Short CommentConfession ฆาตกรรมคำลวง (2022)พลิกแล้วพลิกเล่า เชือดเฉือนทางอารมณ์ เข้มข้นจนหยดสุดท้ายเมื่อความจริงมีได้เพียงหนึ่งเดียวก่อนอื่นต้องอ้างอิงจากบทความที่แล้วที่เป็นงานเขียนถึงหนังที่งดงามทั้งที่น่าจะเศร้าแต่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจรู้สึกดีบนความโศกอย่าง Life Is Beautiful เพราะก่อนหน้านั้นดูไปบ่นไปเพิ่งดูซีรีส์ไต้หวันที่กดอารมณ์จนดิ่งลึกไปกับ Copycat Killer จบทำให้อารมณ์ที่ถูกกดยังไม่โผล่ แล้วการที่จะมาดูหนังที่ท่าทางจะไปในทางเดียวกันต่อก็เกรงว่าเส้นเลือดในสมองจะโป่งพองเอา ทั้งที่ความจริงตั้งใจจะดูเรื่องที่กำลังจะเขียนก่อนแต่เมื่ออารมณ์ยังไม่ได้ก็หาดูงานที่น่าจะดูแล้วสบายใจก่อนอย่างที่เอ่ยมา แล้วเมื่ออารมณ์ถูกปรับให้เข้าที่เพราะหนังเรื่องก่อนหน้าก็มอบความรู้สึกดีให้เต็มที่แล้วก็ถึงเวลามากดดันกันต่อในหนังที่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นแบบนั้น และที่น่าสนใจคือเรื่องนี้ได้มาเข้าฉายในบ้านเราด้วยนั่นแสดงว่ามีดีและมีจุดขายค่ายหนังบ้านเราถึงกล้านำเข้ามาแต่ว่าผู้เขียนก็ยังคงเดิมคือการอยู่ในชนบทกับอาชีพหลักที่ทำทำให้ไม่สามารถเลือกดูหนังในโรงได้อย่างใจต้องการ ที่ทำได้คือรอหนังที่อยากดู (ซึ่งก็เป็นส่วนมาก) มาลงจอทางสตรีมมิ่ง แล้วหนังเรื่องนี้ก็เข้ามาแต่กว่าจะหาเวลาดูได้ก็นานพอดูเพราะนอกจากเวลาแล้วอารมณ์ก็มีส่วนแต่สุดท้ายก็ได้ดูยูมินโฮ (โซจีซบ) ประธานบริษัทไอทีที่ประสบความสำเร็จถูกจับกุมในคดีฆาตกรรมคิมเซฮี (นานะ) ชู้รักของเขาแต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา และก็ตามครรลองเมื่อคนมีเงินสามารถใช้เงินในการต่อสู้ได้ทางฝ่ากฎหมายของบริษัทจึงจัดหาทนายความมือดีที่สุดที่ไม่เคยแพ้คดีคือทนายยังชินเอ (คิมยุนจิน) แล้วเมื่อทนายมือหนึ่งมาเจอกับลูกความที่หลักฐานมัดตัวแน่นหนาสิ่งที่ต้องการคือคำให้การที่เป็นความจริง แล้วยูมินโฮก็ให้การว่าเขาถูกจัดฉากเพราะมีอีกคนอยู่ในห้องและทำร้ายเขาจนหมดสติจนเมื่อเขาฟื้นมาคิมเซฮีก็ตายไปแล้วและตำรวจก็มาพอดี เรื่องน่าจะง่ายถ้าไม่ใช่ว่าห้องที่เกิดการฆาตกรรมเป็นห้องที่ปิดตายเพราะถูกล็อคจากข้างในทุกช่องทางแล้วคนร้ายหนีไปทางไหน จนเมื่อทนายยังชินเอเห็นช่องทางพ้นผิดได้ก็ต้องให้ยูมินโฮเผยเหตุการณ์ที่ถูกปิดบังไว้อีกหนึ่งคือคดีคนหายที่กลายเป็นว่ามาจากอุบัติเหตุที่ยูมินโฮและคิมเซฮีเจอร่วมกันและช่วยกันอำพราง ทว่าความจริงที่ยูมินโฮบอกกับความจริงในมุมของทนายยังชินเอกลับขัดแย้งกันทำให้การทำคดีนี้ต้องมีความจริงเพียงหนึ่งแต่จะเป็นความจริงของใครเดินหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ทำให้คนดูจดจ่อกับเหตุการณ์ที่ถูกบอกเล่าอันไหนคือความจริง สิ่งที่ต้องชมคือการสร้างความจริงในสมองคนดูได้เรื่อยๆเพราะเมื่อเรื่องไหนถูกเล่าออกมาคนดูก็จะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริงก่อนที่จะมามีข้อโต้แย้งภายหลังว่าไอ้สิ่งที่เชื่อเมื่อกี้ชักจะไม่แน่ว่าจริงเสียแล้ว อีกสิ่งที่ทำได้ดีคือการหารูรอดไปได้ในการเชื่อมโยงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ให้เข้ากันได้ทั้งที่เริ่มแรกคนดูจะคิดว่ามันเกี่ยวกันยังไงกันแน่ แต่สุดท้ายตาข่ายฟ้าก็มีรูให้รอดออกมาเจอกันจนได้แล้วก็สร้างความสงสัยเต็มสมองคนดูว่าทั้งสองเรื่องจะมีจุดบรรจบยังไงซึ่งมันต้องมีแบบเดียวแต่คนดูจะไม่มีทางคิดออกว่าจะออกมาหน้าไหน หนังจึงเดินหน้าด้วยความสงสัยบนพื้นฐานความเชื่อใจว่าตกลงยูมินโฮคือผู้บริสุทธิ์จริงหรือไม่และทนายยังชินเอจะหาทางให้เขาพ้นผิดได้ยังไง นั่นหมายความว่าบทหนังมีเจตนาสร้างความสงสัยให้คนดูก่อนแล้วก็ใช้ความสงสัยนั้นสร้างแรงจูงใจให้คนดูติดตามไปว่าบทสรุปที่แท้จะลงเอยเช่นไร และที่สำคัญเมื่อเรื่องถูกเล่าออกมาหลายแบบเข้าคนดูจะยิ่งสงสัยว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงเพราะความจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวหนึ่งฆาตกรรมสองเหตุการณ์ที่ไม่ชี้โพรงให้คาดเดาแต่พลิกผันไปมาจนหยดสุดท้าย ที่น่าทึ่งของเรื่องนี้คือการไม่พยายามชี้โพรงให้กระรอกคิดว่าเรื่องจะไปทางไหนเพราะเรื่องนี้มีทางไปทางเดียวคือการค้นหาความจริงหนึ่งเดียวนั้น เพราะบทวางเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่มีบทสรุปเดียวก็ยังเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นความจริงอีกนั่นแหละ แล้วเพราะสมองคนดูจะเชื่อว่าเรื่องที่ถูกเล่าออกมาเป็นเรื่องจริงเพราะวัดกันที่ความเชื่อใจคนดูก็จะไม่เดาหรือต่อให้เดาก็จะไม่ไปทางที่ถูกเพราะบทไม่ต้องการให้เดา และเมื่อเกิดความเชื่อในสิ่งที่ถูกกรอกใส่สมองแล้วถูกโต้แย่งในอีกมุมในเวลาต่อมาซึ่งคนดูดันเชื่ออีกแล้วว่ามันเป็นความจริง แต่เมื่อเชื่อว่าสิ่งที่ได้รับรู้มาคือเรื่องจริงคนดูก็จะสงสัยแต่ก็ไม่ปักใจสิ่งที่ตามมาคือเมื่อความจริงเปิดออกมาซึ่งเป็นความจริงที่ต้องการแต่มีปัจจัยตัวแปรหลายทางที่เขียนไม่ได้จะทำลายอรรถรสในการดู ทำให้กลายเป็นความพลิกผันจนนาทีสุดท้ายที่แน่นอนว่าคนดูไม่คิดว่ามันจะออกมาแบบนั้นเพราะอย่างที่บอกคือบทไม่ชี้โพรงให้คาดเดาแต่ขนาดไม่เดายังพลิกไปมาให้อึ้งได้ขนาดนี้การเชือดเฉือนด้วยบทสนทนาที่นิ่งและลุ่มลึกทำให้เข้มข้นอึดอัดกดดัน อีกสิ่งที่ต้องทึ่งคือหนังเรื่องนี้มีพลังจากบทสนทนาเพราะมุมในการมองความจริงของแต่ละคนต่างกันซึ่งคนเขียนบทควบผู้กำกับยุนจองซอกคงรู้ดีเลยจัดความจริงมาใส่เต็มที่เพื่อที่จะท้าทายมุมมองของคนดู สิ่งที่เป็นคือเหตุการณ์หลักคือการสนทนาที่ด้วยความลุ่มลึกของยูมินโฮกับทนายยังชินเอที่จะเปิดความจริงมาให้คนดูมอง ด้วยสิ่งที่เล่าก็คือการท้าทายความเชื่อแถมด้วยเหตุการณ์ยังกดอารมณ์แล้วยังถูกบอกเล่าผ่านการสนทนา (เป็นส่วนใหญ่) ของคนสองคนที่มิดชิดและทันกันทำให้คนดูอึดอัดกดดันจนเหมือนแอบหายใจค่อยๆไปโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นมาจากการบอกเล่าเหตุการณ์ไม่ใช่การขยายความด้วยการขยี้หรือเร่งเร้าแต่เป็นการค่อยๆเปิดความจริงที่จริงหรือไม่จริงทั้งหมดหรือจริงเพียงบางส่วนออกมา จนเมื่อถึงเวลาที่ก็อึดอัดจนได้ที่ความจริงที่มีเพียงหนึ่งก็ปรากฎทำให้คนดูเหวอเพราะไม่คิดไม่ใช่คิดไม่ถึงเพราะบทไม่ได้ชี้นำ จนในที่สุดอาการลุ้นก็มาพร้อมความระทึกทำให้หนังที่คุยกันทั้งเรื่องเรื่องนี้มีพลังที่น่าติดตามปานแรงดึงดูดของโลกที่ไม่มีใครหลุดพ้นไปได้เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีไม่ต้องใช้นักแสดงมากมายแต่ไม่กี่คนที่มีก็รับผิดชอบได้อย่างดี ถ้าจะลองสังเกตให้ดีหนังเกาหลีมีจำนวนไม่น้อยที่ใช้นักแสดงไม่เปลืองอย่างเรื่องนี้ความจริงมีเพียงสองบวกสอง สองคนหลักที่เป็นตัวสะกดอารมณ์คนดูคือโซจีซบกับคิมยุนจิน (Money Heist: Korea) ที่เชือดเฉือนกันด้วยความนิ่งดูฉลาดทันกันและไม่น่าไว้ใจเหมือนกันหรือจะเรียกว่าต่างคนต่างไม่ไว้ใจกันก็ย่อมได้ แล้วด้วยเหตุการณ์ที่มีผลต่อตัวละครมีผลทางอารมณ์ทั้งสองเหตุการณ์และถูกเล่าผ่านสองคนที่ศีลเสมอกันทางด้านการแสดงจนเฉือนกันไม่ลงความเข้มข้นเร้าใจระทึกจนลุ้นในตอนท้ายก็จัดว่าทำได้เยี่ยมพอ กับอีกสองคนคือนานะกับชเวควังอิลก็คือตัวละครที่ส่งเสริมเหตุผลเป็นชิ้นส่วนของความจริงชั้นเลิศ นั่นคือสองคนหลังเป็นส่วนร่วมในเรื่องเล่าหรือเป็นส่วนหนึ่งของความจริงหนึ่งเดียวที่น่าตกใจนั้นเป็นเรื่องเล่าไม่ใช่คนบอกเล่าแต่การแสดงที่เปลี่ยนไปมาตามคำบอกเล่าได้อย่างหมดจดก็ทำให้อะไรที่ปิดไว้ก็ไม่มีใครรู้ก่อนเวลาอันควร อ้อ...ถ้าว่ากันที่การซ่อนบางอย่างทั้งโซจีซบและคิมยุนจินก็เนียนมากจนต้องยกนิ้วให้เลยดูแล้วจะถูกความสงสัยเข้าเกาะกุมและถูกสะกดจนไม่ลุกไปไหนมีลุ้นในบั้นปลายและท้าทายให้ดูซ้ำ ด้วยความที่เป็นเรื่องเล่าในหลายแง่มุมเพื่อโยงมายังความจริงเพียงหนึ่งแน่นอนชิ้นส่วนเล็กน้อยก็ต้องมีและต้องมีพอให้จับใจความได้ทั้งหมด ซึ่งถ้าจะมีที่ให้ติบ้างก็คือตัวละครบางคนที่เมื่อเรื่องคลี่คลายออกมาก็ดูเหมือนว่าฉลาดเกินกว่าจะพลาดเรื่องง่ายๆหรือกระทั่งเก่งเกินคนจนควบคุมเหตุการณ์บางอย่างได้ อาจเพราะดูรอบแรกเผลอกระพริบตาในจุดสำคัญไปเลยทำให้ยังมีอะไรที่ติดอยู่ในใจจึงเป็นการท้าทายให้ดูซ้ำว่าที่ผ่านมาในเวลาฉายเพียงชั่วโมงครึ่งกว่าๆมีอะไรที่หลุดรอดสายตาไปบ้าง แต่เท่าที่เป็นจากการดูรอบเดียวหนังเรื่องนี้คือหนังที่มีแรงดึงดูดมีความสะกดอารมณ์กดดันให้อึดอัดโดยที่ไม่ต้องขีดเส้นแบ่งคนดีหรือคนร้ายมาเพื่อทำการเร่งเร้าอารมณ์ เพราะความสงสัยคือพลังงานประหลาดที่สร้างแรงดึงดูดเมื่อความสงสัยเข้าเกาะกุมความอยากรู้ก็ตามมาทำให้ไม่อาจละสายตาจากหนังได้เพราะความอยากรู้ แล้วเรื่องที่เล่าก็เร้าใจพลิกผันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความจริงที่เล่าจะมีมุมที่ต่างไปทุกครั้งจึงเป็นอีกงานดีที่คู่ควรดูดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก จาก lotteent.comภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 จาก cgv.co.krเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/vNRgmY7yL2Ddhttps://entertainment.trueid.net/detail/G1e69AgMNObRhttps://entertainment.trueid.net/detail/v4xzJ1p6LMZmhttps://entertainment.trueid.net/detail/o2mdavbEObGl