เพราะความรักไม่มีเพศและคุณทุกคนสมควรที่จะได้มีความรักอย่างที่ต้องการ เข้าสู่เดือน Pride Month ทั้งทีวันนี้ ME อยากจะพาทุกคนไปร่วมเฉลิมฉลองให้กับความเท่าเทียมทางเพศและความหลากหลายทางเพศ ด้วยภาพยนตร์และซีรีส์ LGBTQ+ ที่ควรค่าแก่การดูในเดือน Pride Month นี้ ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหนก็สามารถร่วมฉลองไปกับเพื่อน ๆ ชาว LGBTQ+ ได้ตลอดทั้งเดือนเลยค่าา 💕🏳️🌈Love Simon (อีเมลลับฉบับ, ไซมอน) : เรียบง่ายและอบอุ่นหัวใจ 10/10มาเริ่มต้นกันที่ภาพยนตร์ No.1 ตลอดกาลในใจของ ME อย่างเรื่อง Love Simon (อีเมลลับฉบับ, ไซมอน) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายวัยรุ่นที่ขายดีอย่าง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ซึ่งผู้ที่มารับบทนำเป็นไซม่อนคือ Nick Robinson ที่โดดดังจาก เรื่อง Jurassic World โดยเนื้อหาหลัก ๆ ของเรื่องจะเป็นการพูดถึงปัญหาของไซม่อนที่ไม่กล้าเปิดตัวว่าตนเองเป็น LGBTQ+ ต่อครอบครัวและสังคมรอบข้าง ซึ่งจุดนี้ทำให้ส่วนตัวเรามองว่าเป็นประเด็นที่หลายคนต้องเผชิญเป็นจำนวนมาก Love Simon จึงถือเป็นหนังที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและช่วยให้เพื่อน ๆ LGBTQ+ ที่มีปัญหาเดียวกันกับไซม่อนไม่กลัวที่จะเป็นตัวเองอย่างที่ต้องการ อีกทั้งภายในเรื่องยังสะท้อนความรักอีกหลากหลายด้านในชีวิตของมนุษย์เรา แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาอย่างเรียบง่ายแต่ส่วนตัวเรามองว่ามันสวยงามและโอบกอดจิตใจคนดูได้ดีเลยทีเดียว Heartstopper (เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น) : ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยคำว่าน่ารัก 10/10หากต้องแนะนำซีรีส์ LGBTQ+ ที่ดีที่สุดในใจ ME คงเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก Heartstopper (เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น) เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ยิ้มตามตลอดจริง ๆ และที่สำคัญซีรีส์เรื่องนี้ยังได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ฝั่งนักวิจารณ์ไปสูงถึง 100% ถ้าไม่ดีจริง Rotten Tomatoes ไม่กล้าให้ถึง 100 แน่นอนค่ะโดยเนื้อหาภายในเรื่องจะเริ่มเล่าผ่านเรื่องราวชีวิตของ ชาลี นักเรียนมัธยมปลายที่ค้นพบว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความกล้าในการเปิดเผยตัวตนของชาลีทำให้ชีวิตในโรงเรียนของเขาไม่ง่ายนัก เพราะชาลียังต้องเผชิญกับกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับในตัวตนของเขา แต่ว่าชาลีก็มีเพื่อนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างเสมอ ซึ่งจุดนี้เป็นอีกเรื่องที่เราประทับใจในซีรีส์เรื่องนี้ และหลังจากขึ้นเกรด 10 ชาลีได้พบกับ นิค ที่เรียนอยู่เกรด 11 และเป็นนักกีฬาของโรงเรียน นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมิตรภาพที่เต็มไปด้วยคำว่าน่ารักและละลายใจคนดูอย่างเรามาก ๆ แม้ว่า Heartstopper จะเป็นซีรีส์รักสไตล์ไฮสคูลแต่ว่ากลับเล่าเรื่องได้อย่างไม่น่าเบื่ออีกทั้งเรื่องราวต่าง ๆ พาใจคนดูอย่างเราให้กว้างและเติบโตไปพร้อม ๆ กับตัวละครอีกด้วย พูดได้คำเดียวว่าใจฟูมากกกกก Call Me By Your Name (เอ่ยชื่อคือคำรัก) : ธรรมชาติ ศิลปะ และความหลงใหล 8.5/10 สำหรับเรื่องถัดมาเป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่ากวาดรางวัลการันตีคุณภาพมาหลายรางวัลซึ่งก็คือ Call Me By Your Name (เอ่ยชื่อคือคำรัก) หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนัง LGBTQ+ ที่สอดแทรกปรัชญาและบทกวีไว้อย่างมากมาย ส่วนตัวเราเองก็อาจจะยังเก็บรายละเอียดได้ไม่ครบด้วยซ้ำ Call Me By Your Name จึงถือเป็นหนังที่มีเนื้อหาลึกซึ้งมาก โดยเนื้อหาหลักของเรื่อง Call Me By Your Name เริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี 1983 ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ผ่านตัวละครหลักอย่าง เอลิโอ ที่รับบทโดย Timothee Chalamet เอลิโอในวัย 17 ปี เขาใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยในคฤหาสน์โบราณกับพ่อและแม่ที่เป็นนักวิชาการ จนกระทั่ง โอลิเวอร์ รับบทโดย Armie Hammer นักศึกษาชาวอเมริกันที่เดินทางมาช่วยงานวิจัยของพ่อเขา ทำให้ทั้งคู่ได้เริ่มศึกษากันและกันไปพร้อมกับงานวิชาการที่ลึกซึ้ง สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประทับใจเรามาก ๆ คืออารมณ์ของหนังที่เหมือนพาเราไปเที่ยวเล่นในเมืองชนบทของอิตาลี ที่ทั้งเต็มไปด้วย ธรรมชาติ ศิลปะ และความหลงใหล ทำให้ Call Me By Your Name มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอีกทั้งยังสะท้อนความปรารถนาระหว่างชายชายออกมาได้อย่างสวยงามเหมือนกับภาพวาด Masterpiece และสุดท้ายคือสถานที่ต่าง ๆ ในหนังคือสวยมากจนเราเองอยากลองไปเที่ยวที่อิตาลีในหน้าร้อนดูสักครั้ง รักแห่งสยาม : ภาพยนต์สายวายไทยในความทรงจำ 9.5/10 มาที่หนังวายสัญชาติไทยกันบ้างกับเรื่อง รักแห่งสยาม สำหรับหนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ LGBTQ+ เรื่องแรกที่เราดู จำได้ว่าตอนนั้นคลั่งรักมาริโอ้มาก ๆ ใครที่มีอคติกับหนังรักสายวายของไทยบอกเลยว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนอคติที่เคยมีไปเลย โดยเรื่องราวเล่าผ่านความสัมพันธ์ของโต้งและมิวที่เป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่สมัยเด็ก จนพวกเขาได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้งที่สยาม โต้งและมิวจึงได้เริ่มต้นความรู้สึกที่พิเศษมากยิ่งขึ้นพร้อมกับค้นพบตัวตนของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน ที่พิเศษคือหนังเรื่องนี้ไม่เพียงแค่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักและมิตรภาพของโต้งและมิวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความรักได้หลายมิติผ่านทุกตัวละครในเรื่องได้อย่างสวยงามและกินใจจนเราเองยกให้เป็นหนังวายระดับตำนาน ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคก็ยังอยากที่จะย้อนกับไปดูในทุก ๆ ปี Orange is The New Black : หลากรสชาติ เต็มอิ่มกับมิตรภาพ 9/10ขอพาเพื่อน ๆ เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างกับ Orange is The New Black ซีรีส์ที่สะท้อนความเป็น LGBTQ+ ในอีกด้านได้เปิดโลกมาก ๆ เมื่อหลายปีก่อนซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่รับความสนใจและได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลายมาก โดยส่วนตัวนี่ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ควรค่าแก่การดูในเดือน Pride Monthเรื่องราวของซีรีส์ Orange is The New Black ถ่ายทอดทั้งในแง่ของปัญหาสังคมและความหลากหลายทางเพศผ่านตัวละครที่เป็นนักโทษจากเรือนจำ ลิทซ์ฟิล โดยนักแสดงที่มารับบทนำในเรื่องคือ Taylor Schilling รับบทเป็น Piper Chapman สาวไอโซที่ชีวิตพลิกผันจนต้องคดี และเข้ามาเป็นหนึ่งในนักโทษที่สร้างเรื่องอื้อฉาวให้แก่ เรือนจำ ลิทซ์ฟิล โดยการมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนักโทษสาวที่เป็นอดีตแฟนเก่าของเธอ สิ่งที่ทำให้เราหยุดดูซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้คือความหลากหลายของตัวละคร ที่ทำให้คนดูอย่างเราต้องใช้ความใจกว้างและเข้าใจในการศึกษาทุกตัวละคร นี่จึงเป็นจุดที่เราประทับใจในซีรีส์เรื่องนี้มาก ๆ อีกทั้งตลอดของเรื่องยังให้ทั้งความสนุก ความแปลกใหม่ และความตลกที่เรียกได้ว่าเปิดโลกกันไปแบบขั้นสุด Moonlight : ภาพยนตร์ LGBTQ+ สุดเคว้งระดับออสการ์ 8.5/10ปิดท้ายกันที่ภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 8 สาขาอย่าง Moonlight ถือเป็นหนังดราม่าที่พาความรู้สึกคนดูให้ด่ำดิ่งไปกับความเดียวดายของตัวละครที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง มาเฮอร์ชาลา อาลี มารับบทเป็นฮวนผู้เปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ของไชรอนถือเป็นหนัง LGBTQ+ ที่ถ่ายทอดทั้งความรู้สึก ความคิด และปัญหาต่าง ๆ ที่ชาว LGBTQ+ หลายคนต้องเผชิญ โดยเนื้อเรื่องเล่าผ่านตัวละครเด็กผิวสีชื่อ ไชรอน ที่ต้องก้าวข้ามการถูกเหยียดทั้งในเรื่องชาติพันธุ์และเพศวิถีที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คนรอบข้างคิดว้าเขาควรจะเป็น สิ่งที่เราประทับใจในหนังเรื่องนี้คือการได้จับมือเดินไปกับ ไชรอน จากวัยเด็กสู่วัยรุ่นจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรักของไชรอนและการแสดงออกของเขาทำให้เราอดที่จะซาบซึ้งและเสียน้ำตาไปด้วยไม่ได้ เรียกได้ว่าบรรยากาศเดือน Pride Month ของไทยเราในปีนี้ถือเป็นปีที่ผู้คนออกมาร่วมเฉลิมฉลองอย่างครึกครื้น และมีหลายที่ที่เริ่มจัดงาน Pride Month กันอย่างตระการตา ME จึงขอให้เพื่อน ๆ ชาว LGBTQ+ มีความสุขและได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ กับหนังที่ ME ได้แนะนำให้กับทุกคนในวันนี้ เพราะความรักไม่มีเพศและคุณทุกคนสมควรที่จะได้มีความรักอย่างที่ต้องการ เครดิตรูปภาพรูปปก 1 จาก Orange Is the New Black / 2 จาก Netflix / 3 จาก Call Me By Your Nameรูปที่ 1 จากเพจ Love, Simonรูปที่ 2 จากเพจ Netflixรูปที่ 3 จากเพจ Call Me By Your Nameรูปที่ 4 จากเว็บ Sahamongkolfilmรูปที่ 5 จากเพจ Orange Is the New Blackรูปที่ 6 จากเพจ Netflix คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน