อยากอัพ Eng อ่านเล่มนี้Book Review: The Curious Incident Of The Dog In The Night-Time เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีข่าวข่าวหนึ่งหลงเข้ามาอยู่ในกระแสสังคม และมีการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์และถูกพูดถึงกันอย่างมาก ทั้งในสังคมออนไลน์ และบนหน้าจอทีวี ข่าวที่ว่าก็คือการหายตัวไปของ “เจ้าเตี้ย” สุนัขน่ารักตัวหนึ่งที่อยู่คู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาช้านาน และโด่งดังอยู่ในอินเตอร์เน็ตด้วยเพราะมีเพจเป็นของตัวเอง ที่มีคนติดตามดูความน่ารักของเจ้าเตี้ยเป็นหลักแสนคน เรื่องราวของเจ้าเตี้ยนั้นเริ่มต้นกระแสขึ้น เมื่อมีข่าวว่า สุนัขจรจัดแสนน่ารักตัวนี้ หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากมีคนพบว่า มีคนพามันขึ้นรถไปท่องเที่ยว สัปดาห์ต่อมามีคนพบศพเจ้าเตี้ย เสียชีวิต อย่างเป็นปริศนา การสืบสวนดำเนินไปจนกระทั่งพบว่า เจ้าเตี้ยอาจถูกฆ่าโดยคนบางคน ซึ่งจากเรื่องดังกล่าว กระแสของการตามหาความจริงเกี่ยวกับความตายของเจ้าเตี้ยก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกอินเตอร์เน็ต พร้อมๆ กับการตั้งคำถามหลายคำถามเกี่ยวสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมต่อความตายของสุนัขตัวหนึ่ง ที่ผมร่ายยาวมาขนาดนี้เพราะว่า ขณะที่ผมกำลังเลือกซื้อหนังสืออยู่ในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง สายตาผมก็ไปจับเข้ากับหนังสือเล่มนี้เข้า ผมคิดว่ามันเข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้ ก็เลยไม่ลังเลที่จะหยิบมันมา จ่ายเงิน และอ่านครับภาพถ่ายโดยผู้เขียนสำหรับหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเก่าคลาสสิค ที่วางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2003 หรือราวๆ 17 ปีที่แล้ว โดยนักเขียน Mark Haddon ตัวหนังสือนั้นเป็นแนวสืบสวนสอบสวน แต่มีกลิ่นของการเป็นหนังสือเด็กเสียมากกว่า หนังสือได้รับรางวัลนิยายแห่งปี จาก Whitbread Book Awards ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับนักเขียนในอังกฤษ ที่มีมากว่า 50 ปีแล้ว ตัวหนังสือพูดถึง Christopher Boone เด็กชายวัย 15 ปี ที่มีไอคิวสูง แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเหล่าอัจฉริยะ เขาไม่ยอมให้ใครสัมผัสร่างกายเด็ดขาด รักความสะอาดและกลัวการเข้าห้องน้ำสาธารณะ เป็นคนพูดตรงไปตรงมา กลัวสีเหลืองและสีน้ำตาล ชอบวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ มีพ่อผู้เป็นช่างประปาคอยดูแล ขณะที่แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน วันหนึ่ง เขาพบสุนัขที่ชื่อ Wellington ซึ่งเป็นสุนัขของ Mrs. Shears หญิงสาวบ้านใกล้ นอนเสียชีวิตอยู่หน้าบ้าน โดยมีคราดปักอยู่บริเวณลำตัว เขาเชื่อว่ามีใครบางคนในแถบบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง Swindon แห่งนี้นี่แหละ ที่เป็นคนฆ่าเจ้าหมาน่ารักตัวนี้ ด้วยความสงสัย เขาจึงเริ่มออกสืบสวนเสาะหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ของเขาลงไปตามคำแนะนำของ Siobhan ครูที่ปรึกษาของเขาในโรงเรียน แน่นอนว่าความตายของหมาตัวหนึ่งนั้น ได้นำพาเรื่องราวไม่คาดคิดหลากหลายมากมายที่จะเปลี่ยนชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้องไปตลอดกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของ Christopher เอง ตัวหนังสือนั้นน่าติดตามและมีลูกเล่นที่น่าสนใจหลายอย่างในการนำเสนอ อันแรกเลยก็คือ บทของหนังสือ ด้วยความที่ Christopher รักวิชาคณิตศาสตร์มาก เขาจึงตั้งใจนำเสนอหนังสือหรือบันทึกของเขาด้วยการกำหนดให้ตัวเลขของบทหนังสือนั้น นับตามจำนวนตรรกยะ (จำนวนที่มีเพียง 1 และตัวมันเองเท่านั้นที่หารลงตัว) ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความแปลก และถ้าคุณไม่มีที่คั่นหนังสืออยู่ในมือ คุณอาจจะงงได้ว่าอ่านไปถึงบทไหนแล้ว เพราะบทแรกของหนังสือเล่มนี้คือ 2 และบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้คือ 233 อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงกิมมิคเล็กๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงตัวละคร Christopher ได้ดียิ่งขึ้น ตลอดทั้งเล่มนอกจากการตามหาความจริงเกี่ยวกับการตายของ Wellington แล้ว เขายังบันทึกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ชอบและไม่ชอบ อธิบายเกี่ยวกับหลักตรรกศาสตร์ และเปรียบเทียบมันกับการใช้ชีวิตได้อย่างแยบยล เราจะได้เรียนรู้วิธีคิดของคนทีมีปัญหากับการเข้าสังคมอย่างรุนแรง ว่าพวกเขามองโลกแบบไหน ทำให้เราเข้าใจคนเหล่านี้ได้มากขึ้น และยิ่งการที่เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ทำให้ภาพของสิ่งต่างๆ ในมุมมองของเขานั้น ดูบริสุทธิ์และจริงใจเป็นอย่างมากภาพถ่ายโดยผู้เขียนในหนังสือยังแฝงประเด็นเกี่ยวกับ ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมในหลากหลายรูปแบบผ่านสายตาของ Christopher อีกด้วย ทำให้ภาพตอนแรกจากที่ผมเข้าใจว่าหนังสือจะนำเสนอนั้น เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หนังสือใช้ ความตายของสุนัขตัวหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้น เรียกแขกให้เข้ามาดู แล้วตบ กระทืบ บดขยี้ผู้อ่านด้วยตัวอักษรและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของ Christopher ที่ผมมองว่า ทำได้สมจริงจนบางครั้งคล้อยตามจนอยากจะร้องไห้เสียใจให้กับชีวิตอันน่าเศร้าของตัวละคร หนังสือที่แรกเริ่มผมมองว่า เป็นหนังสือเด็กเล่มนี้ กลับแฝงเร้นประเด็นอันเปราะบางไว้มากมาย จนความตายของสุนัขตัวหนึ่งกลายเป็นเรื่องรองของหนังสือไปโดยปริยาย (แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในหนังสือนั้น ตัวละครมองสุนัขว่ามีฐานะเท่าเทียมกับมนุษย์ หรือถ้าตามที่ Christopher มองก็คือ มนุษย์ก็เป็นสัตว์เหมือนกันกับสัตว์อื่นนั่นแหละ) มันจึงเป็นหนังสือที่เหมาะกับเด็กในวัยที่เป็นวัยรุ่นอ่านจะเหมาะกว่า เพราะเรื่องราวในหนังสือออกจะเป็นมุมมืดของชีวิตอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ไม่ได้มีความรุนแรงในระดับที่เกินรับไหว เป็นความรู้สึกอึนๆ ในใจภาพถ่ายโดยผู้เขียนภาพรวม หนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมติดหนึบไม่ยอมปล่อยอยู่ 3 วันเต็มๆ ภาษาในเรื่องนั้นอ่านง่าย แต่อาจจะงงหน่อยๆ ด้วยความที่ผู้เขียนหนังสือต้องการนำเสนอแนวความคิดของเด็กอายุ 15 คนหนึ่งที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคม ทำให้ภาษาที่ออกมานั้น เป็นบันทึกอย่างง่ายที่ไม่ได้มีคำศัพย์ซับซ้อน แต่มีโครงสร้างประโยคแบบความรวมเยอะมาก เช่นใช้คำว่า And ในประโยคเดียวเป็น 4-5 ตัว ซึ่งแน่นอนว่าโดยปกติมันทำให้ประโยคนั้นดูยาวเกินไป และอาจทำให้ผู้อ่านสับสน ( เช่นการบอกกว่า บ้านของฉันมีเก้าอี้และโซฟาและโต๊ะและเตียงและตู้และรองเท้าแตะสีน้ำตาล ) จึงมองว่าเหมาะแก่การอ่านเพื่อเก็บ Skill ด้านคำศัพท์และภาษาสำหรับผู้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษระยะเริ่มต้นได้ดีเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ประโยคจะยาวและซ้ำซ้อน แต่โครงสร้างประโยคเป็นอย่างง่ายและไม่มีการใช้สำนวนมากนัก ตัวหนังสือสอดแทรกทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ เข้าไว้ด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นการเพิ่มพูนคำศัพท์ได้ดี โดยไม่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาในการอ่านมากกว่านี้ แต่ปรากฏว่าอ่านลื่นกว่าที่คิด ทำให้ผมนึกถึงหนังสืออ่านเพลินอีกเล่มอย่าง Wonder โดย R.J. Palacio ที่ก็เป็นลักษณะของบันทึกของเด็กชายคนหนึ่งที่มีปัญหากับสังคมเช่นกัน แต่เป็นปัญหาคนละรูปแบบ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ลองอ่านดูจริงๆ นะครับ แล้วมันจะทำให้คุณมองโลกเปลี่ยนไป มีแง่คิดดีดีให้นำมาใช้ดำเนินชีวิตต่อไป แถมเพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษได้ดีอย่างแน่นอน เป็นหนึ่งในเล่มที่ผมคิดว่า อยากอัพ Eng ต้องอ่านเล่มนี้ สักหน่อยแล้ว ชื่อหนังสือ: The Curious Incident Of The Dog In The Night-Timeผู้แต่ง: Mark Haddonราคาปก: 213 บาท (ราคาจากร้าน Kino Kuniya Book Store)ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน