Movie Full Review : Tune In For Love : คลื่นรักสื่อใจ (2019)หวานละมุนอบอุ่น หากแม้ดูเรียบเรื่อยแต่เสน่ห์ของนักแสดงก็ยกระดับดูดีขึ้นได้แบบไม่ธรรมดาเมื่อครั้งที่ดูไปบ่นไปเขียนถึงซีรีส์ที่มีทีมผู้สร้างเดียวกันและคงไม่ใช่ความบังเอิญที่มีพระเอกคนเดียวกันคราวนั้น และสำหรับพระเอกคนนี้เขาได้ผ่านตาผู้เขียนครั้งแรกจากบทสมทบในซีรีส์เรื่องเยี่ยมอย่าง Prison Playbook ที่ดูจากการแสดงผ่านสีหน้าแววตาและการสวมบทบาทในเรื่องแล้วต้องยอมรับว่า "มีของ" จากนั้นก็มีท่านผู้อ่านแนะนำให้ดูงานซีรีส์ที่สร้างความประทับใจและอิ่มเอมที่เขารับบทพระเอกพ่อลูกติดใน One Spring Night แล้วก็มีท่านผู้อ่านอีกเช่นกันว่าถ้าดูเรื่องที่ว่าแล้วไม่ดู Something In The Rain ก็คงจะเหมือนกินข้าวเปล่าไม่มีกับ และเมื่อได้ดูเข้าจริงแม้ไม่ประทับใจสุดเหมือนเรื่องก่อนหน้าแต่ก็อยู่ในระดับที่ชอบ และทั้งสองเรื่องบทพระเอกที่อาจจะดูคล้ายแต่มีความแตกต่างในสองบทบาทด้วยนักแสดงคนเดียวกันกระนั้นการแสดงที่เข้ากับทั้งฮันจีมินและซนเยจินได้ดูเนียนตาการด้วยแสดงในระดับที่ "ถึง" ทั้งสามเรื่องที่ว่ามาก็ทำให้กลายเป็นนักแสดงชายที่สะดุดตาและหลังจากนั้นมาไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียนจะดูงานของเขามากพอควรทั้งที่ไม่ได้พยายามติดตาม ใช่แล้วผู้เขียนกำลังสาธยายถึงจองแฮอินขวัญใจของใครหลายคนนักแสดงที่มีจุดเด่นที่สายตาอบอุ่นละลายหัวใจ และสำหรับหนังเรื่องนี้ที่จองแฮอินมาประกบกับอีกหนึ่งนักแสดงหญิงแถวหน้าคิมโกอึนที่สายตาอบอุ่นของเขาทำงานได้ดีอีกครั้ง กับงานโรแมนติกหวานละมุนที่จะทำให้คนโสดอยากกระโดดถีบจอเพราะความโรแมนติกทะลุออกมา หากแต่ยังเห็นความเนือยเอื่อยและความพยายามบีบอารมณ์อยู่บ้างทว่าหนังยังมีอะไรบางอย่างมายกระดับให้ดูได้อย่างเพลิดเพลิน Tune In For Loveเรื่องย่อปี 1994 ณ ร้านเบเกอรี่เล็กๆที่ดูแลโดยพี่อึนจา (คิมกุกฮี) กับเด็กสาวคนหนึ่งคือคิมมีซู (คิมโกอึน) ที่ในตอนเช้าวันหนึ่งมีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาถามซื้อเต้าหู้ และก่อนออกจากร้านไปโสตประสาทของเขาพลันได้ยินเสียงดีเจในสถานีวิทยุบอกว่า “การกระจายเสียง ความรัก เครื่องบิน ต้องลงแรงอย่างหนักในช่วงเริ่มต้น” และนั่นคือจุดที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อชาฮยอนอู (จองแฮอิน) ตัดสินใจสมัครทำงานพาร์ทไทม์ในร้านนั้นและเริ่มสนิทกับมีซู หนังใช้เวลาไม่นานในการเผยว่าเขาคือเด็กที่เพิ่งออกจากสถานพินิจด้วยความผิดพลาดที่ทำให้เพื่อนในกลุ่มต้องตาย วันหนึ่งในฤดูหนาวก่อนคริสต์มาสเขาจำใจไปร่ำสุรากับกลุ่มเพื่อนที่ร่วมกันทำผิดตอนนั้นแล้วฮยอนอูก็จากมีซูไป... ปี 1997 ฮยอนอูกลับมาอีกครั้งในวันที่มีซูกำลังจะได้งานหนึ่งคืนที่เขาและเธอใช้เวลาร่วมกันมีซูได้สมัครอีเมล์ให้ฮยอนอูก่อนที่เขาจะเข้ากรมแต่อีเมล์นั้นไม่ได้เขียนรหัสผ่านแล้วฮยอนอูก็จากมีซูไป อีกครั้ง...ปี 2000 มีซูยังทำงานที่เดิมและฮยอนอูได้เปิดดูอีเมลนับร้อยที่มีซูส่งถึงและทั้งคู่ก็ติดต่อกันได้แต่ความพลาดพลั้งอีกครั้งของฮยอนอูทำให้เขาต้องจำจากมีซูอีกเช่นเคย... ปี 2005 มีซูเปลี่ยนมาทำงานที่สำนักพิมพ์ที่เจ้าของเปิดชั้นบนให้เช่าและคนที่มาเช่าทำงานด้านสื่อคือฮยอนอูที่ครานี้โชคชะตาไม่เล่นตลกอีกต่อไป แม้ในความเป็นจริงทั้งคู่ต่างมีใจต่อกันตั้งแต่แรกแต่คล้ายกับชะตาไม่เป็นใจให้ต้องจากกันไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเขาและเธอมาเจอกันในสิบเอ็ดปีให้หลังที่คล้ายกับไม่มีอะไรมาขวางความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันอีกต่อไป แล้วเรื่องราวการพลัดพรากของคนสองคนก็มาบรรจบกันผ่านการเล่าเรื่องที่ความโรแมนติกถูกเร่งเร้าด้วยอุปสรรคในโชคชะตาฟ้าลิขิต ก่อนที่พรหมลิขิตจะทำหน้าที่ของมันในตอนท้ายแต่บนความโรแมนติกที่ออกมากลับหวานละมุน กระนั้นด้วยเวลาฉายที่ค่อนข้างยาวของหนังที่ออกมาโทนเดียวแบบนี้เลยเป็นความเรียบเรื่อยแบบช่วยไม่ได้สมดังเจตนาเมื่อต้องการมาเป็นโรแมนติกดราม่าก็จัดมาเต็มที่ที่อาจดูจงใจไปบ้างหนังว่ากันที่เรื่องราวของคนสองคนที่มีใจให้กันตั้งแต่วันแรกเจอแล้วผ่านการพลัดพรากครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งเดาว่าคงมีเจตนาท้าทายต่อมความโรแมนติกของคนดูที่จะใส่มาในตอนท้าย แต่ด้วยความที่บทพยายามจนดูจงใจมากไปทำให้มองเห็นความบีบและเร่งเร้าอารมณ์ ทว่าความพยายามนั้นกลับถูกความวกวนอยู่กับที่ของบทหนังไม่ให้พัฒนาไปทางไหน และทำให้ช่วงเวลาแห่งความพลัดพรากและการรอคอยที่จะมาบรรจบกันมันกลายเป็นความเรียบแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าคือการปูทางไปสู่ความโรแมนติกอย่างได้ผล จนกระทั่งกามเทพพาคนสองคนมาพบกันตามหน้าที่หนังจึงจัดเต็มความโรแมนติกให้คนดูแบบไม่มีขาดตก และที่น่าชื่นชมคือความโรแมนติกนั้นมาแบบหวานละมุนไม่มีเลี่ยนเพราะเล่าผ่านความเป็นจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์จริงๆทำกันมิใช่นิยายรักผลคือคนดูอิ่มเอมและด้วยความที่เป็นหนังเกาหลีที่ต้องมีชั้นมีเชิงเลยลองของด้วยการใส่เรื่องแผลในใจที่รบกวนฮยอนอูที่ทำให้เขาอาจต้องสูญเสียมีซูไปอีกครั้ง แม้จะไม่บีบคั้นหนักแต่ก็ได้ผลที่น่าพอใจเป็นจุดพลิกผันเล็กๆทำให้หนังในครึ่งหลังดูอะไรบ้างนอกเหนือจากความโรแมนติกของรักที่พลัดพราก แต่ถ้าว่ากันที่ภาพรวมของทั้งเรื่องกลับมองเห็นความไม่เป็นเนื้อเดียวกันของหนังในส่วนของการปูเรื่องในช่วงแรกที่ดูจงใจและเยอะไปทำให้หนังวนอยู่กับที่ไปพักใหญ่ แล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกับครึ่งหลังที่เมื่อคนสองคนมาเจอกันแล้วเผยใจต่อกันเมื่อพรหมลิขิตทำงานสำเร็จแล้วจนกลายเป็นความโรแมนติกที่แสนละมุน อบอุ่นและพอดี กระทั่งจุดพลิกผันเล็กๆในตอนท้ายที่แม้จะไม่กระชากใจและเดาออกแต่ก็ถือว่าเป็นสีสัน แต่ถ้าต้องการอะไรที่กระแทกใจแรงกว่านี้อาจไม่ได้ดังใจเพราะนอกจากความโรแมนติกและความอบอุ่นหัวใจแล้วต้องยอมรับว่าหนังราบเรียบไปหน่อยความพลัดพรากความสิ้นหวังและอีเมล์ที่ไม่เคยถูกอ่านเมื่อมีซูได้พบกับฮยอนอูคนดูก็รู้ในแววตาของเธอแล้วว่าใจเธอคิดเช่นไร ไม่ต่างกันนักกับฮยอนอูที่เขามีเพียงมีซูคนเดียวที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจที่แตกร้าว แต่ความพรากจากครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้คนสองคนคล้ายกับสิ้นหวังที่จะมาเจอกันเพราะเมื่อเจอกันด้วยความหวังแต่สุดท้ายก็ยังต้องจากกันอยู่ดี แต่ทั้งนี้ก่อนความสิ้นหวังจะเข้ามากัดกินหัวใจฮยอนอูเคยมาหามีซูแล้วที่อพาร์ตเมนท์ที่เธออยู่แต่เธอไม่อยู่รอเขาในที่เดิมอีกแล้ว ทางด้านมีซูนั้นการรอคอยใครสักคนสำหรับหัวใจที่โดดเดี่ยวของเธอมันคือความเปล่าเปลี่ยว และความหวังของเธอก็คืออีเมล์นับร้อยที่ส่งไปแต่ฮยอนอูเปิดอ่านไม่ได้เพราะมันคืออีเมล์ที่ไม่มีรหัส แต่แล้วหยาดน้ำฝนก็หล่นลงบนทะเลทรายแห่งความหวังเมื่ออีเมล์ของฮยอนอูตอบกลับ ด้วยความเปลี่ยวดายของมีซูเธอไม่ได้ต้องการอะไรมากมายขอแค่ "ช่วยเป็นคนรักฉันเถอะ..." เพราะเธอก็เป็นเช่นเดียวกับฮยอนอูคือเปล่าเปลี่ยวเดียวดายแล้วคนสองคนที่คล้ายเป็นเส้นขนานน่าจะมาพบกันได้แต่สุดท้ายก็พรากจากกันอยู่ดี... และมันนำพามาซึ่งความเจ็บปวดและสูญสิ้นความหวังเมื่อมีซูบอกกับฮยอนอูทางอีเมล์ว่า ติดต่อฉันตอนมีเรื่องดีๆ แต่สำหรับฮยอนอูแล้วเขาก็รวดร้าวไม่ต่างกันเพราะเขาเองมี "ความทรงจำแสนสุขที่มีเพียงน้อยนิด" ซึ่งก็คือมีซู เพราะสำหรับคนที่ใช้เวลาครึ่งชีวิตในสถานพินิจแล้วออกมาแบบคนไร้ญาติขาดมิตรจะมีอะไรชื่นในหัวใจได้ ยิ่งฮยอนอูคือคนที่เจ็บปวดจากแผลในใจจากความพลาดผิดโดยไม่ตั้งใจแต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้อยู่ดี และถึงที่สุดคนที่พยายามสมานแผลนั้นก็คือมีซูแต่ความที่ฮยอนอูไม่ยอมปล่อยวางและเฝ้าแต่โทษตัวเองความหวังดีของมีซูจึงถูกทำร้าย และฮยอนอูก็เกือบที่จะเสียความสุขเพียงสิ่งเดียวในชีวิตไป แต่เมื่อความรักมันมีพลังมากกว่าสิ่งใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งรักที่ต้องรอคอยมานานแสนนานมีซูก็ยังพร้อมที่จะให้อภัยฮยอนอูความงดงามแห่งยุคสมัยหนึ่งในความงดงามของเรื่องนี้นอกจากความรักที่อบอุ่นละมุนหัวใจและกระตุกความคิดเรื่องของการไม่ยอมก้าวข้ามอดีตที่อาจส่งผลให้ต้องสูญเสียปัจจุบันก็คือการเล่าเรื่องผ่านความงดงามแห่งยุคสมัย สารภาพว่าดูเรื่องนี้ไปพร้อมเห็นภาพรางๆหรือกลิ่นจางๆของซีรีส์ตระกูล Reply อยู่ในนั้นด้วยการเล่าเรื่องผ่านยุคสมัยตั้งแต่ปี 1994 ที่เป็นยุค 90 ยุคแห่งความคลาสิคยุคแห่งวิทยุเอฟเอ็มและไอดอลคือดีเจเสียงใสๆ หนังเล่าเรื่องเรื่อยมาผ่านปี 1997 ที่ผู้เขียนเคยใช้บริการร้านหนังสือเช่าที่เคยเสียค่าปรับและ Window 95 กระทั่งผ่านมาถึงยุค 2000 ต้นยุคมิลเลเนี่ยมที่เริ่มเห็นการเข้ามาของ 7-11 กล้องโทรศัพท์มือถือและโมโตโรลล่าฝาพับ และที่ชอบที่สุดคือเพลงประกอบที่เป็นซาวด์แห่งยุคสมัยกับดนตรีท่งทำนองที่คุ้นชินจากการรับฟังจากคลื่นวิทยุ การเขียนไปรษณียบัตรฝากความในใจผ่านเสียงนุ่มนวลของพี่ดีเจสิ่งเหล่านี้ทำให้ในกมลรำลึกถึงคืนวันที่แสนงดงามในอดีตแม้ว่าในส่วนของเรื่องราวอาจดูราบเรียบไปบ้างและหนักไปในทางโรแมนติกแต่สิ่งที่ต้องเชิดชูคือเพลงประกอบที่แสนไพเราะ เพลงประกอบที่ขับส่งฉากและงานด้านภาพให้มีพลังสูงขั้นไปอีก และกับเรื่องนี้ในความละมุนของโทนโรแมนติกได้ถูกเร้าอารมณ์โดยงานด้านภาพที่สวยทั้งภาพและแสงเงา ทั้งนี้ดนตรียังมีส่วนอย่างมากในอารมณ์อ้างว้างเดียวดายเมื่อต้องรอคอยใครสักคนที่พลัดพรากจากครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งหนังเล่าเรื่องโดยมีรายการวิทยุเป็นสื่อกลางงานเพลงและดนตรีที่พอเหมาะลงตัวแบบนี้คือส่วนที่ดีและสวยงาม ส่วนเรื่องของการจูนหัวใจเพื่อมารักกันนั้นอาจไม่ชัดนักเมื่อคนสองคนก็มีอะไรในแววตาอยู่แล้วเมื่อแรกพบ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเมื่อคนสองคนที่อยู่อย่างเดียวดาย เหงา และต้องการใครสักคนแต่ต่างคนต่างก็มีอะไรในชีวิตที่ต่างกันโดยเฉพาะฮยอนอูจึงกลายเป็นการจูนชีวิตเพื่อที่เติมเต็มชีวิตให้กันมากกว่าในมุมที่มองอีกครั้งที่เสน่ห์และพลังดาราของนักแสดงช่วยยกระดับตัวเรื่องได้แม้บทอาจไม่เนี้ยบมากนักแถมยังทิ้งบางประเด็นไปอย่างไม่ไยดี แต่สิ่งที่ช่วยให้หนังมีพลังมากพอที่จะตรึงคนดูให้อยู่กับหน้าจอคือเสน่ห์ของนักแสดงซึงเรื่องนี้แรงมาก โดยเฉพาะสายตาอบอุ่นอ่อนโยนของฮยอนอูผ่านการถ่ายทอดของจองแฮอินที่คงต้องบอกว่า "ท็อปฟอร์ม" เพราะเสน่ห์และพลังดารามาอย่างล้นหลาม ด้วยบทฮยอนอูที่มิติลึกและหลากหลายคือเป็นคนดีที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา จ่อมจมอยู่กับความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจจนไม่ยอมก้าวข้ามรอยร้าวลึกในใจจนมาพบกับมีซูแม้ความรักทำให้มีความสุขแต่รอยแผลในใจยังเจ็บอยู่เสมอ เมื่อความหวังดีจากมีซูไปสะกิดแผลนั้นฮยอนอูกลับเลือกที่จะมองไม่เห็นเจตนาและโกรธกริ้วเมื่อมีใครสักคนพยายามสมานแผลให้ และมันคือความเห็นแก่ตัวที่เกือบทำให้ฮยอนอูต้องสูญเสียสิ่งมีค่าเพียงสิ่งเดียวในชีวิตนั่นคือมีซู ทุกอารมณ์ทั้งหนักและเบาจองแฮอินรับผิดชอบได้อย่างเบ็ดเสร็จทำหน้าที่ได้ยิ่งกว่าสมบูรณ์ เช่นกันกับคิมโกอึนที่เสน่ห์ล้นเหลือไม่ต่างกัน เคมีที่ลงตัวของการเข้าคู่กับจองแฮอินต้องเรียกว่าเป็นที่น่าจดจำเมื่อคนดูเชื่อหมดใจว่าความรักที่เกิดขึ้นตั้งแต่นาทีแรกและผ่านเวลาผ่านการพลัดพรากมาหลายครั้งจนมาลงเอยกันมันคือเรื่องจริง ความเจ็บปวดทรมานกับการรอคอยและการพรากจากครั้งแล้วครั้งเล่าที่กัดกร่อนในมีซูทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีความสุขก็สุขแบบไม่สุด ไม่เชื่อลองหลับตานึกถึงฉากที่เธอนั่งเหม่อในรถเมล์จะรู้ว่าความสับสนและความเจ็บปวดผิดหวังในสีหน้าแววตาเป็นเช่นไร และเมื่อพระนางเข้าคู่กันอย่างลงตัวแสดงรับส่งกันแบบสมบทบาทจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมรสของความโรแมนติกที่มีมันถึงออกมาหวานละมุนปานนั้น และกลายเป็นว่าแม้หนังจะมีนักแสดงสมทบที่ได้คุณภาพแต่หนังเรื่องนี้กลายเป็นโลกของฮยอนอูกับมีซูไปทั้งหมดโดยแท้จริงแต่ถ้าจะว่ากันตามจริงนี่คืออาหารที่มีรสละมุนกลมกล่อมแต่รสชาติก็ออกมารสเดียว แน่นอนธงที่ตั้งไว้คือความโรแมนติกจึงเห็นความพยายามคุมโทนโรแมนติกเต็มที่เมื่อประเด็นที่ใส่มาข้างหลังไม่มีพลังแทรกออกมาได้พอ บางประเด็นอย่างเรื่องพี่อึนจาที่เป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อมันในตัวฮยอนอูก็ถูกละเลยแบบไม่ไยดีกระทั่งมิติของการต้องปรับจูนตัวเองของฮยอนอูที่บทจงใจตั้งไว้ และอาจทำให้คนดูที่ไม่ถนัดหรืออคติกับความโรแมนติกจัดแบบนี้มองข้ามหรือผิดหวังหรือเอาง่ายๆก็คือคนดูที่ต้องการอะไรมากกว่านั้นจะหันหลังให้ กระนั้นก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าหนังตั้งใจที่จะไปทางนั้นและซื่อตรงต่อความตั้งใจของตัวเองไม่มีหลุดหรือเป๋เมื่อความตั้งใจที่จะเล่าเรื่องความรักที่แสนโรแมนติก ยิ่งได้นักแสดงนำระดับเสน่ห์ทะลุทะลวงอย่างจองแฮอินกับคิมโกอึนด้วยแล้วความตั้งใจที่ว่าก็ผลิดอกออกผลอย่างงดงามประกอบกับงานด้านภาพที่เสนอภาพและแฟชั่นสีสันแห่งยุคสมัย การเล่าเรื่องผ่านยุคแห่งความคลาสสิคทำให้ได้ใจคนดูรุ่นใหญ่ที่โตมาหรือผ่านช่วงนั้นมาด้วยความทรงจำดีๆได้มีอารมณ์ถวิลหาอดีต แม้บทในครึ่งแรกจะดูวนเวียนไม่ไปไหนแต่เมื่อถึงเวลาหนังก็จัดการคนดูได้และสำหรับผู้เขียนแล้วมองว่าเป็นหนังที่ดูได้ดูสนุกเพียงแต่ไม่ได้ลุ้นอะไร แต่หนังก็มีพลังพอที่จะตรึงผู้เขียนไว้ให้ดูได้เรื่อยๆด้วยอารมณ์ถวิลหาอดีตด้วยงานด้านภาพและเพลง กับสิ่งที่มีพลังมากคือเสน่ห์ของนักแสดงนำทั้งสองคนที่ทำให้หนังที่ดูเหมือนธรรมดาให้ไม่ธรรมดาดูเหมือนไม่มีอะไรกลับมีอะไรขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ และเรื่องนี้ถ้านักแสดงไม่ใช่จองแฮอินและคิมโกอึนอาจเป็นไปได้ว่าจะธรรมดาจนราบเรียบและเท่าที่เป็นอยู่นี่คือหนังที่มีพลังพอให้ดูได้อย่างไม่เสียดายเวลา และถ้าท่านชอบจองแฮอินหรือคิมโกอึนเรื่องนี้คือเรื่องที่ "ไม่ควรพลาด"ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 จาก cgv.co.krหมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไปอ่านบทความผลงานของ "จองแฮอิน" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Prison Playbook : ฟ้าพลิก ชีวิตยังต้องสู้ (2017) ตลกร้ายที่ใสและงดงาม มีความเป็นมนุษย์ และลงตัวทุกองค์ประกอบรีวิวจัดเต็ม One Spring Night : สายใยคืนใบไม้ผลิ (2019) เพราะความรักไร้ทฤษฎี บางครั้งอาจดูหมิ่นเหม่ แต่บางทีก็น่าเห็นใจรีวิวจัดเต็ม Something In The Rain : สื่อในสายฝน (2018) โรแมนติกหวานละมุน ดราม่าเข้มคมคาย กับการ "ฟังเสียงหัวใจตนเอง"ความเห็นหลังชม A Piece of Your Mind เสี้ยวหัวใจยังไงก็เป็นเธอ (2020) "ประดิดประดอยความรู้สึกที่ซึมลึกสัมผัสได้ กับชิ้นส่วนของหัวใจและเวลาเพียงเสี้ยววินาที"รีวิวจัดเต็ม D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ (2021) ยอดเยี่ยมถึงใจกับการตีแผ่มุมมืดของระบบที่ลึกถึงรากเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !