ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับ ตั้งแต่ผมจำความได้เนี่ยก็สนใจเรื่องอวกาศแล้วก็ดวงดาวมาโดยตลอดครับ สมัยเด็ก ๆ นั้นคุณพ่อมักจะเช่าวีดีโอจากร้านมาเปิดดูที่บ้านอยู่เสมอและหนึ่งในเรื่องโปรดของผมก็คือสารคดีที่เกี่ยวกับยานอวกาศครับ อย่างพวก apollo 11 ชาเนเจอร์ โคลัมเบีย อะไรประมาณนั้น จากที่แค่ชื่นชอบยานอวกาศครับ ไป ๆ มา ๆ ก็ผ่านไปถึงเรื่องราวจากดวงดาวต่าง ๆ จักรวาลเป็นยังไง มีปรากฏการณ์อะไรบ้าง ว่าง ๆ ก็ชอบนั่งหาข้อมูลตั้งอินเตอร์เน็ตหรือว่า YouTube นี่แหละ เรียกได้ว่าผมจะเป็นเนิร์ดอวกาศก็ได้ แต่ความชอบด้านดาราศาสตร์มันก็ลามมาถึงสิ่งบันเทิงครับ นิยาย Sci-fi ภาพยนตร์ ผมหามาเสพทั้งหมดครับ คิดว่าเรื่องดัง ๆ เกือบทุกเรื่องนี่ผมไม่น่าจะพลาดแล้วนะ ซึ่งสำหรับหนัง Sci-fi อวกาศครับผมอยากจะให้แยกออกเป็น 2 ชนิดหรือว่า 2 แบบอย่างแรกก็คือ Sci-fi แบบจ๋า ๆ ไปเลย 2001: A Space Odyssey อันนี้ก็คือสุดยอดเลยครับหรือว่าจะเป็น Contract ผมก่อนนับเป็นหนัง Sci-fi จ๋าอยู่เหมือนกันแต่แบบที่ 2 น่าจะเป็นพวกยุคใหม่ขึ้นมาหน่อยอย่าง Interstellar กับ Arrival ที่ผมว่าเป็นแนวผสมผสานความ Sci-fi กับดราม่าได้ดีมากครับ 2 เรื่องนี้แหละผมก็ชอบแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องเหล่านั้น ทีนี้พอมาถึง Ad Astra ผมค่อนข้างจะตื่นเต้นครับตัวหนังนี่เริ่มเรื่องเป็นภาพยนตร์ Sci-fi ซึ่งแบบนี้ไม่ได้มีมาให้เห็นบ่อยซะด้วย แถมเฮีย Brad Pitt ก็เล่นเองอีก ยิ่งเพิ่มความให้เราอยากดูหนังขึ้นไปอีกครับ หลังจากนั้นก็ไปหาตัวอย่างมาดู ซึ่งฉากเริ่มของตัวอย่างเนี่ยดูเหมือนจะเป็นสถานีอวกาศชวนให้นึกถึงเรื่องราวทุกอย่างกราวน์วิตีครับแต่ไป ๆ มา ๆ ดันมีฉากไล่ล่ากันบนดวงจันทร์อีก ในใจก็เริ่มรู้สึกงงครับ นี่มันหนังแนวไหน จับทางไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ชักจะเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ครับแต่ยังไงก็คิดว่าต้องไปดูอยู่ดี แต่ก็ต้องขอเช็คเพื่อความมั่นใจนิดนึงครับ ขอดูรีวิวจากนักวิจารณ์ก่อนสักนิดนึงแล้วกัน หลังจากนั้นก็เข้าไปที่เว็บ Rotten Tomatoes ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ครับ ซึ่งเป็นคะแนนจากนักวิจารณ์ถือว่าดูดีมาก ๆ ครับ น่าจะเป็นหนังที่ดีจริง ๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ คะแนนจะฟังคนดูทั่วไปเนี่ยทำไมมันต่ำแแบบนั้นล่ะ จริงอยู่ว่า Ad Astra เนี่ยไม่ใช่หนังเรื่องแรกในเว็บไซต์นี้ที่คะแนนจากทั้งสองฝั่งจะแตกต่างกัน แต่หลาย ๆ เรื่องที่เป็นแบบนี้แล้วไปดูก็จะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ครับ ส่วนมากหนังที่เสียงแตกแบบนี้มักจะมีปัญหาอะไรสักอย่างจริง ๆ แต่ถ้าให้เลือกผมขอดูหนังที่คะแนนจากฝั่งคนดูเยอะจะดีกว่าครับ มันจับต้องง่ายกว่าแต่ก็ไม่เป็นไรครับ วันแรกที่ Ad Astra เข้าโรงก็จองตั๋วแล้วก็ไปดูเลยวันเดียวกับแรมโบ้มันนี่แหละ พอดูจบปุ๊บความรู้สึกแรกหลังจากออกจากโรงก็คืออ่าวจบแล้วหรอ มันยังไงกันแน่ เราพลาดอะไรตรงไหนไปหรือเปล่าต้องบอกเลยครับถ้าคุณคาดหวังว่ามันคือหนังลุ้นระทึก Action อวกาศ คุณคิดผิดครับ ตัวอย่างหนังทำให้เราเข้าใจแบบนั้นจริง ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ตัวเรื่องนะครับว่าด้วยตัวเอกอย่างรอย แม็กไบร์ท นักบินอวกาศฝีมือเยี่ยมที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวแปลกประหลาด เขาแทบจะไม่เคยตกใจในสถานการณ์ใด ๆ เลย นั่นทำให้รอยสามารถรับมือและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทุกอย่างได้อย่างดีครับ อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติภารกิจลับ ค้นหาความจริงบางอย่างบนดาวเนปจูนโดยที่ตัวรอยนั่นเองก็รู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันน้อยมาก แถมเรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับพ่อของเขาอีก ที่นั่นมันมีอะไรกันแน่ เป็นสิ่งที่เขาคนนี้จะต้องหาคำตอบให้ได้นี่แหละครับตัวเรื่องจริง ๆ ของ Ad Astra โครงเรื่องนี่ผมจะเอาไว้คุยที่หลัง ส่วนเรื่องแรกที่จะขอพูดถึงก็คือการดำเนินเรื่องก่อนเลยครับ เนิบมากครับ มากถึงมากที่สุด บทพูดค่อนข้างน้อยแถมยังถูกเล่าแบบการเล่าผ่านตัวบุคคลครับ ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือพ่อ Brad Pitt ของเรานี่แหละ หลาย ๆ เรื่องก็ใช้วิธีการแบบนี้เช่นกันครับก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่พอดีว่าบทของเขาในเรื่องนี้ที่ต้องเล่นเป็นคนนิ่ง ๆ ชีวิตคิดแต่เรื่องงาน ทั้งชีวิตของเขาชีพจรแทบจะไม่เคยเต้นเกิน 80 ครับ คุณคิดว่ามันจะออกมาเป็นยังไง หลาย ๆ คนในโรงนะครับไม่ถึงครึ่งเดือนก็น่าจะหลับสบายไปแล้วครับแต่ผมก็ไม่นะ Ad Astra นี่เปิดเรื่องมาค่อนข้างน่าสนใจ ปมต่าง ๆ ดูดีทีเดียวครับ มีการเอาเรื่องครอบครัวมาผสม ภารกิจที่เดิมพันสูง ชวนติดตามแล้วก็ลุ้นดี สิ่งที่น่าประทับใจเลยก็คือฉากต่าง ๆ การเคลื่อนไหว การใช้ชีวิตนอกโลก ทุกอย่างถูกรังสรรค์และตีความออกมาได้ดีมาก ๆ ครับ ตัวหนังแสดงให้ดูถึงอนาคตอันใกล้ หากเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีด้านอวกาศต่อไปมันก็น่าจะกลายเป็นจริงอย่างแน่นอน ฉากบนดวงจันทร์ดูสวยงามมาก ๆ ครับพอ ๆ กับหนังเรื่อง First Man ที่ผมคิดว่าทำฉากดวงจันทร์ออกมาได้ดีที่สุดเลยครับ แต่ละฉากก็ดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจจากยอดหนัง Sci-fi อย่าง 2001: A Space Odyssey ทำให้ผมคิดไปนะครับว่าเรื่องนี้เนี่ยมันจะดำเนินเรื่องตามแนวไซไฟพวกนั้นคงไม่ใช่ Action แล้วล่ะ น่าจะเป็นแนววิทยาศาสตร์จ๋า ๆ ไปเลย ถึงจะเกิดเป็นแบบนั้นผมก็ชอบนะครับ ถูกใจเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ หนังมันหักกลับมาเป็นหนังจิตวิทยา ความสัมพันธ์ในครอบครัวไปเฉยเลยครับ อวกาศหรือวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ถูกปูมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ นะครับ พี่แกโยนทิ้งหมดเลย เล่นเอาปรับอารมณ์กันไม่ถูกครับ บอกตรง ๆ ในฐานะคอ Sci-fi นะครับไม่ถูกใจสิ่งนี้เหมือนกัน เหมือนโดนหลอกให้มาดูยังไงก็ไม่รู้ครับ จริงอยู่ครับว่าหนัง Sci-fi ยุคนี้มันก็เล่นปมดราม่าประมาณนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็น Interstellar เขาก็ทำได้ Arrival จากหนังที่เกี่ยวกับเอเลี่ยนที่อยู่ ๆ ก็กลายมาเป็นหนังรักเฉย เขาก็ทำได้ครับแต่ทำไม Ad Astra จะทำไม่ได้ล่ะ ก็จริงครับเพียงแต่ทั้งสองเรื่องแรกที่กล่าวมานั้นด้านดราม่าก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมแต่ด้านวิทยาศาสตร์ก็เยี่ยมครับ ส่วนภารกิจตะลุยดาวนี่หลัง ๆ แทบจะไม่พูดถึงก็ได้ที่เป็น Sci-fi เลย เน้นไปที่ความสัมพันธ์อย่างเดียวแถมทำออกมาได้ไม่ค่อยจะพีคเท่าไหร่ ในความคิดของผมนะ ตอนท้ายมีการพยายามโยงเรื่องของพระเจ้าเข้ามาไว้ในนี้อีกแต่ก็แตะแบบเบา ๆ ผิวเผิน ไม่สุด มีหลายเรื่องก่อนหน้านั้นทำไปหมดแล้วครับอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ตามที่เล่ามานั่นแหละครับ ทุกอย่างในเรื่องมันดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปหมดครับ เหมือนพยายามจะเอาข้อดีของหนังหลาย ๆ เรื่องครับมาแปะรวม ๆ กัน แต่กลายเป็นว่าสุดท้ายก็ไมสุดสักอย่าง ถ้าถามผมว่าทำไมต้องเอาหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นด้วย เพราะถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นหนังเรื่องใหม่ทั้งหมดมันก็แย่น่ะสิ ใครจะไปคิดแนวคิดใหม่ ๆ ออกมาได้ตลอดล่ะ มันก็จริงครับแต่ Ad Astra เลือกที่จะเดินแนวแบบ Sci-fi จริงจังนะครับ แล้วก็อย่าลืมว่าหนังประเภทนี้มันมีไม่เยอะ แถมแนว Sci-fi นั้นเป็นประเภทที่แปลกครับ ภาพยนตร์ในหมวดนี้มักจะแข่งกันเรื่องไอเดีย ความล้ำและความลึกของพลอตเพราะยังไงก็ยากครับที่คุณจะดูหนังประเภทนี้แล้วสนุกหรือระทึก มันก็จะเนิบ ๆ ดำเนินเรื่องจะช้า นิ่ง ๆ แบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วแต่ท้ายที่สุดแล้วมันต้องพีคครับ มันต้องดีจริง ๆ ซึ่ง Ad Astra นั้นทำได้ไม่ดีพอ ยังดีนะครับเฮีย Brad Pitt มาเล่น การแสดงของเขายังยอดเยี่ยมเหมือนเคยแม้จะไม่ได้โชว์ของมากมายนักซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตัวบทหรืออะไรก็ตาม สรุปเลยนะครับนี่คือรีวิวที่ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่โอเคเรื่องการใช้ตัวอย่างหนังแบบการตลาดเรียกคนเข้าไปดูหนังโดยไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจอกับอะไร คือเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่สอดแทรกการสปอยล์นะครับเพราะเป็นคนละแบบ อันนี้คือการตัดต่อฉากต่าง ๆ ทำให้ดูเหมือนมันระทึก เหมือนหนังมันน่าตื่นเต้นแต่ความจริงมันไม่ใช่เลยครับ คอหนังแอ็คชั่นที่อยากจะดูฉากบู้ ๆ กันในอวกาศ Ad Astra ไม่ใช่คำตอบของคุณแน่นอนครับ แฟนสาย Sci-fi นะครับที่คาดหวังว่ามันจะมาเปิดแนวความคิดใหม่ ๆ อย่าง Space Odyssey หรือ Contract อย่างที่เขาเคยทำกันนะครับ คุณก็ต้องผิดหวังอีกเช่นกันแต่ถ้าคุณเป็นคนชอบบรรยากาศของอวกาศที่เป็นอวกาศจริง ๆ งดงามแต่ไม่ได้สวยหรู เรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบครับควรค่าแก่การดูเป็นอย่างยิ่ง จะให้คะแนนความเป็นหนังจริง ๆ ผมให้คะแนน 7.5 ครับ ภาพสวย ปมน่าติดตาม พลอตเรื่องใช้ได้แถมยังเป็นหนังอวกาศเรื่องแรกของ Brad pitt ต่างหาก คอหนังนี่ไม่ควรพลาดจริง ๆขอขอบคุณภาพทั้งหมดจาก Official Trailer Youtube