"John Carter" ตำนานหนังที่ต้องคำสาปที่สุดในฮอลลีวูด
John Carter เป็นหนังไซไฟฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉายเมื่อปี 2012 มีชื่อไทยว่า “นักรบสงครามข้ามจักรวาล” เป็นหนังที่ดิสนีย์มั่นอกมั่นใจอย่างมากว่าจะประสบความสำเร็จ ถึงได้กล้าทุ่มทุนสร้างให้ 250 ล้านเหรียญ โยนหน้าที่กำกับให้กับ แอนดรูว์ สแทนทัน (Andrew Stanton) ผู้กำกับลูกหม้อของดิสนีย์เอง มีผลงานกำกับที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามมาตลอด ทั้ง Finding Nemo และ Wall-E มอบหมายบทนำให้กับ เทเลอร์ คิตช์ (Taylor Kitsch) พระเอกหน้าใหม่มาแรง ที่รับบทนำในหนังฟอร์มใหญ่ปีเดียวกันถึง 2 เรื่อง คือ John Carter และ Battleship
และที่สำคัญ นี่คือเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากนิยายสุดคลาสสิก “A Princess of Mars” ของ เอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส ( Edgar Rice Burroughs) ที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1912 และผ่านความพยายามในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่า John Carter เป็นหนังที่ใช้เวลาในการเตรียมการสร้างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่ที่ริเริ่มโปรเจกต์จนวันที่หนังออกฉายกินเวลาไปกว่า 80 ปี มีบุคคลระดับบิ๊ก ๆ ในฮอลลีวูดเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ทั้ง ทอม ครูซ, จูเลีย โรเบิร์ต, จอน ฟาฟวโร, จอห์น แม็กเทียร์แนน แต่สุดท้ายแล้วทำไมถึงมาลงเอยที่พระเอกโนเนม แล้วผลลัพธ์ก็ไม่เป็นไปตามคาด หนังทำรายได้ทั่วโลกไปเพียงแค่ 284 ล้านเหรียญ ถ้าพิจารณาจากทุนสร้างที่ 250 ล้าน บวกค่าการตลาดอีก นั่นเท่ากับดิสนีย์ขาดทุนยับเยิน ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็นับสิบปีแล้ว แต่ John Carter ก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในฐานะ หนังฟอร์มยักษ์ที่ล้มเหลวมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด และถูกหยิบมาเป็นกรณีศึกษาอยู่เนือง ๆ บทความนี้จะพาเราย้อนอดีตไปถึงจุดกำเนิดของ John Carter ว่าด้วยเหตุใด หนังที่มีองค์ประกอบครบถ้วนที่น่าจะทำเงินถล่มทลายถึงออกมาพลิกล็อกได้เพียงนี้
จุดกำเนิด
ภาพยนตร์ John Carter นั้น ดัดแปลงมาจากนิยาย ‘Under the Moons of Mars’ ตีพิมพ์ในนิตยสาร Pulp ลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ไปจบในเดือน กรกฎาคม 1912 พอนิยายจบสมบูรณ์ก็ได้รับการรวบรวมเป็นเล่มปกแข็งใน 5 ปีต่อมา พอเป็นนิยายเล่มก็ใช้ชื่อว่า ‘A Princess of Mars’ และได้รับความนิยมอย่างดี จึงมีเล่มต่อออกตามมาอีก 10 เล่ม กลายเป็นนิยายชุดที่รู้จักกันในชื่อ ‘Barsoom’ ซีรีส์ (บาร์ซูม เป็นชื่อที่ชาวดาวอังคาร เรียกชื่อดาวของตัวเอง)
บ็อบ แคลมเพ็ตต์
คนแรกที่ให้ความสนใจต่อนิยาย A Princess of Mars ก็คือ บ็อบ แคลมเพ็ตต์ (Bob Clampett) เขาเป็นนักเขียนการ์ตูนและผู้กำกับ ‘Looney Tunes’ ที่ทั่วโลกรู้จักกันดี ในปี 1931 แคลมเพ็ตต์เข้าพบเบอร์โรห์สเพื่อนำเสนอแนวคิดที่จะนำนิยาย A Princess of Mars มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน ซึ่งเบอร์โรห์สก็เห็นชอบและยินดีให้แคลมเพ็ตต์ดำเนินการ พอได้รับอนุญาต แคลมเพ็ตต์และทีมงานก็ลงมือทำงานกันอย่างจริงจัง ด้วยเทคนิคการสร้างแอนิเมชันในยุคนั้น แคลมเพ็ตต์ต้องอาศัยภาพฟุตเทจของเหล่านักกีฬามาเป็นต้นแบบและลากเส้นตามร่างของนักกีฬา มาประยุกต์ใส่ตัวละคร จอห์น คาร์เตอร์ เพื่อให้ดูมีความเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง
พอภาพยนตร์ทดสอบสำเร็จเสร็จสิ้นในปี 1936 แคลมเพ็ตต์ก็ทดลองฉายรอบทดลอง แต่ผลตอบรับไม่ดีนัก ทำให้ผู้บริหารสั่งยกเลิกโปรเจกต์นี้ แต่ถ้าผลตอบรับออกมาดี A Princess of Mars จะกลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกของโลก เท่ากับเป็นการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์แอนิเมชันไปเลย เพราะตำแหน่งภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกของโลก ก็กลายเป็นผลงานของดิสนีย์ ‘Snow White and the Seven Dwarfs’ที่ออกฉายในปี 1937
คนต่อไปที่ให้ความสนใจต่อ A Princess of Mars ก็คือ เรย์ แฮร์รีเฮาเซน (Ray Harryhausen) บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ เพราะเขาคือผู้คิดค้นเทคนิคสต็อปโมชัน และเป็นผู้สร้างหนัง ‘Jason and the Argonauts’ ในช่วงปลายยุค 50’s แฮร์รีเฮาเซนให้ความสนใจที่จะดัดแปลง A Princess of Mars เป็นภาพยนตร์เช่นกันแต่แฮร์รีเฮาเซนก็ประสบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องบทภาพยนตร์ที่แก้แล้วแก้อีกก็ยังไม่เป็นที่พอใจ จนกระทั่งเบอร์โรห์สเสียชีวิต
ดิสนีย์
ผ่านมาจนถึงยุค 80’s 2 ผู้อำนวยการสร้างชื่อดัง มาริโอ คาสซาร์ (Mario Kassar) และ แอนดรูว์ จี. วาจนา (Andrew G. Vajna) ผู้มีผลงานภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Total Recall และ Rambo ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนดิสนีย์ ไปซื้อลิขสิทธิ์ในการดัดแปลง A Princess of Mars เป็นภาพยนตร์ เพราะในวันนั้น ดิสนีย์มองเห็นศักยภาพของนิยายว่าน่าจะดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่พอจะเป็นคู่แข่ง Star Wars ได้เลย แล้วมอบหมายให้ เท็ด เอลเลียต (Ted Elliott) และ เทอร์รี รอสซิโอ (Terry Rossio) รับหน้าที่ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ ส่วนตำแหน่งผู้กำกับนั้น ตกเป็นของ จอห์น แม็กเทียร์แนน (John McTiernan) ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงมาจาก Predator และ Die Hard ส่วนนักแสดงนำนั้นก็ทาบทาม ทอม ครูซ (Tom Cruise) และ จูเลีย โรเบิร์ต (Julia Roberts) ไว้เรียบร้อยแล้ว
ฟังดูทุกอย่างก็สวยงามและน่าจะราบรื่น แต่ในที่สุด ผู้ที่ตัดสินใจหยุดโปรเจกต์นี้ไว้ตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมการสร้างก็คือ ผู้กำกับแม็กเทียร์แนน ที่พินิจพิจารณาแล้วก็ยอมรับว่า เทคโนโลยีทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ของฮอลลีวูดในวันนั้น ยังไม่สามารถเนรมิตภาพได้ตามจินตนาการที่เบอร์โรห์สได้บรรยายไว้ แม้โปรเจกต์นี้จะถูกพับไป แต่ดิสนีย์ก็ยังคงเป็นผู้ถือครองสิทธิ์ในการสร้างอยู่ดี และ เจฟฟรีย์ คาตเซนเบิร์ก (Jeffrey Katzenberg) ประธานดิสนีย์ในวันนั้น ก็ยังพยายามผลักดันโปรเจกต์นี้ให้เป็นจริงตลอดมา จนสุดท้ายสิทธิ์ก็กลับไปอยู่ในบริษัทผู้ดูแลสินทรัพย์ของเบอร์โรห์ส
พาราเมาต์
เจมส์ แจ็กส์ (James Jacks) ผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานอย่าง The Mummy, Hard Target ได้อ่านอัตชีวประวัติของ แฮร์รี โนวลส์ (Harry Knowles) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดัง ในนั้นโนวลส์เล่าว่าเขาได้อ่านนิยาย A Princess of Mars มาตั้งแต่เด็ก แล้วเขียนชื่นชมนิยายเรื่องนี้ไว้อย่างเลิศเลอ ทำให้แจ็กส์อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตาม เขาไปเจรจาให้พาราเมาต์ พิกเจอร์ส ซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ แต่ก็ต้องประมูลแข่งกับโคลัมเบีย พิกเจอร์ซึ่งให้สนใจเช่นกัน แต่สุดท้ายพาราเมาต์ก็เป็นผู้ชนะ พอได้สิทธิ์ในการสร้างมาในปี 2004 แจ็กส์ก็ติดต่อโนวลส์ทันที เพื่อให้มาเป็นที่ปรึกษาในโปรเจกต์ แล้วมอบหมายให้ มาร์ก โพรโทเซวิช (Mark Protosevich) ผู้เขียนท The Cell, I am Legend เมื่อ แฮร์รี โนวลส์ ตกลงรับหน้าที่ที่ปรึกษาโปรเจกต์ เขาก็นำบทภาพยนตร์ไปให้ โรเบิร์ต รอดริเกซ (Robert Rodriguez) ที่เป็นเพื่อนของเขาลองอ่าน ซึ่งรอดริเกซอ่านแล้วก็ตอบรับกำกับเรื่องนี้ แต่มีเงื่อนไขว่า โนวลส์จะต้องเป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย
โปรเจกต์ดูมีความคืบหน้าไปอย่างราบรื่น จนมีกำหนดเปิดกล้องในปี 2005 ซึ่งรอดริเกซวางแผนว่าเรื่องนี้เขาจะใช้ฉากหลังเป็นดิจิทัลทั้งหมด เพราะเขาเคยมีประสบการณ์การทำงานแบบนี้มาแล้วตอนที่สร้าง Sin City รอดริเกซยังจ้าง แฟรงก์ ฟราเซตทา (Frank Frazetta) ผู้เคยเขียนภาพประกอบในนิยายของเบอร์โรห์สมาแล้ว ให้มารับหน้าที่คุมงานออกแบบของโปรเจกต์นี้
แต่แล้วปัญหาก็เกิดจนได้ เมื่อตอนที่รอดริเกซกำกับ Sin City หนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของ แฟรงก์ มิลเลอร์ (Frank Miller) ซึ่งรอดริเกซต้องการให้เครดิตมิลเลอร์ในฐานะผู้กำกับร่วม แต่ทางสมาคมผู้กำกับกับแห่งอเมริกา (Directors Guild of America) ไม่อนุมัติ รอดริเกซก็เลยประชดด้วยการลาออกจากสมาคมในปี 2004 ก็เลยมาส่งผลเอาตอนนี้ เมื่อสมาคมชี้แจงมายังพาราเมาต์ว่า ทางสตูดิโอไม่สามารถจ้างผู้กำกับที่ไม่สังกัดสมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกาได้ โรเบิร์ต รอดริเกซ ก็เลยหลุดจากตำแหน่งผู้กำกับ พาราเมาต์ไม่ให้โปรเจกต์หยุดชะงัก จ้าง เคอร์รี คอนแรน (Kerry Conran) ผู้กำกับ Sky Captain and the World of Tomorrow ให้มารับหน้าที่ผู้กำกับแทนทันที แล้วมอบหมายให้ เอห์เรน ครูเกอร์ (Ehren Kruger) ผู้เขียนบท Transformers 2-3-4 มารับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ ทีมงานออกสำรวจพื้นที่ในออสเตรเลียน เพื่อจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
แต่แล้วคอนแรนก็ประกาศลาออกจากโปรเจกต์โดยไม่แจ้งสาเหตุ พาราเมาต์ยังไม่ยอมให้โปรเจกต์หยุดชะงัก ส่ง จอน ฟาฟวโร (Jon Favreau) เข้าแทนที่ในตำแหน่งผู้กำกับทันทีในเดือนตุลาคม 2005 ฟาฟวโรก็ดึง มาร์ก เฟอร์กัส (Mark Fergus) มือเขียนบทคู่บุญของเขาให้มาร่วมงานนี้ด้วยกัน ทั้งคู่ต้องการให้หนังออกมาตรงตามนิยายของเบอร์โรห์สให้มากที่สุด โดยคงเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในอเมริกาไว้ และต้องการให้ตัวละคร Barsoomian Tharks นั้นมีความสูงที่ 4.6 เมตรตามที่นิยายบรรยายไว้ เพราะบทก่อนหน้านี้ถูกแก้ให้มีความสูงเท่ามนุษย์ ฟาฟวโรยังมองการณ์ไกลว่าจะพัฒนาให้กลายเป็นหนังไตรภาคเลยด้วย โดยเขาจะเลือกนิยาย 3 เล่มแรกจากซีรีส์ Barsoom คือ A Princess of Mars, The Gods of Mars และ The Warlord of Mars สร้างเรียงกันตามลำดับ
ฟาฟวโรมีสไตล์การทำงานที่ต่างจากคอนแรนและรอดริเกซ ตรงที่เขาชอบใช้เอฟเฟกต์ที่สร้างกันขึ้นจริงในระหว่างถ่ายทำ โดยอ้างว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนัง Planet of the Apes และจะใช้การผสมผสานกันระหว่างเทคนิคในการเมกอัปกับ CGI เพื่อสร้างภาพ Barsoomian Tharks ขึ้นมา กลายเป็นว่าเรื่องเยอะเรื่องแยะ จนสิทธิ์ในการสร้าง A Princess of Mars หมดอายุในเดือนสิงหาคม 2006 พาราเมาต์ตัดสินใจไม่ขอต่ออายุ แล้วขอหันไปสร้าง Star Trek แทน ฟาฟวโรเลยจูงมือเฟอร์กัสไปทำงานกับมาร์เวล สตูดิโอ แทน แล้วร่วมกันสร้าง Iron Man (2008) ออกมา
กลับมาสู่อ้อมอกดิสนีย์อีกครั้ง
แอนดรูว์ สแทนทัน (Andrew Stanton) ผู้กับแอนิเมชันสุดฮิตอย่าง Finding Nemo (2003) และ WALL-E (2008) ไปหว่านล้อมผู้บริหารดิสนีย์ให้ซื้อสิทธิ์ในการดัดแปลง A Princess of Mars เป็นภาพยนตร์กลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมอ่านหนังสือเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และผมอยากเห็นมันขึ้นไปอยู่บนจอใหญ่เสียที”
สแทนทันใช้ความพยายามหว่านล้อมผู้บริหารดิสนีย์อย่างหนัก เพื่อขอโอกาสให้เขาได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาอ้างว่าจะทำให้หนังออกมาเหมือนกับ ‘อินเดียนา โจนส์ บนดาวอังคาร’ แบบนั้นเลย ซึ่งทีแรกทางผู้บริหารฟังแล้วก็ยังไม่คล้อยตามเท่าใดนัก เพราะติดใจตรงที่ว่า สแทนทันเองเคยมีแต่ประสบการณ์กำกับหนังแอนิเมชัน ไม่เคยกำกับหนังคนแสดงมาสักเรื่องเดียว บวกกับข้อเสนอของสแทนทันที่ดูขัดกับความเป็นจริงที่จะประสบความสำเร็จ คือสแทนทันไม่ต้องการใช้นักแสดงมีชื่อเสียงมาเรียกคนดู แล้วบทภาพยนตร์ก็ออกมาดูสับสน ไม่ชวนติดตาม แต่สุดท้ายเมื่อผู้บริหารพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาของสแทนทัน ที่เขาสามารถทำให้ WALL-E และ Finding Nemo ประสบความสำเร็จมาแล้ว ทางผู้บริหารก็ยินยอมให้เขาได้ตำแหน่งผู้กำกับไปในที่สุด
ปี 2008 บทร่างแรกที่สแทนทันเขียนเองก็สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งสแทนทันหมายหมั้นปั้นมือว่านี่จะเป็นเพียงแค่ภาค 1 ของหนังไตรภาค และภาคนี้ก็ครอบคลุมเนื้อหาแค่นิยายเล่มแรกเท่านั้น เดือนเมษายน 2009 สแทนทันดึงตัว ไมเคิล ชาบอน (Michael Chabon) เข้ามาแก้ไขบท ให้เหตุผลว่า “ตัวผมน่ะเก่งเรื่องการทำงานร่วมกันและโครงสร้างของบอท แต่ถ้าว่ากันทางเทคนิคแล้ว ไมเคิลนี่เก่งกว่าผมทั้งสติปัญญา งานเขียนและบทกวี”
ในวันที่สแทนทันจบงาน WALL-E เข้าก็ไปเยี่ยมชมหอจดหมายเหตุผลงานของ เอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส ที่เมืองทาร์ซานา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยก่อนงานสร้างของเขา จิม มอร์ริส (Jim Morris) ผู้จัดการทั่วไปของ Pixar กล่าวว่า งานภาพของ ‘John Carter’ จะออกมามีเอกลักษณ์ของตัวเอง ต่างจากภาพประกอบของ แฟรงก์ ฟราเซ็ตทา มอร์ริสกล่าวอีกว่า แม้ว่าเขาจะมีเวลาในการเตรียมตัวในการทำงานเรื่องนี้น้อยกว่างานแอนิเมชันเรื่องที่ผ่านมา แต่สำหรับเขาแล้วงานนี้ค่อนข้างง่ายกว่า เพราะตัวเขาเองก็อ่านนิยายของเบอร์โรห์สมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน เขามีภาพต่าง ๆ ในจินตนาการไว้หมดแล้ว
ส่วนสแทนทันนั้น นอกจากเตรียมงานสร้างทั่วไปแล้ว ยังทุ่มเทกับสุขภาพและสรีระของตัวเองด้วย เขาออกวิ่งสัปดาห์ละ 24 กิโลเมตร ลดน้ำหนักตัวลงไป 9 กิโลกรัม เขาให้สัญญากับทีมงานว่าตลอดการทำงานเขาจะไม่นั่งและจะไม่กลับไปที่รถเทรลเลอร์ของเขา นอกจากจะจำเป็นจริง ๆ เพื่อลบคำสบประมาทที่ว่า เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาจากหนังแอนิเมชัน แล้วใช้จุดนี้มาใช้เป็นอภิสิทธิ์เพื่อให้ตัวเองได้งานกำกับนี้