สวยงามเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรแต่ไปได้เรื่อยๆเหมือนไม่มีแรงดึงดูดแต่ละสายตาไม่ได้เพราะค่อยๆละเลียดเก็บชิ้นส่วนที่ขาดหายของหัวใจ การดูหนังของฮิโรคาสึ โคเรเอดะนั้นอาจบางทีก็ต้องใช้ความคุ้นชินเป็นจุดสำคัญเพราะหนังของเขามักจะเรียบเรื่อยบนความเรียบง่าย และอาจเป็นเรื่องของคนธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปหรือกระทั่งคนที่อาจไม่มีความหมายในสายตาคนในสังคม แน่นอนเมื่อการเล่าเรื่องด้วยความเรียบเรื่อยแต่บทหนังที่ละเมียดจะสามารถเก็บรายละเอียดชิ้นส่วนที่ขาดหายที่จะค่อยๆปล่อยออกมาโดยเฉพาะเรื่องนี้ที่ตัวละครมาก จนบางครั้งไม่สามารถละสายตาได้เพราะไม่รู้ว่าใครจะเผยความในออกมาทำให้หนังที่แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นแต่ไปตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆมาเรียงๆเหมือนไม่มีอะไรดึงดูดใจแต่หยุดดูไม่ได้ อาจเพราะบทสนทนาเป็นบทสนทนาง่ายๆเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไปไม่หวังความคมคายหรือปรัชญาใดให้ตีความ กระนั้นก็มีความคมคายในเรื่องง่ายๆและเพราะมันเป็นเรื่องง่ายๆที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้เพราะทุกคนล้วนมีบางอย่างในหัวใจที่ขาดหายมากน้อยต่างกันไปจึงทำให้ต่อให้เหมือนไม่เร้าใจแต่ไม่มีทางหยุดดูได้เช่นกัน บางครั้งการได้พบได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีอะไรคล้ายกันแต่ต่างกันก็อาจเป็นการเติมเต็มส่วนที่โหยหา บางครั้งหรือบ่อยครั้งที่คนเราอาจเปิดใจกับคนแปลกหน้าที่ผ่านมาในชีวิตที่อาจเพราะไม่สามารถเปิดเผยกับใครได้ด้วยเหตุผลบางประการ และอาจมีบ้างบางครั้งที่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวกลับเป็นเหมือนกับครอบครัวที่มาเติมเต็มให้กันได้เพราะต่างฝ่ายต่างโหยหาที่เป็นความเหมือนกันคือมีปมบางอย่าง แต่ในความเหมือนก็มีความต่างเพราะแม้จะต่างคนต่างขาดแต่สิ่งที่ขาดอาจเป็นคนละอย่างบางอย่างที่คนหนึ่งมีคนหนึ่งไม่มีจึงสามารถเติมเต็มให้กันได้ เช่นดียวกับทุกคนในเรื่องนี้ที่ต่างคนต่างมีปมซังฮยอนคือคนที่ถูกครอบครัวหันหลังให้ดงซูคือเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งรอแม่มารับโซยองคือคนที่ทำใจไม่ได้ในการทิ้งลูกและแฮจินคือขาดทุกอย่างทั้งพ่อแม่พี่น้อง เมื่อคนทั้งสี่คนได้เดินทางร่วมกันการใช้ชีวิตร่วมกันแม้จะเพียงช่วงเวลาหนึ่งก็สามารถเติมเต็มให้กันจนกลายสถานะไปเป็นครอบครัวได้ แน่นอนซูจินก็ไม่ต่างกันเมื่อเธอก็ขาดบางอย่างเพื่อรอมาเติมเต็มจากการได้เห็นครอบครัวที่จริงแต่ไม่แท้นี้ใช้ชีวิตร่วมกัน อุดมไปด้วยนักแสดงระดับยอดฝีมือที่พลังดาราล้นจอแต่กลับเป็นคนธรรมดาได้อย่างน่าพิศวง ในฐานะที่ดูคอนเทนต์เกาหลีบ่อยมากเห็นนักแสดงเกาหลีแสดงมามากคงต้องบอกว่ามาตรฐานการแสดงของนักแสดงเกาหลีอยู่ในระดับสูงทุกคน กระนั้นมาตรฐานการแสดงที่อาจไม่ต่างกันแต่สิ่งที่ต่างกันคือพลังดาราคือพลังที่จะสะกดสายตาคนดูให้จับจ้องไปที่ตัวละครของเขาหรือเธอ และสำหรับเรื่องนี้ผู้เขียนกล้าฟันธงไม่กลัวหน้าแหกเลยว่านักแสดงระดับซงคังโฮหรือแบดูนาและไอยูที่เป็นระดับเบอร์ต้นๆของเกาหลีมีความต้องการร่วมงานกับฮิโรคาสึ โคเรเอดะแน่นอน ซึ่งคงรวมถึงกังดงวอนด้วยเช่นกันซึ่งแต่ละคนนั้นพลังดาราก็ไม่ใช่เล่นๆแต่เมื่อมารับบทคนธรรมดาที่เป็นชนชั้นรากฐานของสังคมแบบนี้กลับสามารถธรรมดาได้อย่างน่าพิศวง และเพราะบทหนังมันเรื่องเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปไม่ใช่เรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชายหรือคหบดีที่ไหนสิ่งที่ตัวละครเป็นจึงสามารถเข้าถึงด้วยใจ และหนังยังมีภาพสวยเพลงเพราะที่จังหวะจะโคนใช่ยิ่งกว่าใช่ในการส่งอารมณ์ อาจไม่ถึงกับแปลกใหม่ในการกำกับหนังเกาหลีของ "ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ" เพราะถ้าดูให้ดีก็ไม่ต่างจากหนังญี่ปุ่นพูดภาษาเกาหลีแต่หนังก็ดีเกินกว่าจะตำหนิ นี่คือโซจูรสสาเกจะให้นิยามแบบนี้คงไม่ผิดนักเพราะแม้จะเป็นหนังเกาหลีที่สร้างโดยบริษัทเกาหลีแต่ถ้าพินิจให้ดีนี่มันก็ไม่ต่างจากหนังญี่ปุ่นที่พูดภาษาเกาหลี อาจเพราะนอกจากเกาหลีก็ญี่ปุ่นนี่ล่ะที่ผู้เขียนดูบ่อยซึ่งในความจริงมันก็มีความคล้ายกันแต่ก็มีความต่างกัน และกับเรื่องนี้ด้วยโทนเรื่องการเล่าเรื่องและงานด้านภาพที่ใช้ภาพมุมกว้างกับทิวทัศน์สวยๆประกอบกับเพลงที่คลอพลิ้วแผ่วมันก็หนังญี่ปุ่นดีๆนี่เอง ซึ่งความต่างมันมีที่จริตของการแสดงจังหวะของการสนทนาน้ำเสียงสำเนียงเท่านั้นนอกนั้นมันสัมผัสความเป็นญี่ปุนอย่างชัดกว่า ซึ่งผู้กำกับและเขียนบทเป็นคนญี่ปุ่นแถมยังมีความชัดเจนในแนวทางของตัวเองทำให้ถ้าจะเอาความแปลกใหม่ในการกำกับหนังเกาหลีของฮิโรคาสึ โคเรเอดะก็ยังอาจไม่ได้ แต่หนังก็ดีเกินกว่าที่จะมาตำหนิเพราะดูแล้วต่อให้ไม่ตั้งใจให้ตีความแต่ไม่มีทางไม่คิดตามแน่นอน ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram cjenmmovie เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !