"มาริโอ้" ยืนยันความบริสุทธิ์ หอบหลักฐานและพยานเข้าให้ปากคำกับตำรวจ
เช้าวันนี้ 9 สิงหาคม 2566 นักแสดงหนุ่ม "มาริโอ้ เมาเร่อ" ได้เดินทางเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จากกรณีที่ตกเป็นผู้เสียหายคดีแก๊งสวมทะเบียนรถ เกี่ยวกับประเด็นรถยนต์คลาสสิก เบนซ์ G-300 สีขาว ที่เจ้าตัวอ้างว่าได้ซื้อมาจากรุ่นพี่ที่รู้จักกัน
ขอบคุณภาพจาก : True Inside
หลังจาก "มาริโอ้" ได้นำหลักฐานและให้ปากคำเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อแต่อย่างใด
ด้านตำรวจไซเบอร์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า มาริโอ้ ได้นำสำเนาสัญญาซื้อขายรถยนต์ มาประกอบสำนวนการสอบสวนในการให้ปากคำ พร้อมด้วยพยานมา 3 ท่าน คนแรกเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อในทะเบียนรถเหมือนกัน คนที่สองคือ "ก้อง" ผู้ที่นำรถมาขายให้กับมาริโอ้ โดยรู้จักกันมา 2-3 ปีแล้ว และคนสุดท้ายเป็นพี่ชายของก้อง ซึ่งขณะนี้ตัวพี่ชายก้องอยู่ในระหว่างสอบสวน และให้ข้อมูลว่า มาริโอ้รู้จักกับคุณก้องโดยการเสนอซื้อขายของเฟอร์นิเจอร์กันมาหลายปี ก้องได้มาเสนอขายรถยนต์คลาสสิก เบนซ์ G-300 สีขาว ด้านมาริโอ้สนใจเพราะชอบรถเก่าอยู่แล้ว ก็เลยตกลงกันที่จะซื้อในราคา 1ล้าน5แสนบาท และได้ตกลงทำสัญญา รวมถึงมัดจำไปแล้ว5แสนบาท เสร็จแล้วจะส่งมอบนรถยนต์ดังกล่าว ภายในระยะเวลา 60 วัน แต่พอถึงกำหนด 60 วัน ยังส่งรถไม่ได้ ก็เลยยกเลิกสัญญาและคืนเงินให้กัน ในการซื้อขาย มาริโอ้ได้ซื้อทั้งรถและทะเบียนรถ แต่ว่ายังไม่ได้รถและเป็นการซื้อขายที่ยังไม่ได้เห็นตัวรถเลย เพียงรู้จักหน้าตาและรุ่นของรถเท่านั้น โดยตกลงซื้อขายกันกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ขอบคุณภาพจาก : True Inside
ทั้งนี้ ทางตำรวจยังเผยว่า มาริโอ้ ได้ยอมรับว่ามีความกังวล แต่ก็มั่นใจในตัวเอง เพียงแค่กลัวคนอื่นไม่เข้าใจเขา และยืนยันว่าเขาซื้อมาโดยไม่รู้ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เขาให้การมาและพยานที่กำลังสอบสวนอยู่กับข้อมูลที่เรามีอยู่ จะต้องไปประชุมกับพนักงานสอบสวนหาข้อสรุปกันอีกทีว่ามีความเห็นอย่างไร โดยตรวจสอบว่าเขากับพยานให้การสอดคล้องกันหรือไม่ และได้ดำเนินคดีกับคนที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลทางคดีไปแล้ว 2 คน ส่งสำนวนไปที่พนักงานอัยการแล้ว แต่ต้องเรียกคนที่มีรายชื่อทั้งหมด 65 รายมาทำการสอบสวนว่ามีใครที่มีส่วนร่วมในการทำผิดในครั้งนี้หรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำการดำเนินคดีต่อไป
ขอบคุณภาพจาก : True Inside
ขอบคุณภาพจาก : True Inside
ขอบคุณภาพจาก : True Inside