ชำแหละซีรีส์ "Snowpiercer" รีบูทเวอร์ชั่นหนัง กับ 3 สิ่งที่ประทับใจตั้งแต่แรก
รีวิวซีรีส์ Snowpiercer
"Snowpiercer" ฉบับซีรีส์นี้คงต้องเกริ่นก่อนว่าเป็นการรีบูทมาจากเวอร์ชั่นหนังเรื่องดังของผู้กำกับ "บงจุนโฮ" เมื่อปี 2013 มองดูเผินๆ อาจจะไม่มีค่อยอะไรที่เชื่อมโยงกันเท่าไหร่ เพียงแค่แนวโครงเรื่องคล้ายกัน แต่มีทิศทางนำเสนอที่ต่างกันไป โดยยังอ้างอิงถึงฉากหายนะที่เกิดขึ้นกับโลก เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนของมนุษยชาติ กลายเป็นทำให้อุณหภูมิของโลกหนาวสุดขั้ว แบบที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้
กลายมาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบน "สโนว์ไพรเซอร์" รถไฟขบวนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของมนุษย์ที่ยังรอดชีวิตอีกนับพันคนที่จะออกเดินทางไปทั่วโลกแบบไม่มีวันจอด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟนั้นกลายเป็นการแบ่งแยกสังคมกันอย่างชัดเจน เหมือนกับที่ตัวละครหลักได้บอกเอาไว้ว่าเป็น "ป้อมปราการแห่งชนชั้น" เพราะรถไฟที่วิ่งไปทั้ง 1,001 ตู้ ต่างถูกจัดสัดส่วนเอาไว้ตามสภาพฐานะของแต่ละคน
"คนรวยอยู่หน้า คนจนอยู่ท้าย" เป็นคำจำกัดความที่สั้นๆ ที่น่าจะอธิบายที่อย่างได้ แต่กำลังมีบางสิ่งอย่างเกิดขึ้นบนรถไฟขบวนนี้ นอกจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและบั่นทอนการทำงานเทคโนโลยีต่างๆ ของรถไฟ ยังมีความเสื่อมโทรมและจุดมืดบอดในสังคมที่เกิดขึ้นอยู่กับพวกคนที่คิดว่าตัวเองอยู่ในชนชั้นสูงกว่า แต่เนื้อแท้อย่างจะต่ำตมยิ่งว่าคนจรจัดลักลอบขึ้นมาอยู่ที่ท้ายขบวนเสียอีก
ก่อนอื่นคงต้องบอกทุกคนก่อนว่า ในการชำแหละครั้งนี้จะไม่หยิบยกเอา Snowpiercer ฉบับหนังมาเปรียบเทียบกับฉบับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะสังเกตได้ชัดเจนว่าต่างเรื่องก็ต่างมีทิศทางแนวทางเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงอยากจะโฟกัสเพียงแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉบับซีรีส์เท่านั้น ที่บอกเลยว่าหลังจากที่ได้ดูเพียงแค่ 2 ตอนแรกก็ยอดเยี่ยมและน่าติดตามไม่แพ้กัน
"เมื่อสภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงเกินเยียวยา
แต่กลับไม่ใช่จุดจบของมวลมนุษยชาติ
หายนะกลายเป็นการดิ้นรนอยู่รอดบนรถไฟขบวนสุดท้ายมากกว่า..."
• โครงเรื่องแกร่ง ขยายเนื้อเรื่องน่าค้นหา
ด้วยความที่หยิบยืมโครงเรื่องมาจากฉบับหนังที่มีความแข็งแกร่งในส่วนของบทอยู่แล้ว เมื่อนำมาตีแผ่ขยายความออกไปในทิศทางต่างๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวยังมีที่ไปได้อีกหลายส่วนเลยทีเดียว ความรู้สึกหลังได้ดูทั้ง 2 ตอนแรก กลิ่นอายของเรื่องคล้ายๆ กับหนังอย่าง "The Hunger Game" ที่ว่าด้วยโลกบิดเบี้ยวหลังการถล่มสลาย การแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้นในที่สุด ขณะที่อีกส่วนก็เหมือนหยิบเอา "Murder on the Orient Express" แนวสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาบนรถไฟเข้ามาใส่เอาไว้ แม้จะเป็นเพียงแค่เริ่มเกริ่นเรื่องราวออกไป แต่ก็ทำให้รู้ได้ว่าตลอดทั้งเรื่องในฤดกาลนี้จะต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนรอให้คลี่ปริศนาอยู่แน่ๆ ใครที่ชอบซีรีส์ฝรั่งแนวสืบสวนอาจจะถูกใจในส่วนนี้ได้ไม่ยาก
• เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี
นี่สิ...คือนักแสดงรางวัลออสการ์ตัวจริง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี ทำให้ละสายตาออกไปจากจอไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่ตัวละครเธอปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าจะท่าทาง น้ำเสียง และลีลาการแสดง บ่งชี้ได้ชัดว่า "เมลานีย์ คาวิลล์" ยังปกปิดและมีอะไรเก็บงำเอาไว้ให้เราค่อยๆ แซะและขุดพฤติกรรมออกมา การออกมาในฐานะตัวละครหลักจากทั้ง 2 ตอนแรก เรายังได้เห็นแค่ภาพมุมเดียวของชีวิตเธอ ในการเป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลและจัดการทุกอย่าง ที่มักจะอ้างชื่อ "มิสเตอร์วิลฟอร์ด" เจ้าของรถไฟผู้ลึกลับอยู่ตลอดเวลา และนี่ก็คือการได้นักแสดงชั้นแนวหน้ามาประดับเรื่องราว ที่ช่วยยกระดับซีรีส์ได้ไปอีกขั้นทีเดียว
• แคสติ้งดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
นอกจาก เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี แล้ว ต้องยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำการแคสติ้งนักแสดงในตัวละครอื่นๆ ได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยตัวละครเยอะแยะไปหมด แต่วิธีการเล่าเรื่องที่เป็นไปตามลำดับและอาศัยการเชื่อมโยงจากตัวละครหลัก ทำให้เราได้รู้จักและเรียนรู้คาแรกเตอร์ต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกตามทันตัวละครนั้นๆ ได้ยิ่งขึ้น "ดาวีด ดิกส์" มาในบทนักแสดงนำชายของเรื่อง เข้ามาทำหน้าที่เป็นอดีตตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรม จากบุคคลในชั้นจรจัดต้องมาไขปริศนาคดีที่เกิดขึ้นบนรถไฟชั้น 3 ที่อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงไปถึงรถไฟทั้งขบวนนี้ อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทอดทิ้งพี่น้องท้ายขบวนที่รอวันปลดแอก จึงเป็นอีกตัวละครที่น่าสนใจ แม้คาแรกเตอร์ของขาจะไม่ค่อยแปลกใหม่สักเท่าไหร่ก็ตาม
ซีรีส์ Snowpiercer ยังเป็นการร่วมทำงานและประสานงานกันระหว่างทีมงานอเมริกันและเกาหลีใต้ในฐานะต้นฉบับ ในฤดูกาลแรกจะมีทั้งสิ้น 10 ตอน โดยล่าสุดก็ได้อนุมัติสร้างฤดูกาลที่ 2 อย่างเป็นทางการ เพราะเห็นได้จากการปูแนวทางเผื่อฤดูกาลต่อไปเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแรก บางตัวละครก็เหมือนมีบทบาทสำคัญแต่อยากเก็บเอาไว้ก่อน แม้ว่าเรายังไม่รู้ว่า มิสเตอร์วิลฟอร์ด เป็นใครกันแน่ หรือจะเป็น "ฌอน บีน" นักแสดงหนุ่มที่จะเข้ามาเสริมในฤดูกาลต่อไปกันนะ
โดยสรุปซีรีส์ Snowpiercer ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจากการดัดแปลงเรื่องราวต้นฉบับมาดำเนินเรื่องราวในทิศทางของตัวเอง ใน 2 ตอนแรกที่เผยแพร่ออกมา เรากลับยังไม่เห็นข้อด้อยหรือสิ่งที่ไม่น่าประทับใจจากซีรีส์เรื่องสักเท่าไหร่ เนื้อเรื่องและเนื้อหาดำเนินไปอย่างไม่ยืดเยื้อ กระชับ ฉับไวดี เหมือนกับรถไฟที่จะวิ่งรอบโลกแบบไม่หยุดขบวนนี้...
ซีรีส์ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ ทางช่อง TNT ในสหรัฐอเมริกา หรือตรงกับช่วงเช้าวันจันทร์ ตามเวลาในบ้านเรา สามารถดูได้แล้ววันนี้ ทาง Netflix รับชมผ่านกล่อง TrueID TV ชัดสัญญาณแจ๋ว!
----------------------------------------------------