John Wick ผลงานชิ้นโบว์แดงจากฝีมือการกำกับของ แชด สตาเฮลสกี อดีตสตันแมนคู่กายของนักแสดงมากฝีมือสุดเท่ คีอานู รีฟส์ จากภาพยนตร์แอคชั่นระดับตำนานอย่าง The Matrix ด้วยความสนิทสนมอันยาวนานนี้เอง ทำให้เมื่อแชดได้ลองมากำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต เขาจึงสามารถคว้าเอาคีอานูมาร่วมงานกับเขาได้อย่างไม่ยากเย็น อีกทั้งในเวลาต่อมาใครจะไปรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องแรกที่แชดกำกับจะสามารถได้ยกระดับมาตรฐานของภาพยนตร์แอคชั่นและสร้างภาพจำใหม่ให้คีอานู ในฐานะของนักฆ่ามือพระกาฬ จอห์น วิค ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะขอพาทุกคนดำดิ่งสู่โลกของ John Wick ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในภาค 1 สู่บทสรุปในภาค 4John Wick ปฐมบทแห่งเฟรนไชส์โลกนักฆ่า ออกฉายในปี 2014 ในฐานะหนังแอคชั่นทุนต่ำเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าน้อยเอามาก ๆ ด้วยทุนสร้างที่มีจำกัดทำให้แทบไม่การโฆษณาโปรโมทหนังเลยด้วยซ้ำ มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้คือนักแสดงระดับแม่เหล็กรุ่นเก๋าอย่าง คีอานู รีฟส์ แต่ในขณะนั่นต้องยอมรับว่างานแสดงของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นมากสักเท่าไหร่ ทำให้มีบางคนถึงขนาดค่อนขอดว่านักแสดงระดับคีอานูตกต่ำถึงกับมาเล่นหนังแอคชั่นทุนต่ำแบบนี้เลยหรอเห็นได้ชัดว่าในภาคแรก แทบไม่มีใครสนใจหรือคาดหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันว่านี้เป็นหนังแอคชั่นทุนต่ำที่มีคีอาร์นูมาแสดงเป็นตัวเอกเท่านั้น แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าตอนนั้นมองข้ามภาพยนตร์เรื่องนี้ไป สุดท้ายก็ยังเสียดายและรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ที่มองข้ามจนพลาดโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์เรื่องย่อ จอห์น วิค อดีตนักฆ่ามือพระกาฬระดับตำนานที่เกษียณออกจากวงการมาใช้ชีวิตปกติสุขร่วมกับภรรยา ทว่า ความสุขของจอห์นกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อภรรยาของจอห์นเสียชีวิตลง และของขวัญชิ้นสุดท้ายจากภรรยาอันเป็นที่รักทิ้งไว้ให้ คือ ลูกสุนัขบีเกิ้ล มันคือของขวัญที่มีชีวิต ชีวิตดวงน้อย ๆ แต่มีค่าทางความรู้สึกต่อหัวใจที่แตกสลายของจอห์น แต่แล้วโชคชะตาก็ทำร้ายเขาอีกครั้ง เมื่อโลเซฟ ทาราซอฟ ลูกชายของวิคโก้ ทาราซอฟ เจ้าพ่อมาเฟียแห่งเมืองนิวยอร์ก บุกเข้ามาขโมยรถของจอห์นถึงบ้าน และที่สำคัญโลเซฟยังสังหารของขวัญชิ้นสุดท้ายจากภรรยาของจอห์นอีกด้วย เมื่อลูกสุนัขที่เป็นดั่งสิ่งแทนใจภรรยาถูกพรากไป นั่นเหมือนเป็นการปลุกมัจจุราชให้กลับมาอีกครั้ง อดีตนักฆ่าผู้สูญเสียทั้งภรรยาและสุนัขตัวสำคัญจึงต้องกลับเข้าสู่วงการเพื่อตามชำระแค้นด้านเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของ John Wick เป็นอะไรที่ธรรมด๊าธรรมดามาก แต่ในความธรรมดานี้กลับใส่รายละเอียดมากมายเอาไว้จนชมเท่าไหร่ก็ไม่หมด เริ่มจากโลกนักฆ่า ต้องบอกว่านี้ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีพล็อตเกี่ยวกับโลกนักฆ่า แต่โลกนักฆ่าของ John Wick มีระบบ สังคม และกฎเกณฑ์ที่น่าสนใจเอามาก ๆ แต่ในภาคแรกจะยังไม่ได้เห็นชัดมากนัก เนื่องจากเป็นภาคแรก และเป็นเหมือนการลองตลาด หากปัง ก็ขยายต่อ แต่หากไม่ก็แค่พับเก็บ แต่อย่างที่เห็นว่าทุกวันนี้โลกนักฆ่าที่มี John Wick เป็นใบเบิกทางสามารถเปลี่ยนเป็นเฟรนไซส์ที่ขยายออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด กลายเป็นจักรวาลนักฆ่าที่พร้อมให้ต่อกันที่เส้นเรื่องหลัก ทุกท่านอาจสงสัยทำไมเลือกเขียนรีวิวเส้นเรื่องหลักต่อจากรายละเอียดของโลกนักฆ่า เนื่องจากว่าเส้นเรื่องหลักของ John Wick เป็นอะไรที่เฉย ๆ และธรรมดานั่นเอง หากคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการสืบหา สะกดรอย เพื่อตามล้างแค้นแบบเข้มข้น คงต้องขอแสดงความเสียใจต่อทุกท่านด้วย เพราะพล็อตเรื่องของ John Wick ง่ายแสนง่าย เข้าทางจอห์นไปหมดทุกอย่าง สามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ไม่มีจังหวะให้ลุ้นสักเท่าไหร่หรือต่อให้มีก็ไม่ลุ้นอะไรเพราะก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้ามองแบบมาตราฐานของภาพยนตร์สักเรื่อง John Wick ถือเป็นภาพยนตร์แอคชั่นพล็อตเกรด B ดูได้ ดูง่าย ถอดสมองแล้วแค่เอ็นจอยกับฉากแอคชั่นเป็นพอด้านเทคนิคงานภาพในภาคแรกนี้ถือว่าอยู่ในระดับดี แต่ที่น่าสนใจคือมูนแอนโทน เห็นได้ชัดว่าโทนสีของภาคแรกนี้จะออกไปทางสีครามและดำตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งท้องฟ้าภายในเรื่องยังครึ้มฟ้าครึ้มฝน ซึ่งโทนภาพและองค์ประกอบของเมฆนี้จะคล้ายกับฉากเปิดของเรื่องที่เริ่มต้นด้วยฉากงานศพภรรยาของจอห์น เข้ากับคอนเซปของหนังที่นำเสนอเรื่องราวของนักฆ่าผู้เต็มไปด้วยความเศร้าโศกทั้งจากภรรยาที่พึ่งเสียไปและสุนัขของเขาอีกสิ่งที่น่าสนใจ คือ ฉากแอคชั่น ถ้าเทียบกับฉากแอคชั่นในภาพยนตร์สมัยนี้คงเป็นฉากที่ดูปกติและธรรมดา แต่หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ต้องบอกว่านี้คืออีกจุดที่ทำให้ John Wick เป็นภาพยนตร์แนวแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมและกวาดรายได้มหาศาล ด้วยมุมกล้องและการตัดต่อที่ต่อเนื่อง ไม่มีจุดไหนที่ขาดช่วงกันเลย ทำให้ฉากแอคชั่นที่ออกมาเต็มไปด้วยความแน่นแต่เนียนด้านการแสดงเริ่มที่นักแสดงอย่าง คีอานู รีฟส์ ผู้สลัดคราบนีโอจากภาพยนตร์ The Matrix สวมบทเป็นยอดนักฆ่ามือพระกาฬอย่าง จอห์น วิค ผู้เป็นที่หวาดกลัวของคนทั้งวงการนักฆ่า แม้ตัวหนังจะไม่ได้ย้อนอดีตของจอห์นว่าเขาเก่งแค่ไหน แต่ด้วยการแสดงและการออกแอคชั่นของคีอานูก็ทำให้ผู้ชมอย่างเรา ๆ ที่ได้รับชมเชื่อตามโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เรียกได้ว่าคีอานูคือชายผู้แบกหนังทั้งเรื่องด้วยการแสดงเลยก็ว่าได้ตามที่ได้เขียนไปย่อหน้าก่อน ว่าคีอานูคือนักแสดงที่แบกหนังทั้งเรื่อง นั่นเท่ากับว่าการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ เป็นการแสดงที่เฉย ๆ มาก ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี เป็นการแสดงในระดับมาตรฐาน นักแสดงหลายคนในเรื่องแสดงเหมือนหุ่นที่ได้รับบทมายังไงก็แสดงไปทั้งอย่างนั่น ไม่รู้สึกถึงอารมณ์ร่วมเลยสรุปJohn Wick ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์นอกกระแสที่ถูกมองข้าม แต่ด้วยคุณภาพและรายละเอียดข้างในของมัน ทำให้แม้ไม่มีทุนมากพอต่อการโปรโมท แต่ด้วยกระแสบอกแบบปากต่อปากจากผู้ชมด้วยกันเอง สามารถส่งให้ภาพยนตร์นอกกระแสเรื่องนี้แจ้งเกิดและปูทางสู่โลกนักฆ่าได้สำเร็จทว่า ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะด้านการแสดงของนักแสดงเป็นอะไรที่ชวนธรรมดามาก จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหากภาพยนตร์เรื่องนี้มีทุนสูงและได้รับการคาดหวังมากจากผู้ชม ส่วนของการแสดงคงเป็นส่วนที่ทำให้หลายคนรู้สึกขัดใจและอาจไม่ชอบไปเลย แต่ยังดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มี คีอานู รีฟส์ ทำให้การแสดงแค่ของเขาคนเดียวก็สามารถกลบข้อเสียด้านการแสดงของนักแสดงคนอื่นจนหมด อาจเรียกได้ว่า การแสดงของคีอานูคือพลังที่ช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนอีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดให้ผู้กับกำหน้าใหม่ แชด สตาเฮลสกี ที่พึ่งได้ลองกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกก็สามารถประสบความสำเร็จและแจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์แนวแอคชั่น และนี่ยังถือเป็นการปลุกชีพให้กับ คีอานู รีฟส์ นักแสดงที่หลายคนมองว่าเขาอิ่มตัวกับการแสดงและคงไม่มีผลงานใหม่ ๆ มาให้จดจำอีก แต่วันนี้หากใครพูดถึงคีอานู ภาพแรกในหัวคงไม่ใช่พ่อหนุ่มสุดเท่พร้อมแว่นตาดำจาก The Metrix อีกแล้ว หากแต่ภาพจำใหม่ของเขาคือนักฆ่าในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบนามว่า จอห์น วิคคะแนน: 9/10John Wick: Chapter 2 หลังประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายทั้งคำวิจารณ์และรายได้ ปี 2017 หรือ 3 ปี หลังจากภาคแรกเข้าฉายไป ผู้กำกับอย่าง แชด สตาเฮลสกี กลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วย คีอานู รีฟส์ ซึ่งพร้อมสานต่อจักรวาลโลกนักฆ่าให้กว้างไกลออกไปกว่าภาคแรกหลายเท่าด้วยภาคแรกซึ่งได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวแอคชั่นและมีคำชมที่ล้นหลาม ทำให้ John Wick: Chapter 2 มาพร้อมกับทุนสร้างที่เพิ่มมากขึ้น พร้อม ๆ กับความคาดหวังจากผู้ชมหลายคนที่คาดหวังว่านี้จะเป็นอีกหนึ่งตำนานใหม่ของภาพยนตร์แอคชั่น และเป็นอีกบทพิสูจน์ที่จะพิสูจน์ฝีมือการแสดงของ คีอานู รีฟส์เรื่องย่อเรื่องดำเนินต่อจากภาคแรกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อการกลับเข้าสู่โลกนักฆ่าตามชำระแค้นในภาคแรกของ จอห์น วิค ทำให้เขาต้องรับผลที่ตามมา เมื่อ ซานติโน่ ดี'อันโตนิโอ้ เพื่อนเก่าที่เคยช่วยให้จอห์นเกษียณออกวงการนักฆ่าไปใช้ชีวิตสงบสุขกลับมาพร้อมคำขอที่จอห์นไม่อาจปฏิเสธได้ คำขอที่ว่าคือการบุกเข้าไปสังหารพี่สาวของซานติโน่ซึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งในสภาสูง ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อที่เมื่อพี่สาวของซานติโน่ไม่อยู่แล้ว ตัวซานติโน่จะได้รับตำแหน่งสภาสูงมาครองเสียเอง งานนี้จอห์นไม่อาจปฏิเสธได้ เขาจึงต้องหวนกลับมารับงานฆ่าอีกครั้งเพื่อหวังว่าหนีจะเป็นทางหลุดพ้นให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขดังเดิมด้านเนื้อเรื่องเส้นเรื่องหลักของภาพยนตร์แนวแอคชั่นเป็นอะไรที่ง่ายและไม่ซับซ้อนอยู่แล้ว ดังนั้น หากจะคาดหวังกับเนื้อเรื่องก็คงมาผิดเรื่องแล้ว ต่อให้นี่จะเป็นภาคต่อ แต่ด้วยเนื้อเรื่องของ John Wick เป็นอะไรที่เข้าใจง่ายมาก อย่างในภาคแรกคือการล่าชำระแค้น ภาคนี้ก็คือการดิ้นรนของจอห์นที่ต้องรับผิดชอบต่อการกลับเข้าวงการอีกครั้งด้วยการรับงานฆ่าเป้าหมายให้เสร็จสิ้นความน่าสนใจของ John Wick: Chapter 2 ไม่ได้อยู่ที่เส้นเรื่องหลักเลย หากแต่ความน่าสนใจของภาคนี้คือจักรวาลโลกนักฆ่าในเรื่องที่ถูกสานต่อมาได้น่าสนใจจนต้องร้องว้าว จากภาคแรกที่เห็นเพียงแค่โรงแรม The Continental โรงแรมของเหล่านักฆ่า แต่มาในภาคนี้ได้ขยายให้เราได้เห็นโลกนักฆ่าที่กว้างใหญ่ทั้งระบบ สังคม การค้า การบริหาร การบริการ และการทำงาน ตัวอย่างเช่นร้านตัดสูทสำหรับนักฆ่า เรียกได้ว่านี้อาจเป็นเส้นเรื่องหลักของภาคนี้เลยก็ว่าได้ด้านเทคนิคตัวภาพยนตร์เริ่มต้นหลังจากฉากจบในภาคแรกเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งในภาคแรกเราจะเห็นได้ว่าการถ่ายทำแต่ละฉากล้วนเป็นโทนความหมองหม่น แต่เพียงฉากแรกที่เปิดมาของ John Wick: Chapter 2 ภาพโทนนั่นได้หายไป กลายเป็นภาพโทนธรรมดา เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าในภาคนี้จอห์นเริ่มจะชินกับชีวิตธรรมดาและปล่อยวางได้หลังจากชำระแค้นได้สำเร็จไปในภาคแรก หรือตีความได้อีกนัยยะคือในภาคนี้ไม่มีเวลาให้เขาต้องเศร้าโศกก็เป็นได้ในส่วนของฉากแอคชั่น ถือว่าพัฒนาขึ้น ฉากการต่อสู้ดุเดือด ดุดัน และเร้าใจ ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เมื่อรวมเข้ากับการถ่ายทำที่ดีขึ้นและการตัดต่อที่ดีตั้งแต่ภาคแรก ทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่ฉากแอคชั่นดีที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสียงปืน John Wick: Chapter 2 น่าจะเป็นภาคที่มีเสียงและเอฟเฟกต์ปืนดีที่สุดแล้ว อาจเพราะเมื่อรวมกับองค์ประกอบที่เขียนไปข้างต้น ทำให้ทุกอย่างออกดุดันและเร้าใจได้ดีมากด้านการแสดงในภาคแรกการแสดงของ คีอานู รีฟส์ สามารถแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ยังไง ในภาคนี้แม้หนังแสดงคนอื่น ๆ จะแสดงได้ดี แต่ก็ไม่วายโดนการแสดงของคีอานูกลบจนหมด เพราะในภาคนี้คีอานูทำการบ้านและเตรียมตัวมาดีมาก สมกับบทบาทของนักฆ่ามากฝีมือจริง ๆ เริ่มตั้งแต่คีอานูได้ฝึกการใช้ศิลปะป้องกันตัว เช่น ยูโด ยูยิตสู คราฟมากา มวย เพื่อทำการแสดงในฉากต่อสู้มือเปล่า อีกทั้งเขายังได้ฝึกการใช้อาวุธปืนกับอดีตทหารตัวจริงที่ฝึกตั้งแต่การใช้อาวุธไปจนถึงการฝึกกลยุทธเพียงแค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่าทำให้ฉากแอคชั่นในภาคนี้ถึงเป็นภาคที่ฉากแอคชั่นดีที่สุด เพราะการแสดงของคีอานูที่รีดเค้นทุกอย่างโดยเฉพาะในฉากแอคชั่น ทำให้เมื่อดูฉากแอคชั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านี่คือฉากแอคชั่นจากภาพยนตร์ทหารดี ๆ สักเรื่อง เพียงแต่เรื่องนี้เป็นการแสดงฉากแอคชั่นของนักแสดงเพียงคนเดียวที่โดดเด่นมากมาต่อที่นักแสดงคนอื่น ๆ จากภาคแรกที่การแสดงของนักแสดงหลายคนแสดงได้ธรรมดาจนถ้าไม่ได้การแสดงของคีอานูแบกเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ในภาคนี้อาจด้วยทุนสร้างที่สูงขึ้น นักแสดงที่ได้มาจึงมีความสามารถมากขึ้นด้วย ทำให้การแสดงในภาคนี้จัดว่าดีเลย ไม่รู้สึกเฉย ๆ จนหาอารมณ์ร่วมไม่ได้เหมือนภาคแรกสรุปJohn Wick: Chapter 2 ยกคงความยอดเยี่ยมไว้ได้ดีและสานต่อได้น่าประทับใจสุด ๆ หลายฉากในภาคนี้ทำร้องว้าวและทึ่งกับความทะเยอะยานของผู้กำกับที่ต้องการสร้างโลกนักฆ่า จากภาพยนตร์ทำภารกิจธรรมดาแต่เมื่อรวมเข้ากับโลกนักฆ่าที่ถูกสร้างขึ้นและขยายใหญ่ออกไป ยิ่งทำให้ John Wick: Chapter 2 เป็นภาพยนตร์นักฆ่าที่สดใหม่และแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อกลับมารับชมก็ยิ่งรู้สึกว่าไอเดียต่าง ๆ ไม่เก่าไปเลยส่วนต่อมาคือการแสดงของ คีอานู รีฟส์ ที่ต้องชมเลยว่าการฝึกหนักของเขาทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมได้ เป็นการตอกย้ำให้ผู้ชมทุกคนรับรู้ว่าต่อจากนี้ภาพจำให้ของเขาคือนักฆ่านามว่า จอห์น วิค ชายผู้ใช้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาวุธสังหารได้คะแนน: 9/10John Wick: Chapter 3 - Parabellum หลังเซ็ตโลกนักฆ่าได้ลงตัวไปใน John Wick: Chapter 2 การสานต่อให้โลกนักฆ่าสมบูรณ์จึงต้องดำเนินต่อไป จนมาถึงปี 2019 ภาคต่ออย่าง John Wick: Chapter 3 - Parabellum ก็ตามมา โดยยังได้ผู้กำกับคนดีคนเดิม แชด สตาเฮลสกี มาทำต่อ พร้อมกับนักแสดงผู้เป็นแม่เหล็กประจำเรื่องอย่าง คีอานู รีฟส์ ก็กลับมาด้วยเช่นกันเรื่องย่อจอห์น วิค ได้ทำผิดกฎร้ายแรงของโรมแรง The Continental ด้วยการลงมือสังหารคนในพื้นที่โรงแรมซึ่งตามกฎถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทำให้จอห์นถูกเนรเทศและตามล่าจากเหล่านักฆ่าทั่วทุกมุมโลก จากนักล่าสู่ผู้ถูกล่าโดยเหล่าพวกพ้องในวงการด้วยกันเสียเอง หนทางเดียวที่จอห์นจะปลอดภัยได้คือการตามหาผู้มีอำนาจเหนือสภาสูงเพื่อคุ้มครองเขาด้านเนื้อเรื่องภาคนี้มีความยาว 2 ชั่วโมง แต่กลับใช้เวลาได้สิ้นเปลืองมาก ความยาวของเรื่องไม่ได้ถูกใช้ไปกับเนื้อเรื่อง หากแต่ใช้ไปกับฉากแอคชั่นที่พยายามยัดเข้ามา ในขณะที่เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าไปไหน วกไปวนมา จนทำให้ตัวละครที่เด็ดเดี่ยวมาตลอดอย่างจอห์นพอมาในภาคนี้กลับรู้สึกว่านี้ไม่ใช่จอห์นคนเดิมเลย ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องเขียนบทให้เขาเปลี่ยนไป แต่เพราะเส้นเรื่องที่ช้า เนิ่บนาบ และเอื่อยอ่าย ทำให้จอห์นในภาคนี้ดูไม่ใช่ชายผู้ชื่อ จอห์น วิค เอาเสียเลยเนื้อเรื่องในภาคนี้ว่าด้วยการที่จอห์นกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง ซึ่งพอเข้าไปรับชมจริง ๆ กลับไม่รู้สึกถึงอารมณ์แบบนั้นเลย เทียบกับช่วงท้ายของ John Wick: Chapter 2 ที่จอห์นก็ถูกล่าเช่นกัน ในช่วงท้ายของภาค 2 ยังให้อารมณ์ร่วมและรู้สึกได้ถึงความอันตรายรอบตัวที่จอห์นต้องเผชิญมากกว่าในภาค 3 นี้เสียอีก เพราะในขณะที่ภาค 2 จอห์นถูกล่าในช่วงท้าย ๆ เรื่อง แต่ภาค 3 จอห์นต้องถูกล่าทั้งเรื่อง แต่ความรู้สึกถึงอันตรายรอบตัวกลับมีน้อยมาก ที่มีให้รู้สึกถึงอารมณ์ของผู้ถูกมีให้แค่ช่วงต้นของเรื่องเท่านั้น เพราะที่เหลือจากนั้นคือความเอื่อยจนเบื่อ มีบ้างที่อันตรายโผล่มาแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันอันตรายต่อชีวิตจอห์นเลยแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อติ ส่วนข้อดีก็มีและยังคงดีเหมือนเดิม นั่นคือการขยายโลกนักฆ่า ในภาคนี้จะได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ของโลกนักฆ่า หากแต่จะไม่ใช่สถานที่ หรือร้านค้าบริการ แต่จะเป็นเหล่าบุคคลผู้มีอำนาจในโลกนักฆ่าด้านเทคนิคในภาคนี้งานภาพยังคงทำได้มาตรฐานและดีเหมือนกับภาคก่อนหน้า ไม่หวือหวา ไม่ดีเด่น หรือดีไปอีกระดับขณะที่ฉากแอคชั่นก็ยังคงมาตรฐานจากภาคก่อนไว้ ซึ่งก็แอบผิดหวังเล็ก ๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เห็นพัฒนาการเรื่อย ๆ มาของการถ่ายทำ โดยเฉพาะบรรดาฉากแอคชั่นที่เป็นจุดขายของภาพยนตร์ชุดต์นี้มาตลอดทำได้เพียงเท่านี้ แต่ไม่ได้ว่าแย่ เพียงแค่ภาคก่อนหน้าทำไว้ดีเพียงเท่านั้นแต่จุดที่ชวนให้รู้สึกขัดใจจริง ๆ อยู่ที่อาวุธปืน จากภาคก่อนที่ชื่นชมการถ่ายทำฉากแอคชั่นด้วยอาวุธปืนไป มาภาคนี้กลับรู้สึกว่าปืนธรรมดาไปมาก เริ่มตั้งแต่เสียงปืนที่น่าผิดหวังจนคิดว่านี้ใช่ทีมงานเดิมที่ทำจากภาคก่อนหรือไม่ เพราะเสียงปืนในภาคนี้ดูอ่อนลงไปจากก่อนมาก และที่ส่ายหน้าเห็นจะเป็นเอฟเฟกต์ปืน ไฟที่ออกจากลำกล้องเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกผิดหวัง เพราะจากที่ชื่นชมการตัดต่อเอฟเฟกต์ปืนในภาคก่อนไป มาภาคนี้กลับได้คุณภาพที่ลดลงด้านการแสดงต้องชมว่าแม้เนื้อเรื่องจะไม่เข้าที่เข้าทาง เอื่อย ๆ เนิ่บ ๆ จนทำให้ตัวละครหลายตัวดูขัด ๆ ฝืนธรรมชาติไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่านักแสดงแต่ละคนแสดงออกมาได้ดีมาก จากภาคก่อน ๆ ที่คีอานูแบกหนังทั้งเรื่องด้วยตัวคนเดียว มาตอนนี้นักแสดงหลายคนแสดงได้ดีจนสามารถลดความเด่นของคีอานูลงมาได้มาภาคนี้การแสดงของคีอานูยังคงทำได้ดี แต่อาจมีลดลงไปในฉากแอคชั่น อาจเพราะฉากแอคชั่นในภาค 2 ออกแบบมาได้ดี ทำให้เขาสามารถออกลวดลายได้เยอะกว่า ในขณะที่ภาคนี้เหมือนเขาถูกกักความเก่งกาจด้านการแสดงฉากแอคชั่นในภาคที่แล้วไป เมื่อไปรวมกับบทหนังที่เอื่อยแสนเอื่อย ทำให้การแสดงของคีอานูในภาคนี้ดูดีตามมาตรฐานของเขา ต่างจากก่อนหน้าที่เขาได้ออกลวดลายการแสดงมากกว่านี้สรุปJohn Wick: Chapter 3 - Parabellum เป็นภาคที่เอื่อยและอาจชวนเบื่อได้มากที่สุดแล้ว เพราะด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่เดินหน้าไปไหน ทำให้เนื้อดูไปก็รู้สึกเหมือนกำลังดูภาพยนตร์ที่เอาแต่เดินอยู่กับที่ ซึ่งก็ดูจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้ภาคนี้เป็นเพียงแค่ใบเบิกทางสู่บทสรุปของ จอห์น วิค ในภาคต่อไป ทำให้เนื้อเรื่องที่ออกมาจึงเป็นการดำเนินเรื่องที่กัก ไม่เดินหน้า เหมือนมีมาเพื่อให้มีฉากแอคชั่นและจบลงเพียงเท่านั้นแต่ถึงแม้การเดินเรื่องจะมีเพื่อให้มีฉากแอคชั่น แต่ฉากแอคชั่นใน John Wick: Chapter 3 - Parabellum ก็ทำได้แค่ในระดับบมาตรฐาน ซึ่งเมื่อเอาไปเทียบกับภาคก่อน ๆ แล้วก็ชวนให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะจุดขายของภาพยนตร์ชุดนี้คือฉากแอคชั่นที่ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่กับภาคนี้ฉากแอคชั่นเป็นอะไรที่ธรรมดา ไม่ได้พัฒนาตามจุดขายของเฟรนไชต์สักเท่าไหร่คะแนน: 7/10John Wick: Chapter 4 จากปี 2014 - 2023 กว่า 9 ปี ของการเดินทางจากภาพยนตร์กระแสที่ไม่มีใครสนใจ สู่จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ที่ปูทางสู่โลกนักฆ่า เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นเพียงแค่สุนัขเพียงตัวเดียวแต่สั่นคลอนโลกนักฆ่าจนวุ่นวาย เรื่องทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลย หากสุนัขตัวนั่นไม่ใช่สุนัขของ จอห์น วิค จากนักฆ่าผู้เกษียณลาวงการต้องจับปืนล้างแค้นเพื่อสุนัขอันเป็นที่รัก สู่การถูกตามล่าจากนักฆ่าทั่วโลก รวมถึงสภาสูงของเหล่านักฆ่าที่ต้องการเอาชีวิตเขา ถึงเวลาแล้วที่การเดินทางอันยาวนานของนักฆ่าผู้ต้องการเพียงชีวิตปกติสุขจะได้บทสรุปที่เขาต้องการ กับ John Wick: Chapter 4เรื่องย่อหลังเก็บตัวเงียบมานานหลายเดือน จอห์น วิค เลือกออกจากที่ซ่อนและมุ่งหน้าสู่ชะตากรรมที่รอเขาอยู่ นั่นคือการต่อกรกับสภาสูง แต่ศึกครั้งนี้กลับไม่ง่ายดาย เมื่อคู่ปรับคนใหม่ที่จอห์นต้องเผชิญไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นสหายเก่าของเขาอย่าง เคน นักฆ่าตาบอดที่สภาสูงส่งมาเพื่อกำจัดจอห์นโดยเฉพาะ การตัดสินใจของจอห์นที่จะเผชิญหน้ากับสภาสูงจะเป็นคำตอบสู่ความสงบที่เขาต้องการ หรือ จุดจบของเขากันแน่ด้านเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องในภาคนี้ถือว่าน่าสนใจและชวนให้จดจ่อกับการรับชมได้ดีมากทีเดียว ตั้งแต่การตัดสินใจของจอห์นที่ส่งผลกระทบไปถึงเพื่อน ๆ ของเขา การมีบทบาทเพิ่มขึ้นของตัวละครคุ้นตาอย่างอดีตผู้จัดการโรงแรม วินสตัน การโผล่มาของตัวร้ายใหม่ที่พร้อมทุ่มทุกอย่างล่าจอห์นเพียงเพื่ออำนาจของตัวเองอย่าง มาร์กีส์ เพื่อนเก่าจากแดนอาทิตย์อุทัยผู้ที่จอห์นให้ความไว้วางใจอย่าง โคจิ และเพื่อนเก่าอีกคนผู้ต้องกลายมาเป็นศัตรูตามล่าจอห์นอย่าง เคนเรียกได้ว่า John Wick: Chapter 4 คือภาคที่มีเนื้อเรื่องชวนน่าติดตามที่สุดแล้ว อีกทั้งเส้นเรื่องยังน่าสนใจ ต่างจากภาคก่อน ๆ ที่มีเส้นเรื่องเอาไว้แค่ให้จอห์นได้ออกฉากแอคชั่นเท่านั้นดูเหมือนว่าแม้นี่จะเป็นภาคจบของภาพยนตร์ John Wick แต่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของโลกนักฆ่าที่ถูกสร้างขึ้นมาจนสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว เพราะนอกจากนี่จะเป็นภาคจบของนักฆ่าผู้ต้องการชีวิตอันสงบสุขแล้ว John Wick: Chapter 4 ยังเป็นเสมือนใบเบิกทางชิ้นสำคัญต่อการปูทางไปสู่เหล่าตัวละครใหม่ ๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทหลังจบเรื่องราวของจอห์นอีกด้วยด้านเทคนิคสิ่งที่ติไปใน John Wick: Chapter 3 - Parabellum ถูกลบล้างและแก้ไขได้ดียิ่งขึ้น เริ่มต้นที่งานภาพซึ่งสื่อถึงความอ่อนล้าและโรยราของจอห์นด้วยโทนภาพสีเหลืองส้ม อีกทั้งโทนภาพแบบนี้ยังเข้ากับฉากหลังของเรื่องซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินเรื่องอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเทศ เมื่อรวมเข้ากับโทนภาพในภาคนี้แล้วยิ่งทำให้ดึงเอาความสวยงามของกรุงปารีสออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมขณะที่การถ่ายทำฉากแอคชั่นก็ยอดเยี่ยมมาก เพราะเป็นการจัดเต็มแบบงบมีเท่าไหร่ใส่หมดเพื่อฉากแอคชั่นส่งท้ายจอห์น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่จอห์นต้องต่อสู้ ณ ประตูชัยฝรั่งเศส ซึ่งมีรถวิ่งผ่านไปมาไม่ขาดสายแต่ที่น่าจดจำและเป็นอีกครั้งที่ภาพยนตร์ชุด John Wick ได้ยกระดับให้กับวงการภาพยนตร์แอคชั่น คือ ฉากแอคชั่นภายในอาคารในมุมมองด้านบน หรือ Bird eye view และเมื่อประกอบรวมกับการที่ฉากนี้จอห์นใช้อาวุธอย่างปืนไฟด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ฉากนี้เหมือนกับการได้รับชมเกมแอคชั่นดี ๆ สักเกม โดยมีตัวเอกเป็น จอห์น วิค นั่นเองในส่วนของอาวุธปืนที่ชวนขัดใจในภาคก่อน มาภาคนี้เหมือนทีมงานต้องการใส่สุด เลยขนอาวุธและเสียงมาได้ซะใจมาก หากใครเป็นคนที่ชอบดูภาพยนตร์แอคชั่นแล้วรักอาวุธปืนล่ะก็ John Wick: Chapter 4 จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนด้านการแสดงJohn Wick: Chapter 4 เป็นการขนเอานักแสดงระดับแม่เหล็กหลายคนมารวมไว้ด้วยกันทั้ง คีอานู รีฟส์(จอห์น วิค), ดอนนี เยน(เคน), ฮิโรยูกิ ซานาดะ(โคจิ), รินะ ซาวายามะ(อากิระ), บิลล์ สการ์สการ์ด(มาร์กีส์ เดอ กรามงต์)แค่เพียงไล่รายชื่อนักแสดงก็แทบจะการันตีได้แล้วว่า John Wick: Chapter 4 จะได้ต้องมาพร้อมงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมแน่นอน ซึ่งพอถึงวันจริงก็เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ นักแสดงทุกคนเล่นได้ดีกันมาก ๆโดยเฉพาะคีอานูที่ถ่ายทอดตัวละคร จอห์น วิค ที่ต้องเผชิญกับภัยรอบตัวมายาวนานจนเหนื่อยล้าเต็มทน คีอานูก็สามารถถ่ายทอดความเหนื่อยล้าของนักฆ่าผู้นี้ได้อย่างดีไปพร้อม ๆ กับการต่อสู้ที่หวือหวามากกว่าภาคไหน ๆอีกคนที่ต้องชื่นชมอย่างมากและแสดงออกมาได้น่าประทับใจสุด ๆ เลยคือ ดอนนี เยน ในบทบาทของนักฆ่าตาบอดอย่าง เคน ซึ่งการรับบทเป็นคนตาบอดในถือว่ายากแล้ว แต่เมื่อต้องมาเป็นนักฆ่าตาบอดไปด้วยยิ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมากเป็นพิเศษ แต่ดอนนีสามารถถ่ายทอดตัวละครนักฆ่าตาบอดออกมาได้ดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมาก โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ที่ต้องขอบอกเลยว่านี่คือฉากแอคชั่นที่ใช้ตัวละครตาบอดเป็นตัวหลักได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย เพราะมันมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าแค่บอกว่าตัวละครนี้ตาบอดแล้วเดิน ๆ ไปออกท่าทางเท่ ๆ แล้วจบสรุปJohn Wick: Chapter 4 คือบทสรุปที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมกับการเป็นบทส่งท้ายอำลา จอห์น วิค ที่สุดแล้วอีกทั้งยังเป็นการโชว์ฝีมือของผู้กำกับ แชด สตาเฮลสกี ด้วยว่าเขามีฝีมือมากเพียงใดในการกำกับภาพยนตร์แนวแอคชั่น ด้วยมาตรฐานการทำงานและสร้างผลงานแอคชั่นที่เยี่ยมทั้ง 4 ภาคนี้ออกมา ทั้งยังรับฟังข้อติชมทั้งหลายมาปรับปรุงแก้ไขจากภาคก่อนจนพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปได้สุดท้ายแม้ John Wick จะมีบทสรุปลงไปแล้ว แต่ด้วยโลกนักฆ่าที่ผู้กำกับตั้งใจพัฒนาและต่อเติมขึ้นมาเรื่อย ๆ ทำให้ต่อจากแม้จะไม่มีตัวละครผู้เป็นเสมือนกุญแจสำคัญในการสร้างโลกนักฆ่าขึ้นมาอย่าง จอห์น วิค อีกแล้ว โลกนักฆ่าก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่รู้จบคะแนน: 9/10สุดท้ายนี้หากท่านใดยังไม่ได้รับชม John Wick ทั้ง 4 ภาค สามารถรับชมได้ทาง TrueID ซึ่งมีตั้งแต่ John Wick, John Wick: Chapter 2 และ John Wick: Chapter 3 - Parabellum ในส่วนของ John Wick: Chapter 4 ขณะนี้ยังคงมีฉายอยู่ในโรงหนัง สามารถไปหารับชมกันได้ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่นแห่งยุคและสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคอหนังแอคชั่นได้เต็มปากเครดิตภาพประกอบภาพปกบทความ จาก John Wick, John Wick: Chapter 4ภาพประกอบที่ 1, 2, 3, 4, 5 จาก John Wickภาพประกอบที่ 6, 7, 8, 9, 10 จาก John Wick: Chapter 2ภาพประกอบที่ 11, 12, 13, 14, 15 จาก John Wick: Chapter 3 - Parabellumภาพประกอบที่ 16, 17, 18, 19, 20 จาก John Wick: Chapter 4คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน