ใน Star Wars Episode 4 A New Hope หากยังจำกันได้มันจะเป็นเรื่องราวของ Luke และ Leia Skywalker พร้อมกับกองทัพกบฏ Resistance บุกทำลายยาน Death Star ซึ่งก็สำเร็จลุล่วงอย่างงดงามจากการได้แบบแปลนยาน ฉากหน้ามันก็ทำให้เราเห็นถึงความกล้าหาญ ความสามัคคีร่วมกันปราบจักรวรรดิ แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังแล้วกว่าจะแบบแปลนมันต้องแลกด้วยเลือดและความเสียสละมากแค่ไหนแน่นอนใน Star Wars 4 เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าการได้แบบแปลนยาน Death Star มาได้อย่างไร แต่ใน Rogue One เราจะได้รู้ครับว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่ง Rogue One จะเป็นเนื้อเรื่องแยกที่เล่าย้อนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ใน Episode 4 ผ่านตัวละคร Jyn Erso หญิงสาวผู้ต้องการโค่นล้มจักรวรรดิกับ Cassian Endor ชายหนุ่มฝ่ายกบฏผู้ชักชวน Jyn มาร่วมปฏิบัติการพร้อมกับพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่งสำหรับโทนเรื่องมันจะแตกต่างจาก Star Wars จักรวาลหลักมากทีเดียว เนื่องจากใน Rogue One จะพาผู้ชมดำดิ่งสู่อีกด้านของฝ่ายกบฏที่มีด้านมืดสกปรกเหมือนกันครับ พร้อมกับการเดินเรื่องที่ไม่เน้นบันเทิงมาก หนักไปทางซีเรียสจริงจัง มันก็ทำให้การกระทำของตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือไปด้วยอย่างที่บอกไปว่าในเรื่องนี้จะนำเสนออีกด้านของฝ่ายกบฏที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายดี เป็นผู้นำสันติสุขมาให้ประชาชน แต่แท้จริงแล้วการกระทำของพวกเขาก็เรียกว่าโหดร้ายพอ ๆ กับฝั่งจักรวรรดิเลยทีเดียวครับ อย่างเช่นการต่อสู้ของ Saw Gerrera ผู้นำกบฏหัวรุนแรง ในภารกิจซุ่มโจมตีทัพจักรวรรดิในเมือง ซึ่งการต่อสู้ฉากนี้จะไม่สนเลยว่ามีประชาชนปะปนอยู่ด้วย นั่นก็ทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนใจวิธีการใด ๆรวมไปถึงการที่ Jyn กับพรรคพวกจัดตั้งทีมเพื่อโจรกรรมแบบแปลน Death Star เองก็ถูกลบเลือน ไม่มีการพูดถึงเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นปฏิบัติการลับที่ไม่มีทางได้กลับมา ก็ควรจะมีการยกย่องบ้างแต่ทว่าผู้นำกบฏอย่าง Mon Mothma เองก็เลือกที่จะไม่กล่าวถึง ราวกับว่าเธอตั้งใจส่งพวกเขาไปตายอยู่แล้วครับหรือจะเป็นกรณีของการส่งเครื่องบินไประเบิดศูนย์วิจัยของ Galen นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกจับไปบังคับให้ประดิษฐ์ยาน Death Star เองก็ราวกับว่าจะเป็นการฆ่าปิดปากไม่ให้มีมลทินเหลืออยู่ สิ่งเหล่านี้เราจะได้เห็นใน Rogue One ครับ ถือว่าโหดร้ายไม่แพ้อีกฝั่ง เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างก็คืออุดมการณ์นั่นเองถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะมองฝ่ายกบฏเป็นคนเลวครับ เพราสงครามมันต้องมีการสูญเสียและต้องมีแผนสกปรกเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแค่หนังนำเสนออีกมุมมองให้ดูสมจริงสมจังมากขึ้นเท่านั้นเองตัดกลับมาที่ทีมพลีชีพนำโดย Jyn Erso กันบ้างก็เรียกว่าเป็นทีมที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ กับการทำลายยาน Death Star โดยในหนังจะเผยให้เห็นความยากเย็นในการชิงแบบแปลนมา ทั้งที่สมาชิกในทีมไม่ได้มีพลัง Force เหมือน Jedi เป็นเพียงทหารและนักสู้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน เช่นนักบวชเฝ้าวิหาร, อดีตนักบินของจักรวรรดิ, หุ่นดรอยด์, ทหารรับจ้างฉะนั้นแล้วฉากต่อสู้หลัก ๆ ก็จะเป็นการใช้ยุทธวิธีทางทหาร ใช้ปืนเป็นอาวุธหลักครับ ทั้งการโจมตีแบบลอบเร้นหรือการยกพล เพื่อโจมตีเต็มรูปแบบ ในฉากต่อสู้ของ Rogue One ก็ต้องขอชมเชยคุณ Gareth Edwards ที่สรรค์สร้างฉากต่อสู้ภาคพื้นดิน-ทางอากาศ ได้สนุกเร้าใจ เหมือนกับว่าได้เห็นการยกพลขึ้นบกเหมือนสมัยสงครามโลก การต่อสู้มีการสูญเสียแบบจริงจังรวมถึงตัว Storm Trooper ที่หลายคนค่อนขอดว่าไร้ฝีมือ แต่คงไม่ใช่ในเรื่องนี้ครับเพราะพวกมันยิงได้แม่นยำ โหดร้ายจนพวกกบฏตึงมือกันเลยทีเดียว แถมยังมีหน่วย Storm Trooper หลากหลายหน่วย จะแบ่งตามสีบนชุดเกราะก็ให้ความรู้สึกที่แปลกตาและน่าเกรงขามดีครับนอกจากนี้สิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือการเชื่อมต่อฉากให้เข้ากับ A New Hope ทำได้เนียนและทรงพลังเอามาก ๆ เพราะในฉากเปิด A New Hope จะเป็นฉากทหารนำแบบแปลนมาให้เจ้าหญิง Leia แต่ก่อนหน้านั้นกว่าแบบแปลนนี้จะส่งถึงมือเธอ มันต้องเปื้อนเลือดหลายคน และการมาของ Darth Vader ในตอนท้ายต้องบอกว่า “ทรงพลัง” กับ “น่ากลัว” มากแม้ว่าจุดจบของ Jyn และพรรคพวกจะเป็นการพลีชีพไม่ได้กลับมาทุกคน ถึงอย่างนั้นพวกเขา-เธอก็ทำมันสำเร็จ เชื่อมั่นว่าสันติสุขจะต้องกลับมา จักรวรรดิต้องล่มสลาย นอกจากนี้สิ่งที่ขับเคลื่อนพวกเขาให้ทำสำเร็จก็คือ “ความเชื่อเรื่องพลัง” มันก็สะท้อนคนดูในชีวิตจริงว่า หากจะทำอะไรก็ต้องมีความเชื่อมั่นเสียก่อน ถึงจะทำสิ่งนั้นได้ดีประสบผลสำเร็จRogue One: A Star Wars Story น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในใจหลาย ๆ คน รวมถึงตัวผู้เขียนด้วยครับที่ชอบเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ ในจักรวาล Star Wars หวังว่าจะมีภาพยนตร์ Star Wars ที่นำเสนอแง่มุมแบบนี้ จริงจังแบบนี้ อีกนะครับ เชื่อได้เลยว่ามันจะได้กลุ่มคนดูใหม่ ๆ หรือเปิดใจกับ Star Wars มากขึ้นก็เป็นได้ครับที่มารูปภาพ: รูปภาพปก / รูปภาพ 1 / รูปภาพ 2 / รูปภาพ 3 / รูปภาพ 4 / รูปภาพ 5 / รูปภาพ 6