รีวิวหนัง "Captain America: Brave New World" กัปตันฉบับนายแบก..แบกหนักที่สุด!

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ในช่วง 3-4 ปีมานี้ ค่อนข้างเผชิญหน้ากับภาวะอาการเสียสูญและเสียหลักไปพอสมควร เพราะหลังจากปี 2019 เป็นต้นมา ผลงานหนังแอคชันฮีโร่ดีเด่นเริ่มไม่ใช่คอนเทนท์หลักที่ผู้ชมเชิดชูอีกต่อไป กลายเป็นความท้าทายของสตูดิโอหนังต่าง ๆ ต้องมาหวิธีแก้เกมกันเป็นพัลวัน และหลังจากที่เหมือนเบรกตัวเองไปได้สักระยะ มาร์เวลก็พร้อมจะกลับมาลุยอีกสักตั้งกับเส้นเรื่องจักรวาลหนัง ที่ส่ง "Captain America: Brave New World กัปตัน อเมริกา ศึกฮีโร่จักรวาลใหม่" กลับมาสู่ร่องรอยการสานต่อที่เว้นวรรคไปเป็นปี ๆ

นี่คือเรื่องราวของ แซม วิลสัน กัปตันอเมริกาคนปัจจุบัน ที่หลังจากที่เขาได้พบกับแธดเดียส รอสส์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา แซมก็ค้นพบว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางความขัดแย่งระหว่างประเทศ ที่ทำให้เขาต้องเร่งสืบค้นหาสาเหตุของเบื้องลึกเบื้องหลังในเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ก่อนที่โลกทั้งใบจะลุกเป็นไฟเป็นแผนร้ายของผู้ชั่วร้ายสัมฤทธิ์ผลให้เกิดความโกลาหลขึ้น

• "Captain America: Brave New World" มีฉากเครดิตกี่ฉาก แล้วซ่อนปริศนาอะไรไว้

ก็คงจะต้องบอกตรง ๆ ว่าอาถรรพ์หนังซูเปอร์ฮีโรยังคงไม่ได้รับการถูกแก้และจางหายไปในผลงานหนังของมาร์เวลเรื่องนี้ เพราะดูทรงแล้วก็ยังค่อนข้างวนกลับมาสู่อีหรอบเดิมของความช้ำ ๆ ตามสูตรของหนังซูเปอร์ฮีโร ที่อาจจะพูดว่าหากนี่เป็นหนังมารับหน้าที่พาจักรวาลหนังมาร์เวลกลับเข้าสู่เส้นเรื่องที่เข้มข้นในเฟสปัจจุบัน ก็คงจะยังไม่ใช่หนังที่แข็งแรงเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ขนาดนั้น

เพราะผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่า Captain America: Brave New World ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจและเสน่ห์ได้แบบที่หนังมาร์เวลเฟสที่ 1-3 เคยทำได้อีกเหมือนเคย เป็นคอนเทนท์ที่เสพย์ไปก็ได้แต่คิดว่าตามไปด้วยว่าปัญหาเหล่านี้มันมีต้นตอเริ่มต้นมาจากตรงไหนกันแน่ เพราะจังหวะของหนังที่ควรจะร้อยเรียงออกมาได้สนุกเหมือนก่อน กลับยิ่งทำแล้วก็ยิ่งถอยหลังลงคลองไปทีละน้อย อย่างน้อย ๆ ก็ในแง่ความสนุกที่พึงมีของหนังที่เจือจางไปมาก

อาจจะไม่ถึงขั้นกล่าวโทษเขาแต่อย่างใดหรอก แต่ก็อดพูดถึงไม่ได้ว่าการก้าวมาจับงานสร้างหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของผู้กำกับสายหนังอินดี้ อย่าง "จูลิอัส โอนาห์" เขายังไม่สามารถรับมือกับตรงนี้ได้ดีเท่าที่ควรนัก หรือเป็นเพราะสเกลงานสร้างเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่เกินกว่าที่เขาจะแบกรับไป ทำให้ในแง่งานสร้างใน Captain America: Brave New World ค่อนข้างขรุขระและชอนไชเข้าไปสู่หัวใจผู้ชมผู้ชมได้ค่อนข้างน้อยมาก

โดยเฉพาะในพาร์ทขององก์เปิดโหมโรงของหนังเรื่องนี้ กลายเป็น 10 นาทีแรกที่เต็มไปด้วยจังหวะที่ชวนชักสีหน้าเต็มไปหมด เพราะไม่น่าจะเชื่อว่านี่จะเป็นคอนเทนท์ที่มาร์เวลให้ผ่านออกมาได้ ทั้งสตอรี่ ทั้งท่วงท่าลีลาบู๊ ช่างให้ฟีลแบบเดียวกับจำพวกหนังแอคชันเกรดบีได้อยู่ เป็นเต็มไปด้วยงานออกแบบฉากบู๊และมุมกล้องที่ค่อนข้างเชยไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานการเป็นหนังมาร์เวลไปพอสมควรทีเดียว

ถึงแม้ว่า Captain America: Brave New World จะเป็นการระดมทีมนักเขียนบทระดับหัวกะทิมาช่วยปั้นเรื่องให้ นำโดย "ร็อบ เอ็ดเวิร์ดส", "มัลคอล์ม สเปลแมน" และ "เดแลน มุสซัน" แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างไม่มีอะไรให้ตรึงใจเลยสักน้อย เพราะกลายเป็นออกมาเป็นหนังฮีโร่ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ชวนเบื่อหน่าย พยายามเน้นการเป็นหนังสไตล์การเมืองการเจรจาระหว่างประเทศ ผูกเข้ากับประเด็นความเป็นฮีโร่ แต่กลับเป็นสตอรี่ที่ไร้เสน่ห์ไปแทบจะทุกทาง

ยิ่งเมื่อมาผนวกเข้ากับฝีมือการสร้างงานของผู้กำกับ จูลิอัส โอนาห์ ที่ยังไม่ค่อยเข้ามือเขาสักเท่าไหร่ ก็ทำให้ Captain America: Brave New World ค่อนข้างออกไปทางลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่หลายจุด องค์ประกอบงานสร้างที่สวนทางคำว่าพัฒนา ซ้ำยังมาเจอกับงานเทคนิคซีจีที่ไม่แนบเนียน ผิดมาตรฐานหนังมาร์เวลไปพอประมาณซ้ำอีก ยิ่งตอกย้ำว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างใช้การไม่ได้เลยสักเท่าไหร่นัก

และอีกจุดที่ค่อนข้างน่าเสียดายมาก ๆ ก็คืองานประพันธ์เพลงประกอบของ "ลอร่า คาร์ปแมน" ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ไม่น้อย แต่ทว่าจังหวะการหยอดใส่เข้าไปในหนัง ผนวกเข้ากับการตัดต่อที่ประหลาดชอบกล กลายเป็นว่าเพลงกับภาพเนื้อหาของหนังไม่ค่อยเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกันอยู่หลายจุดชนิดที่ไม่ได้ปล่อยผ่านมาได้ นี่เป็นหนังมาร์เวลที่สังเกตเห็นได้ถึงปัญหามากมายที่ปรากฏให้เห็นเยอะไปหมด จนไม่ประหลาดใจที่ทำไมหนังถึงมีคำสั่งให้ถ่ายซ่อมใหม่อยู่หลายซีน

Captain America: Brave New World เป็นหนังฮีโรที่อัดแน่นไปด้วยตัวละครและคาแรกเตอร์ที่เยอะไปหมด เยอะมากจนถึงขนาดที่คนดูอาจจะถามไม่ทันกันเลยทีเดียว แม้ว่าจะดึงนักแสดงตัวเป้ง ๆ มาร่วมแจม แต่สุดท้าย "แอนโทธี แม็คกี" ในฐานะกัปตันอเมริกาคนใหม่ในภาคนี้ ก็ยังคงเป็นเพียงคนที่มารับหน้าที่นายแบกของหนังเรื่องนี้เพียงลำพัง แบกแล้ว แบกต่อ แบกจนแทบบ่าจะหลุดออกจากร่างกาย เขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ทว่าพลังและเสน่ห์ของเขากลับยังไม่เปล่งออกมาเท่าที่ควรเลยจริง ๆ

เช่นเดียวกับ "แดนนี่ รามิเรซ" ดาราหนุ่มที่ก้าวขึ้นมาเป็น ฟัลคอน คู๋หูกัปตันคนใหม่ ที่หนังเรื่องนี้ทำการแนะนำตัวละครนี้ได้ชวนประหลาดดี และทำให้ตัวละครที่น่าจะทรงเสน่ห์กลับไม่มีเสน่ห์แจ่มชัดอย่างที่ควรเป็นได้เลยสักนิด ไม่ต่างกับ "ไชร่า แฮส" ดาราสาวร่างเล็กที่มารับบทเป็นสาวแกร่ง อดีตแบล็กวิโดว์ ที่คาแรกเตอร์น่าสนใจดี แต่กลับให้ซีนและให้มิติของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างแบนราบไปหมด

การมาของ "แฮร์ริสัน ฟอร์ด" ก็พอจะช่วยเสริมเติมแต่งให้หนังเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ใช่บทบาทที่ดีแะน่าจดจำของเขาสักเท่าไหร่ ไม่ต่างกับรุ่นใหญ่ "จิอันคาร์โล เอสโปซิโต" พร้อมทั้งกลับมาของ "ทิม เบลค นีลสัน" และ "ลีฟ ไทเลอร์" ก็เป็นตัวละครที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะหยอดใส่เข้ามาทำไม พวกเขาแทบจะกลายเป็นไฮไลต์ที่ไม่จำเป็นสำหรับหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นในภาพรวมแล้ว Captain America: Brave New World เป็นการหวนกลับมาเข้าสู่เส้นเรื่องหลักที่จริงจังของมาร์เวลอีกครั้ง แต่มอบผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงไม่น้อย หากมองไปเห็นว่ายังมีหนังมาร์เวลอีก 2 เรื่องในปีนี้ที่จะตามออกมาอีก เพราะหากศักยภาพยังออกมาได้ในระดับเท่านั้น ก็น่าจะเป็นปัญหาที่ค่อนข้างย่ำแย่ไม่เบาต่อตัวจักรวาลหนังแห่งนี้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่า หนังฮีโรยังกู่ไม่กลับสักเท่าไหร่ ถึงจะแบกแล้วแบกหนัก ๆ แต่แบกแค่ไหนก็ยังมิได้นำพาอยู่ดี