ในปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เจ้าของคอนเทนต์อยากจะเป็นเจ้าของสตรีมมิ่ง ส่งผลให้ มีสตรีมมิ่งเปิดตัวมากมาย เช่น Disney+ , HBO Max , Apple Tv และอื่นๆ Netflix กำลังจะโดน Disrupt โดยเจ้าใหญ่ๆในวงการ เช่น Disney+ , AT&T , Apple , Comcast ที่เป็นของ NBCUniversal โดยสตรีมมิ่งแต่ละเจ้าจะผลิตคอนเทนต์เอง โดยซีรีส์หรือคอนเทนต์ที่กำลังฉายอยู่ใน Netflix หลายๆเรื่องกำลังจะถูกถอดออกไป เช่น Marvel , การ์ตูน Pixar , Star Wars โดยจะถอดออก หรือแม้แต่ซีรีส์ที่คนดูเยอะๆในอเมริกาอย่างเรื่อง Friends , The Office ก็เป็นของ Comcast ด้วย นั่นแปลว่าต่อไปนี้ Netflix จะไม่มีซีรีส์ที่คนดูมากที่สุดอีกต่อไปแล้ว ซึ่งประเด็นนี้เป็นข้อตั้งสังเกตของหลายๆคนว่า เอ๊ะ หรือว่าจริงๆแล้วในอนาคต Netflix อาจจะไม่เป็นที่นิยมเหมือนตอนนี้แล้วก็เป็นไปได้ ยกตัวอย่าง จากที่หลายๆสื่อได้มีการพูดถีงประเด็นนี้กันมาก รูปภาพจากเว็บ : venturebeat มีบทความเรื่อง Netflix’s biggest competition isn’t sleep — It’s YouTube เป็นบทความของ คุณ แมนิช ซิง จากเว็บไซต์ แวนเชอบีช เขาบอกว่า เค้าเห็นต่างว่าคู่แข่งของ Netflix ไม่ใช่การนอน แต่ว่า Youtube นั่นเอง แล้วมันก็เกิดคำถามขึ้นว่า จริงๆ Netflix กับ YouTube มันคนละอย่างกัน อย่างซีรีส์ที่เราดูกันบน Netflix มันไม่มีใน Youtube คนที่ชอบซีรีส์ก็ไม่ได้จะเข้า Youtube คนที่ดู Youtube Creator ก็อาจจะไม่ได้สนใจซีรีส์ แล้วมันเป็นคู่แข่งกันยังไง? แท้จริงแล้ว คู่แข่งจริงๆเนี่ยก็คือการ แย่งเวลา กันมากกว่า อยู่ที่ว่าวันไหนใครมีอารมณ์อยากจะดูอันไหนมากกว่าคู่แข่ง Netfllix มีกี่ราย ? รูปภาพจากช่อง Youtube : Brand Inside ปัจจุบัน Netflix คือผู้ครองตลาดสตรีมมิ่งเบอร์ 1 ของโลก มียอดคนใช้งาน (subscribers) 151 ล้านคนทั่วโลก และมีมูลค่ากิจการสูงถึง 1.45 แสนล้านดอลลาร์ หากย้อนไปก่อนหน้านี้ในปี 2017 Netflix คือบริษัทที่ติดอันดับ 4 ใน Fortune 50 ซึ่งเป็นลิสต์ของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในอนาคต หรือถ้าดูในปี 2018 มูลค่าตลาดของ Netflix ก็เคยแซงหน้าธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Disney มาแล้ว แต่หลังจากนี้ เรื่องเล่าของ Netflix อาจจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะดูเหมือนว่า Netflix ได้ผ่านจุดที่ดีที่สุดมาแล้ว นักวิเคราะห์บางคนถึงกับบอกว่าฝันร้ายที่สุดของ Netflix ได้มาถึงแล้ว นับตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา เราได้เห็นยักษ์ใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรมระดับโลกประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมาสู้กับ Netflix อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Disney+, HBOmax, Apple TV+, NBCUniversal และรวมถึงรายอื่นๆ ในตลาดที่อยู่มาก่อนหน้าแล้วอย่าง Amazon Prime Video หรือ Hulu และ CBS ในสหรัฐอเมริกา Netflix ไม่หวั่นคู่แข่งและเร่งผลิต Content Original ที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดของผู้ผลิตมากขึ้น รูปภาพจาก : Netflix โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว คิดว่า Netflix ยากที่จะ "ล่วง" ได้ เพราะการที่เขาได้เข้ามาเป็นเจ้าแรกๆของตลาดสตรีมมิ่ง เป็นข้อได้เปรียบกว่าเจ้าอื่นๆ มียอด Subscribe ที่มาจากทั่วทุกมุมโลก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของ เทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีในการทำสตรีมมิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะขนาดอย่าง Disney ยังไปจ้างกิจการของ Bamtech ที่เป็นบริษัทด้านการผลิตสตรีมมิ่งเทคโนโลยี 2.6 พันล้านดอลล่า เพื่อมาพัฒนา Disney+ ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เราในฐานะเป็นผู้เสพสื่อ หรือผู้บริโภค ควรแบ่งเวลาในการดูสื่อโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและเงิน ต้องรู้ความต้องการของตัวเอง และหารายได้ให้ตัวเองไม่ลำบาก เปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าแต่ละเจ้าว่าคุ้มกับเงินที่เราเสียไปไหม รู้ความต้องการของตัวเองว่าชอบ Content แบบไหน อย่าง Netflix ก็จะเน้นไปที่ซีรีส์และหนัง แต่บางคนอาจจะชอบ Content กีฬา หรือ ข่าวสารต่างๆ ก็ต้องไปที่ Peacock Cr. Logo หน้าปก : Netflix