Series Full Review : The Nokdu Flower : ดอกไม้แห่งแดนดินดราม่าพีเรียดอิงประวัติศาสตร์สุดเข้ม ตั้งบนความไม่รู้ของผู้ชม ทำให้อรรถรสออกมาสูงส่ง เพราะนี่คือเรื่องของคนตัวเล็กที่อยากเปลี่ยนโลกNETFLIX : 1 Season 24 Episodes (2019)เรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์บางครั้งก็มีให้เห็นในหลายแง่มุมแต่ในทุกมุมล้วนมีบทเรียนล้ำค่าที่ถูกมอบไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำ เพื่อที่จะรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันสืบเนื่องมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เพราะเหตุการณ์ใดก็ตามที่ได้ถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ทุกเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่นำความเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และประวัติศาสตร์นั่นเองที่กลายมาเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการถ่ายทอดออกมาเป็นหนังหรือละคร อาจเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งการรับรู้เรื่องราวของคนรุ่นก่อนต่อคนรุ่นหลัง ที่ได้สอดแทรกเรื่องราวนิยายลงบนเรื่องจริงของหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและน่าดำรงไว้ในความทรงจำ อันเป็นที่มาของคำว่าอิงประวัติศาสตร์ซึ่งสำหรับผู้ชมที่เป็นชนชาติอื่นแล้วได้มาดูเรื่องราวเหล่านั้น บางครั้งอาจเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณเพราะเรื่องในหน้าประวัติศาสตร์ที่เห็น ผู้ชมไม่ทราบข้อเท็จจริงไม่รู้ว่าเหตุการณ์ใดเป็นเรื่องจริงเรื่องแต่ง แต่เมื่อบทมันเยี่ยมพอการแสดงมันยอดพอก็สามารถสื่อสารให้ผู้ชมที่ไม่รู้เรื่องราวเหล่านั้นได้รู้สึกมีส่วนร่วมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งเท่าที่เคยดูมานับว่าชนชาติเกาหลีได้ผ่านเรื่องราวมามากมายจนกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการบอกเล่า และเมื่อถูกเล่าด้วยความขึงขังของเหตุการณ์จริงผ่านงานด้านบทที่มีมาตรฐาน ผู้ชมที่ชมในฐานะมนุษย์ก็จะคล้ายกับเจ็บปวดไปพร้อมกัน จึงเป็นที่มาของงานพีเรียดอิงประวัติศาสตร์ชั้นดีเรื่องนี้ที่อาจเล่าเรื่องของคนตัวเล็กๆแต่กลับสามารถเปลี่ยนโลกได้ The Nokdu Flowerเรื่องย่อณ เมืองโกบูจังหวัดซอลลา ยังมีครอบครัวคหบดีที่เป็นชนชั้นกลางในยุคที่ประเทศเกาหลีเป็นโชซอนที่ยังมีระบบชั้นวรรณะครอบครัวนี้คือครอบครัวตระกูลแบ็ก แล้วเรื่องก็เล่าถึงความโลภความร้ายที่คนตระกูลแบ็กทำกับชาวบ้าน ทั้งการรีดภาษี และการข่มขู่ทำร้าย ผ่านชายหนุ่มที่ชาวบ้านเรียกขานว่าเจ้าผู้นั้น (โจจองซอก) อีกด้านหนึ่งการกลับมาของแบ็กอีฮยุน (ยุนซียุน)ที่ไปเรียนหนังสือจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ชมจึงทราบว่าเจ้าผู้นั้นคือลูกนอกสมรสที่เกิดจากบ่าวทาสของนายแบ็ก (พัคฮยอกควอน)ที่เขาเองก็มีชื่อคือแบ็กอีคัง และแบ็กอีคังก็คือพี่ชายที่รักแบ็กอีฮยุนผู้เป็นน้องชายต่างมารดาแม้เขาจะอยู่ในฐานะที่ไม่ต่างจากข้ารับใช้ ซึ่งในโชซอนยุคนั้นผู้ทรงอิทธิพลคือขุนนาง เจ้าเมือง และพ่อค้า ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่มีชาวบ้านอยู่ในหัวใจการกดขี่ข่มเหงจึงเกิดขึ้นทุกหัวระแหง และหนึ่งในคนค้าขายที่เห็นแต่กำไรก็คือซงอาจิน (ฮันเยริ)ที่ได้เดินทางจากจอนจูมาโกบูเพื่อเจรจาการซื้อขายข้าวในภาวะต้องห้าม แต่กลับต้องมาในเวลาที่ชาวนาที่ได้เริ่มก่อตัวด้วยความคับแค้นในนามกลุ่มทงฮักนำโดยผู้นำทางจิตวิญญาณและทางศาสนาคือจอนบองจุน (ชเวมูซอง) โดยมีจุดมุ่งหมายคือขจัดความเหลื่อมล้ำเพราะมนุษย์ทุกคนย่อมต้องมีความเท่าเทียม และคำประกาศนั้นถูกประกาศผ่านการฝังเมล็ดพันธุ์ดอกนกดูลงพื้นดิน อันเปรียบดั่งการฝังเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเรื่องความเสมอภาคเพื่อให้เติบโตงอกงามและแพร่หลายไปสู่หัวใจของประชาชนจอนบองจุนจึงได้รับฉายาว่าแม่ทัพนกดู แล้วการลุกฮือของชาวนาจำนวนมหาศาลครั้งนั้นก็สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อตระกูลแบ็กที่หมายมั่นว่าแบ็กอีฮยุนจะสอบได้เป็นขุนนาง แต่เมื่อเกิดการต่อสู้ของชาวนากระทบต่อครอบครัว แบ็กอีฮยุนจึงต้องกลับโกบูแต่ความที่เขาเป็นชนชั้นกลางและกำลังหมั้นหมายต่อหญิงสาวชั้นสูงคือแม่หญิงฮวังมยุงซิม (พัคคยูยอง) แต่พี่ชายของนางกลับกลั่นแกล้งให้แบ็กอีฮยุนเข้าสู่สงครามระหว่างฝ่ายรัฐกับชาวนาในฐานะทหารเกณฑ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งแบ็กอีคังพี่ชายของแบ็กอีฮยุนก็ได้รับบทเรียนจากแม่ทัพนกดูและกลายเป็นหนึ่งในทหารปลดแอก สองพี่น้องต่างมารดาจึงต้องหันหน้ามาเผชิญหน้ากันในศึกที่ไม่มีใครต้องการ เรื่องราวของสายเลือดและอุดมการณ์ จึงต้องมาเป็นเส้นแบ่งเมื่อมีเรื่องของหัวใจมาเป็นตัวแปรไปสุดทางอารมณ์ในการเล่าเรื่องเก่าซ้ำเดิมบนหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจริตผู้ชมเรื่องนี้ผู้ชมรู้ทั้งรู้ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไรในบั้นปลายแต่รายละเอียดระหว่างทางยังคงเร้าใจได้ เพราะการสอดแทรกเรื่องแต่งเข้าไปในเรื่องจริงดูกลมกลืนจนแยกไม่ออก แต่สิ่งที่เห็นก็คือการนำเอาเรื่องเก่าที่ถูกเล่าซ้ำๆมาใส่ในบริบทของประวัติศาสตร์ที่ดูเป็นความต่าง ความซ้ำเดิมนั้นคือเรื่องของพี่น้องร่วมสายเลือดทางบิดาที่ต้องมาหันหน้าเขาหักหาญกันในการต่อสู้ที่อุดมคติต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องเก่าที่ไม่ได้ยากต่อการคาดเดายังมีความเร้าใจคือมิติของเรื่อง เมื่อเรื่องเลือกเล่าในเรื่องของชนชั้นในสังคมแล้ววางตัวละครอยู่ตรงกลางได้อย่างน่าชื่นชม เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของคนใหญ่คนโต เสนาบดีหรือกษัตริย์ผู้พลิกโฉมประเทศ หากแต่นี่คือเรื่องเล่าของจุดเริ่มต้นของหมอยาตัวเล็กๆคนหนึ่ง ผู้ซึ่งศรัทธาในพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์เกิดมามีความเท่าเทียมกัน อันเป็นที่มาของขบวนการชาวนาที่ต้องการปลดแอกประชาชนจากการกดขี่ของขุนนาง คหบดี และพ่อค้า ซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์มักจะเห็นใจผู้ถูกกระทำจึงไม่ยากที่เรื่องจะได้ใจผู้ชมตั้งแต่เริ่ม เมื่อบทมอบภาพการกดขี่ข่มเหงอย่างน่าจงชังรังเกียจ แล้ววางตัวละครสองคนพี่น้องให้ออกมาอยู่ตรงกลางระหว่างสูงและต่ำของวรรณะ ซึ่งการอยู่ตรงกลางก็คือการที่อยู่ในจุดที่ลำบากเพราะยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสังคมคนหมู่มากและยังยากที่จะปีนไปสู่สังคมที่สูงกว่าถึงตรงนี้มิติตัวละครก็ได้เป็นตัวกำหนดอารมณ์ผู้ชม เมื่อเลือกให้ตัวละครสองคนที่ต้องเป็นตัวเดินเรื่องมีความต่างกันในเรื่องความดีและความร้าย หนึ่งคือการทำเรื่องน่ารังเกียจเป็นนิจกับอีกหนึ่งเชื่อมั่นในความดีที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ถ้านั่นยังไม่บีบพอบทยังมอบจุดเปลี่ยนของสองพี่น้องที่ดูเหมือนแต่ก็มีความต่างให้มีเส้นทางและอุดมการณ์ที่สวนทางกัน จนถึงที่สุดต้องหันหน้ามาเจอกันในคนละด้านของอุดมการณ์ในความเร้าใจหลักที่บทต้องการสื่อ แต่เมื่อเร่งเร้ามาจนเกือบสุดทางแต่สุดท้ายบทสรุปของใครบางคนก็กลายเป็นลอยๆไม่มีจุดเปลี่ยนคืออยู่ดีๆก็ตัดสินใจทำอะไรเช่นนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทียังคงเร่งเครื่องความน่าชังไปจนสุดคันเร่งอยู่แต่ส่วนที่คุมได้ดีไม่ให้เกินออกมาจนล้นคือเรื่องของหัวใจ ความรักที่มีตัวแปรมากมายเพราะเรื่องภาวะการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้มองภาพออกว่าในภาวะแบบนั้นยากยิ่งที่จะสมหวังในเรื่องของหัวใจเมื่ออุดมการณ์และปากท้องยังคงหิวโหย และเมื่อเรื่องเล่าในบริบทของประวัติศาสตร์ที่เป็นบาดแผลเริ่มที่การก่อตั้งกองทัพประชาชนเพื่อปลดปล่อยสังคมให้เกิดความเท่าเทียมแล้วพัฒนาไปสู่การถูกรุกรานของต่างชาติ สิ่งที่ตามมาคืออารมณ์ฮึกเหิมเลือดรักชาติพุงพล่านที่ทำได้ดีพอจนผู้ชมต่างประเทศสัมผัสได้ และความเจ็บปวดย่อมต้องมีตัวแปร เมื่อเหตุการณ์โหดร้ายที่เกิดขึ้นกับประชาชนตัวเล็กๆมาจากความอ่อนแอผู้ปกครอง ขุนนางที่ไม่เห็นประชนชนเป็นคน และพ่อค้าผู้มุ่งหวังแต่ผลกำไรน่าเสียดายที่หน้าประวัติศาสตร์หน้านี้จบลงที่การพลีชีพของประชาชน ที่เริ่มจากลุกขึ้นมาเรียกร้องความเสมอภาค แล้วพยายามขับไล่อริราชศัตรูตามคำร้องขอของกษัตริย์ แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากการถูกหลอกให้ไปตายด้วยคมดาบและกระสุนของชนชาติเดียวกัน และบทก็ใจร้ายที่ไม่ให้คนที่ทำร้ายจิตใจผู้ชมได้พบกับผลของการกระทำ แต่โดยรวมแล้ว ยังคงเป็นงานด้านบทที่ละเอียดเลือกเล่าเรื่องได้ตรงใจถูกจริตผู้ชม แม้จะไม่ยากต่อการคาดเดาเพราะไม่ใหม่แต่เข้มข้นเร้าใจ และแม้จะออกมาหดหู่ในบางครั้งแต่ได้อธิบายเรื่องของการฝังเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเรื่องความเสมอภาคที่เปรียบเหมือนกับดอกนกดูที่เกสรของมันลอยไปตามลมแล้วร่วงหล่นบนพื้นดินและเติบโตแผ่ขยาย จนกลายเป็นสังคมที่มีเสรีภาพและความเท่าเทียมในปัจจุบันดังชื่อไทยที่ว่า "ดอกไม้แห่งแดนดิน"เรื่องประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังทำให้เรื่องของมิติตัวละครมีพลังตามมาเมื่อเลือกเล่าเรื่องที่ได้ใจเรื่องของเหล่ามดตัวจ้อยที่อาจหาญสู้กับพญาคชสารด้วยหัวใจและอุดมการณ์ แล้วยังมีรากฐานมาจากเรื่องของชนชั้นและการกดขี่ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะใส่มิติที่กุมหัวใจเข้าไปให้ลึก แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงชนในชาติ(เขา)ส่วนใหญ่ล้วนทราบถึงจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของเหตุการณ์แล้ว ดังนั้นน้ำหนักที่หนักแน่นจำต้องลงไปสู่ระดับพื้นฐานก็คือตัวละคร ซึ่งมีทั้งตัวละครที่มีตัวตนจริงและที่แต่งขึ้นแน่นอน เพียงแต่ว่าในมุมของผู้เขียนที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีจึงทำได้แค่พอแยกออกบ้างว่าตัวละครหลักตัวในที่เป็นตัวจริงและเป็นที่แต่งขึ้น คือในส่วนของสองพี่น้องที่ต้องมาเชือดเฉือนกันนั้นเป็นเรื่องแต่งแน่นอนซึ่งมิติตัวละครสองพี่น้องก็ออกมาค่อนข้างซับซ้อน มีจุดเปลี่ยนจุดหักเหให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในใจผู้ชมหลายตลบ แน่นอนว่าบทที่มีความซับซ้อนนี้ต้องถูกรับผิดชอบอย่างไร้ที่ติ และสำหรับเรื่องนี้โจจองซอกและยุนซียุนคือพลังงานหลักของเรื่อง เพียงแต่เมื่อแรกเริ่มโจจองซอกดูเหมือนโดดเด่นกว่าด้วยมิติตัวละครที่มีจุดเปลี่ยนและมีความเปลี่ยนแปลงจากภายใน ไม่ต้องไปมองเรื่องของการแสดงทางกายภาพนั่นมันขนมหวานของนักแสดงเกาหลี แต่การแสดงที่สื่อสารออกมาจากความร้ายสุดแล้วเปลี่ยนมาดีจากภายในนั้นมันมีมาตรฐานของมันที่ต้องทำให้ได้ แล้วโจจองซอกก็มอบการแสดงที่น่าจดจำแม้อาจมีบ้างที่ดูเหมือนเป็นความตั้งใจเกินไปก็พอมองข้ามไปได้ แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อตัวละครนี้เปลี่ยนไปแล้วกลายเป็นตัวละครที่มีมิติเดียว เลยทำให้ยุนซียุนกลายเป็นที่น่าจดจำมากกว่าในช่วงหลัง อาจเป็นเพราะบทส่งด้วยความที่มิติตัวละครที่หลากหลายกว่าพลิกไปพลิกมาได้กว่า และแฟนคลับยุนซียุนอย่าเพิ่งโกรธดูไปบ่นไปเพราะผู้เขียนจะบอกว่าการแสดงผ่านสายตาของเขาทำให้ผู้ชมชิงชังตัวละครนั้นได้อย่างสุดใจนับเป็นการคัดเลือกนักแสดงที่เป๊ะ แต่น่าเสียดายที่บทของเขาในบทสรุปไปไม่ถึงจุดที่ผู้ชมจะสงสารเห็นใจตามเจตนาที่ตั้งไว้ เพราะมองไม่เห็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนกลายเป็นว่าไม่รู้จะสาแก่ใจหรือสงสารเห็นใจดี แต่กระนั้นสองพระเอกก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าจดจำ ส่วนคนที่เป็นที่น่าจดจำอีกสองคนคือฮันเยริและพัคคยูยองที่ยังคงเล่นได้ในบทที่ต้องลื่นไหลตามสถานการณ์แม้จะฝืนใจและเจ็บปวด หรือชเวมูซองที่เชื่อได้ทั้งใจว่านี่คือผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้าน สหายร่วมรบอย่างอันกิลกังหรือนักแม่นปืนหญิงที่ดูมอมแมมแต่ก็ดูมีเสน่ห์ในบทมดแดงแฝงพวงมะม่วงอย่างโรห์เฮงฮา เท่ากับว่าในงานที่เป็นเรื่องแต่งปนเรื่องจริงคราวนี้มีการแสดงชั้นดีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เรื่องที่น่าจะไม่ได้ยากต่อการคาดเดาที่หลายคนอาจรู้แล้วว่าจะลงเอยเช่นไร กลายเป็นมีความเข้มข้น มีสีสัน แม้จะมีบ้างที่ยังเห็นเป็นความจงใจแต่ก็ได้มาตรฐานงานซีรีส์เกาหลีในภาพรวม แถมด้วยเพลงประกอบที่เร้าอารมณ์จนติดปากติดหูกันไปสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการดูเรื่องนี้คือภาพของ Mr.Sunshine จะลอยมาในความทรงจำเป็นพักๆ เพราะคืองานที่มาก่อนและได้ผ่านตามาก่อนแต่ถ้าจะให้เทียบกันงานนี้ยังห่างไกลจากนั้นอยู่มาก เพราะแม้ว่าจะเป็นงานพีเรียดอิงประวัติศาสตร์เหมือนกันเป็นเรื่องของรักระหว่างรบเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นคือเรื่องที่เล่าในภาพเล็กก่อนจนเห็นหลายอย่าง นั่นคือเล่าเรื่องตัวละครให้เป็นพื้นฐานก่อนไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่ง และให้ความรักเป็นธงนำทางให้ตัวละครทำและไม่ทำเรื่องราวบางประการ คือให้ตัวละครเป็นมิติที่นำเรื่องส่วนเรื่องนี้คือเล่าเรื่องประวัติศาสตร์นำ แล้วให้ประวัติศาสตร์กำหนดชะตาของตัวละครที่ต่างฝ่ายก็ต่างมีดีในทางของตัวเองแต่เรื่องนี้จะด้อยกว่าตรงที่เล่าเรื่องภาพใหญ่แต่ฟอร์มการสร้างไม่เท่า เลยเห็นการใช้เทคนิคซ่อนมุมกล้องเรื่องของจำนวนคนภาพของความอลังการจึงออกมาไม่เท่าแต่เข้าใจได้ ซึ่งความจริงไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันด้วย แต่เมื่อมันคือเรื่องที่ออกมาคล้ายกันแต่เล่าคนละหน้าประวัติศาสตร์จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึง แต่ถ้าว่ากันที่ตัวตนของเรื่องนี้ก็ยังถึงในเรื่องของอารมณ์ร่วมที่ได้ใจผู้ชมเต็มที่ ที่ควรรักก็รัก ที่ควรเกลียดก็เกลียด อาจมีบ้างที่ลงเอยแบบไม่สาสมใจในการกระทำที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องเสีย เพราะด้วยชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่านี่คือเรื่องของเมล็ดพันธุ์ดอกนกดูที่ได้ถูกฝังลงพื้นพสุธาในวันที่ประกาศจะปลดแอกประชนชนจากการกดขี่ของระบบชนชั้น ถึงที่สุดเมล็ดพันธุ์แห่งดอกนกดูที่ถูกฝังไว้ก็ค่อยๆเติบโตและเบ่งบานในใจคนในชาติ และเกสรของมันก็ได้ขจรขจายไปทั่วแดนดินได้เผยแพร่อุดมการณ์ความคิดที่มนุษย์เกิดมาเท่าเทียม อันทำให้ความเปลี่ยนแปลงตามมาในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่ จึงเป็นเรื่องคนตัวเล็กๆที่มีความคิดที่จะเปลี่ยนโลกหาใช่ผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน และคนผู้นั้นก็ได้ลุกขึ้นมาสร้างสังคมใหม่ทางความคิด แล้วกลายมาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ต้องเชิดชู ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถูกเล่าอย่างเข้มข้นขึงขังผ่านมิติทางอารมณ์ที่ตัวละครหลักสองคนพาไปให้เห็นว่า ความดีในส่วนลึกที่ยังคงมีในตัวมนุษย์นั้นไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร หากหัวใจยึดมั่นในสิ่งที่ถูกที่ควรความดีงามในหัวใจจะไม่มีวันเลือนหาย เป็นอีกหนึ่งงานที่ดูแล้วประทับใจดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11 จาก Facebook SBSเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !