Short CommentLight the Night แสงราตรี ภาค 1-3 (2021-2022)ท้าทายความเชื่อมั่น เหนือชั้นลุ่มลึกด้วยชั้นเชิงง่ายๆ เสน่ห์แรงเกินห้ามใจจนกลายเป็น "มาสเตอร์พีซ" จากไต้หวันถ้าว่ากันที่หนังหรือซีรีส์จากไต้หวันดูไปบ่นไปได้เขียนไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาในเรื่องของเสน่ห์ของความเป็นงานไต้หวันที่ถ้าได้หลงเข้าไปดูก็อาจหลงเสน่ห์ กระนั้นถ้าถามความเห็นส่วนตัวสำหรับความชอบดูหนังหรือซีรีส์ไต้หวันของผู้เขียนอาจเพราะในทุกเรื่องที่เล่าล้วนมาพร้อมดราม่า แน่นอนว่าท่านที่ติดตามกันมานานก็จะพอรู้ว่าผู้เขียนชอบหนังหรือซีรีส์ดราม่าเป็นทุนที่สูงดังนั้นอะไรก็ตามที่มีความเป็นดราม่าก็ค่อนข้างติดใจง่าย เช่นเดียวกับซีรีส์ไต้หวันเรื่องนี้ที่ความจริงมีท่านผู้อ่านแนะนำมาว่าต้องดูให้ได้เพราะเป็นงานชั้นเยี่ยมในแบบไต้หวันที่ผู้เขียนดูแล้วจะรักซีรีส์เรื่องนี้ ทว่าเมื่อหาข้อมูลดูก็ปรากฎว่าซีรีส์ได้ถูกแบ่งออกมาเป็นสามภาคไม่ใช่สามซีซันที่ความต่อเนื่องจะต่างกันทำให้ตัดสินใจรอจนครบสามภาค แต่ชีวิตมักเป็นเช่นนี้เมื่อเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ได้หน้ามักลืมหลังซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นถูกเวลาและสถานการณ์ผลักให้ไปอยู่ในซอกหลืบความทรงจำ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ดูหนังไต้หวันก็พลันนึกขั้นได้ว่ามีซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ว่าจะดู แล้วเมื่อดูจบก็พบว่าตกหลุมรักซีรีส์ไต้หวันเรื่องนี้เข้าเต็มเปาจริงๆเปิดมาที่เจ้าหน้าที่พันเหวินเฉิง (โทนี่ หยางโหย่วหนิง) ได้รับแจ้งคดีฆาตกรรมหญิงสาวนางหนึ่งและหลักฐานในที่เกิดเหตุชี้มาทีบาร์ชื่อดังในย่านโคมแดงแห่งกรุงไทเปชื่อว่าแสงสกาว จากนั้นก็ย้อนไปทำความรู้จักกับหลัวอวี่หนงหรือโรส (รูบี หลินซินหรู) มาม่าซังที่มีเพื่อนตายคนหนึ่งเป็นมาม่าซังเหมือนกันคือซูซิ่งอี๋ (เชอรีล หยางจิ่งหวา) ซึ่งหลัวอวี่หนงเพิ่งถูกเจียงฮั่น (ไรเดียน วอห์น) แฟนหนุ่มนักเขียนบทละครตัดสัมพันธ์ หลังจากนั้นเจียงฮั่นกลับไปมีความสัมพันธ์กับซูซิ่งอี๋ทำให้เหออวี่เอิน (เดเรค จางสวนจุ่ย) หนุ่มนักศึกษาที่คบกันมาก่อนไม่พอใจ เท่านั้นยังไม่พอทางตำรวจก็ได้เบาะแสว่ามีการค้ายาในแสงสกาวโดยพนักงานในร้านเจ้าหน้าที่พันเหวินเฉิงจึงพาทีมเข้าตรวจค้นสร้างความไม่พอใจให้หลัวอวี่หนงและนั่นคือก่อนที่จะมีคดีฆาตกรรม ในขณะที่ในเวลาปัจจุบันเจ้าหน้าที่พันเหวินเฉิงก็เข้ามาสืบสวนในแสงสกาวเพราะหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมเป็นคนที่เขารู้จักและเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ทำงานในแสงสกาว แล้วการสืบสวนคดีฆาตกรรมจะเกี่ยวเนื่องกับคดีฆาตกรรมหญิงสาวปริศนาหรือไม่และศพหญิงสาวคนนั้นคือใครในแสงสกาวและใครคือฆาตกรที่พัวพันกันลึกซึ้งผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่าที่ถาโถมเข้าใส่แสงสกาวและสองมาม่าซังหลัวอวี่หนงและซูชิ่งอี๋ ยอดเยี่ยมในการวางเรื่องซ้อนเรื่องหลายเรื่องให้มีจุดศูนย์กลางเดียวแล้วแบ่งธีมเล่าทำให้ไม่ล้ากับการรอคอย หากอ่านเพียงเรื่องย่อหรือคำโปรยอาจมีบ้างที่คิดว่านี่คือซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่ยากต่อการคาดเดาซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่เหนือชั้นคือการวางเรื่องการสืบสวนทั้งคดีฆาตกรรมและการค้ายาซ้อนทับไว้ข้างไต้เรื่องดราม่าที่มีจุดศูนย์กลางที่ความรัก ด้วยการให้เรื่องความรักมาเป็นตัวเล่าเรื่องที่จะโยงไปสู่คดีฆาตกรรมและการค้ายาและไม่ใช่ว่าจะมีเพียงเรื่องความรักเพียงเรื่องเดียวแต่มีมากมายเพราะตัวละครหลากหลายโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บาร์แสงสกาวที่ไม่ต่างจากเป็นหนึ่งตัวละครหลักในเรื่อง เพราะสามารถดึงความรู้สึกไปผูกพันกับแสงสกาวได้แนบแน่นรู้สึกเจ็บปวดอ่อนล้าเมื่อแสงสกาวต้องเจอมรสุมลูกแล้วลูกเล่า ซึ่งเรื่องนี้เองที่พาโยงไปหาเรื่องที่อยู่ข้างหลังที่แบ่งออกเป็นสามภาคเล่าเป็นสามธีมสามจุดประสงค์ภาคแรกคือตั้งธงให้สงสัยว่าศพปริศนาคือใครโดยปิดภาคแรกลงอย่างสมบูรณ์ ส่วนภาคสองคือสร้างความสงสัยว่าฆาตกรเป็นใครและทำไมซึ่งไม่ได้เฉลยเพราะภาคสองและสามต่อเนื่องกันสร้างความสงสัยไปสุดทางในขณะที่หัวใจยังรักและลุ้นว่าแสงสกาวจะผ่านมรสุมแต่ละลูกไปได้อย่างไร ซึ่งการซ้อนเรื่องราวมากมายให้ลงตัวเรียบเนียนเล่าได้ไม่งงสัมพันธ์กันแบ่งเรื่องออกเป็นสามภาคทำให้ไม่ต้องรอคอยรางวัลนานก็คือความเหนือชั้นที่ล้ำลึกชั้นเชิงง่ายๆเดินหน้าไปก่อนแล้วย้อนมาต่อชิ้นส่วนเล่าตัดสลับกันผูกสัมพันธ์กันอย่างดีแต่ลุ่มลึกและดึงดูดอารมณ์ เอกลักษณ์หนึ่งของหนังหรือซีรีส์ไต้หวันคือจะค่อยๆเล่าเก็บรายละเอียดและความรู้สึกแม้จะเล่าเรื่องดราม่าแต่จะไม่บดขยี้ แล้วเรื่องดราม่าที่เล่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่มนุษย์ต้องเจอจึงทำให้เหมือกับการฉายภาพชีวิตจริงขึ้นจอแต่สิ่งที่ต้องแลกคือความเร่งเร้าไม่ค่อยมีที่วัยรุ่นข้างบ้านเรียกว่าสโลว์เบิร์น เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ถ้าเรียงเวลาเล่าเรื่องก็ได้เพราะไม่ได้หวือหวามากมายแต่การเล่าจากผลย้อนมาหาเหตุแล้วค่อยๆปล่อยรายละเอียดโดยใช้ปัจจัยด้านหัวใจมากำหนดกลายเป็นความลุ่มลึก เพราะหัวใจและความรู้สึกกลายเป็นความผูกพันเอาง่ายๆคือบาร์แสงสกาวที่กลายเป็นตัวละครหลักอีกหนึ่งคนให้เอาใจช่วย แน่นอนการค่อยๆเล่าด้วยรายละเอียดโดยทิ้งปริศนามากมายทำให้เหมือนเรื่องหยุดอยู่กับที่แต่อย่างที่บอกคือมือบาร์แสงสกาวถูกเอาใจใส่ก็กลายเป็นหัวใจติดยึดกับทุกตัวละครในนั้นไม่ว่าใครหน้าไหน ทำให้กระทั่งช่วงเวลาจริงอาจไม่ได้นานมากขนาดข้ามหลายปีแต่การเล่าจากผลมาหาเหตุที่ว่าด้วยการเดินไปข้างหน้าด้วยปริศนาแล้วมาปล่อยชิ้นส่วนให้ถูกเวลาที่เป็นชั้นเชิงง่ายๆแต่ยังได้ผล จนกลายเป็นการผูกสัมพันธ์เรื่องดราม่าที่ต้องการเล่าเข้ากับเรื่องปรินาฆาตกรรมที่เป็นแถวสองพัวพันถึงการค้ายาที่เป็นแถวสามได้อย่างยอดเยี่ยมเนียนตา แล้วเมื่อหัวใจอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเต็มที่สิ่งที่ได้คือแรงดึงดูดทางอารมณ์ท้าทายความชื่อมั่นกับใจตัวเองเมื่อทุกคนต่างถูกความรักทำร้ายโดยมีเรื่องเล่าที่โดนใจทุกคน แม้จะมีหน้าฉากคล้ายเป็นเรื่องการสืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาแต่แท้จริงแล้วนี่คืองานโรแมนติกดราม่าโศกนาฏกรรมแห่งความรักชั้นเยี่ยม เพราะการสร้างปริศนาการฆาตกรรมคือการชี้นำหัวใจให้สงสัยไปทั่วพร้อมที่จะไปค้นหาเหตุของผลที่เห็นเมื่อตอนต้นอย่างมุ่งมั่น แล้วเมื่อย้อนกลับมาสร้างความสงสัยว่าคือศพนั้นคือใครปัจจัยหลักก็เข้ามาชักจูงสมองให้ขัดแย้งกับหัวใจเพราะแม้จะสงสัยแต่ทุกครั้งความสงสัยก็ถูกท้าทายด้วยความเชื่อมั่นในใจว่าคงจะไม่ใช่ แล้วจุดสงสัยและความเชื่อมั่นก็ถูกร้อยเรียงด้วยเรื่องเดียวคือความรักที่ทำร้ายทุกคนจนเจียนแหลกสลายเพราะความรักสามารถบันดาลให้คนทำสิ่งสวยงามได้ก็ทำให้ตามืดบอดทำสิ่งชั่วร้ายได้เช่นกัน ศูนย์กลางของเรื่องนี้จึงเป็นความรักที่เป็นผู้ร้ายหลักทำร้ายทำลายทุกอย่างแม้สิ่งนั้นจะเป็นความงดงามที่ได้ถูกสร้างมาทั้งชีวิต ที่เยี่ยมมากคือการที่ตัวละครหลักที่เป็นผู้เล่นในแสงสกาวทุกคนล้วนมีเรื่องความรักมีอดีตที่ย้อนมาทำร้ายทุกคนเจ็บปวดทุกคนที่เป็นเรื่องพื้นฐานทางใจที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทำให้สัมผัสจับต้องได้และกินใจ สุดท้ายแม้ความรักจะเป็นผู้ร้ายท้าทายว่าใครจะยืนต้านทานมรสุมแห่งหัวใจที่หนักหนาสาหัสกันทุกคนได้และแกร่งพอเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีใครทำร้ายตัวเองได้นอกจากตัวเอง จนถึงบทสรุปที่ความรักอีกเช่นกันที่ทำให้แสงสกาวกลายเป็นศูนย์กลางของความรักเสน่ห์ที่เย้ายวนชวนเสน่หาตรงกับธีมของเรื่องที่ว่ากันที่สถานเริงรมย์ที่เป็นที่พักพิงของความเหงาและความรัก สารภาพว่าคนในวัยผู้เขียนนี่เองที่พอได้ยินคำว่ามาม่าซังสมองจะคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเสน่หา แล้วเมื่อธีมของเรื่องเล่าในสถานเริงรมย์ชั้นสูงที่เป็นที่ผ่อนคลายความเปลี่ยวเหงาที่เป็นเรื่องของเสน่หาจึงต้องมีนักแสดงที่มีเสน่ห์ดึงดูดสายตามาสร้างเสน่หาที่ว่านั้น หลักๆเลยคือรูบี หลินกับเชอรีล หยางมาพร้อมเสน่ห์ที่ไม่ว่าใครคงต้องลุ่มหลงและให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติสำหรับบทมาม่าซังที่อาจดูเหมือนด้านชาเพราะต้องรองรับอารมณ์ความเปลี่ยวเหงาของชายมากหน้า แต่ส่วนลึกโหยหาความรักเพราะทั้งสองคือมนุษย์และสองคนนี้คือตัวถ่ายทอดหลักเป็นพลังดึงดูดทางเพศที่สูงมี First Impression ที่ต้องตา ทำให้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกต้องตาและมิติข้างในสามารถถ่ายทอดออกมาอย่างต้องใจจนดึงดูดหัวใจให้ต้องติดตามอย่างไม่ลดละ เช่นกันทางฝายชายสามคนหลักที่มาเป็นตัวแปรทางหัวใจทั้งโทนี่ หยาง,เรดียน วอห์นและเดเร็ค จางก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แล้วที่ทำให้บาร์แสงสกาวมีมิติเชิงลึกที่ไม่ต่างจากตัวละครหลักที่ได้ใจเป็นศูนย์กลางของเรื่องได้คือการแสดงที่เป็นแรงสนับสนุนชั้นเยี่ยมของสาวๆทั้งเอสเธอร์ หลิว (ฮานะ) , นิคกี้ เชย์ (ยูริ) , เชอรี ฉี (อาจี้) , พัฟฟ์ กัว (ไอโกะ) , แคมมี เฉียง (หยาหย่า) รวมถึงนักแสดงสมทบที่ยอดเยี่ยมแม้บทมีน้อยนิดและพลังที่แรงจัดจากนักแสดงรับเชิญวิเวียน ซูและอู๋คังเหรินเพราะทุกคนเป็นเหยื่อของความรักทำให้กลายเป็นงานที่ต้องตกหลุมรักซีรีส์จบแล้วยังไม่อยากให้จบ แรกเลยสิ่งที่ได้ใจตั้งแต่เริ่มการใช้เพลงจันทร์แทนใจ (The Moon Represent My Heart) ของเติ้งลี่จวินมา Cover เป็นเพลงเปิดที่มีภาพดึงดูดสายตายิ่งทำให้เป็นเพลงเปิดที่มีค่าพอที่จะไม่กดข้าม แล้วไม่น่าเชื่อว่าในซีรีส์ไต้หวันมักจะเป็นแบบนี้ที่เพลงดึงดูดใจได้ตั้งแต่ต้นเช่น A Thousand Goodnights ยิ่งด้านเนื้อหายิ่งไม่ต้องบบรยายมากเพราะแม้จะเป็นเรื่องง่ายๆเล่าเรียงไปตามเวลาก็ได้และเร้าใจดีด้วยแต่การเลือกเล่าแบบมีชั้นเชิงคือการเอาเรื่อง่ายๆมาเล่าให้ดูเหนือๆ การปิดซ่อนสิ่งที่ควรซ่อนก็ทำได้ยอดเยี่ยมเพราะไม่ใช่ไม่คิดแต่ทุกครั้งที่คิดจะมีความเชื่อส่วนตัวมาขัดแย้งทำให้อะไรที่ควรได้เปิดเผยไม่ถูกเดาได้ก่อนจังหวะมันจึงใช่ แล้วในส่วนของความรักที่เป็นตัวร้ายมาทั้งเรื่องแล้วมาเป็นนางเอกในตอนท้ายก็คือน้ำหนักที่ถ่วงให้เรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องเจอและไม่แน่ถ้าต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นเราจะรับมือแบบไหน ตลอดสามภาคที่ร้อยเรียงกันอย่างไม่มีรอยต่อเล่าได้ในทุกสิ่งที่ต้องเล่ามิติทางหัวใจไม่มีบกพร่องการแสดงที่มีเสน่ห์มีบทสรุปที่งดงามแม้จะเจ็บมาทั้งเรื่องแต่สุดท้ายก็มีความสุขแม้จะดูหม่นปนทุกข์เล็กๆ ทำให้เมื่อดูเรื่องนี้จบลงความรู้สึกคือไม่อยากให้จบแม้จะดูมาตั้งยี่สิบสี่ตอนแล้วเพราะยังอยากเห็นแสงสกาวและทุกคนที่เกี่ยวข้องมีความสุข กับซีรีส์ไต้หวันที่อาจต้องยกย่องว่า "มาสเตอร์พีซ"ขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram hikari_lightthenight ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/mOom95okmmjr https://entertainment.trueid.net/detail/3DG24vv4VNbk เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !