ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันผู้คนไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรก็ต้องเตรียมหูฟังหรือ airpods ติดตัวกันอยู่เสมอ เพราะจะได้เหมือนมีเพื่อนเป็นเสียงเพลงด้วยตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนค่ะว่าหลาย ๆ คนจะต้องมีแอปพลิเคชันเพลงอย่างน้อย 1 แอปฯติดไว้ในเครื่องอย่างแน่นอน วันนี้เราเลยถือโอกาสอยากจะมารีวิว 3 แอปพลิเคชันเพลงยอดฮิตนั้นคือ "JOOX" vs "Apple Music" vs "Spotify" มาเปรียบเทียบให้เพื่อน ๆ ดูกันว่าตัวไหนเป็นอย่างไร หากพร้อมแล้วไปลุยกันเลยค่ะ 🙂 P.S. แล้วก็อย่าลืมหยิบหูฟังว่า sound check กันด้วยหล่ะJoox แอปพลิเคชัน Joox เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักค่ะ เพราะโด่งดังและมียอดดาวน์โหลดที่เรียกว่าไวสุด ได้เปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อปี 2559 (5 ปี) ซึ่งเป็น Streaming music ที่ใหญ่มาก มีผู้ใช้บริการประมาณ 22 ล้านคน เป็นแอปฯที่เป็นสัญชาติจีน ทำให้เข้าใจคนเอเชียเป็นอย่างดี มีการจัด Playlist ที่ถึงมีจำนวนเพลงที่ค่อนข้างน้อยแต่ยังมีเพลงรูปแบบสากลให้เลือกเยอะและความพิเศษของแอปพลิเคชัน Joox ก็คือสามารถฟังเพลงของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง RS ได้ซึ่งแอปฯอื่น ๆ ไม่สามารถฟังได้ จริง ๆ ส่วนตัวแล้วแอปฯนี้เหมือนได้ฟังเพลงฟรี (ที่ต้องแลกกับโฆษณา) เพราะว่าเพลงส่วนมากเปิดให้ฟังฟรี แถมเพื่อน ๆ ยังสามารถโหลดเพลงไว้ในแอปฯในรูปแบบ Offline ได้มากถึง 200 เพลงแบบฟรี ๆ แต่หากใครอยากฟังเพลงในรูปแบบ VIP (คุณภาพของเสียงจะดีกว่าแบบฟังฟรี) ก็สามารถทำได้ แต่มีเงื่อนไขคือจะต้องแชร์เพลงลงบนสื่อ Social Media ของตัวเองก็จะได้สิทธิ์เป็นเวลา 3 ชั่วโมงก็เหมือนกับว่าเราไปโปรโมทให้เขานั้นแหละค่ะ มีจำนวนเพลง 15 ล้านเพลงลูกเล่น- เพื่อน ๆ สามารถเปลี่ยน Theme ได้- สามารถร้องเพลงคาราโอเกะและสามารถ due กับศิลปินได้- สามารถรับชม Music Video เพลงได้- สามารถฟังวิทยุหรือ Podcast ได้ อาทิ รายการสยองขวัญ หลอนศาสตร์ ของพี่ป๋อง หรือ จะเป็นแนวความรู้ รายการ English AfterNoonz ของครูนุ่น เป็นต้น- การแชร์เพลงผ่าน Social Media ต่าง ๆ- การพิมพ์เนื้อร้องบนภาพ- สามารถรับชมคอนเสิร์ตที่เคยจัดของ Joox ได้Playlistในส่วนของ list เพลงของ Joox เราไม่สามารถ Customize เองได้ด้วยตนเอง ทีมงานจะมีการจัดมาให้แล้วการรองรับการใช้งาน- คอมพิวเตอร์แบบ PC และ MacBook- สมาร์ทโฟนทั้งแบบ iOS และ Androidราคาในส่วนนี้จะมีทั้งแบบฟรีและจ่ายเงิน (VIP)Freeแน่นอนค่ะว่าจะต้องมีข้อจำกัดคือ- คุณภาพเสียงต่ำ (ต่ำสุด : 192 Kbps)- มีโฆษณาขั้นขณะฟังเพลง- ไม่สามารถฟังเพลงออกใหม่ได้ทันทีVIPราคาจะมีหลายแบบให้เลือกและมีฟังก์ชั่นที่ดีกว่าคือ 69 บาท/1 สัปดาห์ , 129 บาท/1เดือน , 349 บาท/3เดือน , 639 บาท/6เดือน , 1,099บาท/1ปี *แต่ในส่วนนี้จะมีข้อจำกัดคือไม่สามารถแชร์หานกับเพื่อน ๆ ได้- คุณภาพเสียง HI-FI (ระดับสูง : 1,411Kbps)- ไม่มีโฆษณากวนใจ- สามารถฟังเพลงที่ออกใหม่ได้ทันทีช่องทางการดาวน์โหลดiOS / Android / PCApple Music Apple Music เป็นบริการสตรีมเพลงและวิดีโอที่พัฒนาโดยผู้ใช้ Apple Inc. โดยได้เปิดตัวเมื่อปี 2558 (5ปี) ซึ่งจะมีความโดดเด่นในเรื่องของระบบปฏิบัติการ AI ซึ่งในตรงนี้จะช่วยผู้ใช้งานในเรื่องของการสร้าง Playlist ซึ่งจะอ้างอิงมาจากแนวหรือสไตล์เพลงที่เพื่อน ๆ ได้ฟัง มีเพลงทั้งไทยและสากลมากถึง 45 ล้านเพลง จะมีค่อนข้างครอบคลุมเลยค่ะเพลงเก่า เพลงใหม่ เกาหลี K-pop เรียกว่ามีเยอะจริง ๆ ซึ่งในตัว Apple Music ไม่ค่อยมีลูกเล่นหวือหวาเหมือนทั้ง2แอปฯคู่แข่ง จะเน้นใช้งานง่ายมากกว่า คุณภาพเสียง 256 Kbps AAC มาตรฐานเดียว แต่จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยคือ เราสามารถแชร์ค่าบริการด้วยกันกับเพื่อน ๆ ได้ แต่เพื่อนและเราจะต้องใช้อุปกรณ์ของเครือ Apple เท่านั้นถึงจะแขร์กันได้ ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าหากใครใช้ Apple น่าจะถูกใจกันไม่น้อยเลยละค่ะลูกเล่น- สามารถฟังวิทยุอินเทอร์เน็ต Beats 1 แบบ Non Stop- สามารถรับข่าวสารและรู้สึกใกช้ชิดกับศิลปินได้มากกว่าแอปฯอื่น- สามารถรับชม Music Video และคอนเสิร์ตได้Playlist- สามารถ customize ได้ด้วยตนเองการรองรับการใช้งาน- อุปกรณ์ของ Apple ทุกชนิด ไม่จะเป็น Iphone,Ipad,Apple Watch,MacBook เป็นต้น- Android- คอมพิวเตอร์แบบ PCราคา- แบบคนเดียว : ราคา 129 บาท/1เดือน , 1,300 บาท/1ปี- แบบครอบครัว : เดือนละ 199 บาท 6 คนจะตกคนละ 33 บาท- แบบนักศึกษา : เดือนละ 69 บาท (เงื่อนไขคือต้องศึกษาในปริญญาตรี โท หรือสูงกว่านี้เท่านั้น)*ไม่มีโฆษณาทุกรูปแบบช่องทางการดาวน์โหลดiOS / Android / PCSpotify อ่านว่า 'สปอทิฟาย' เปิดตัวขึ้นในตลาด Music Streaming ในปี 2551 (เป็นเวลา12ปี) แต่ได้เข้ามาในประเทศไทยมาได้ไม่กี่ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของสาวกนักฟังเพลงและเสียงตอบรับว่าไม่มีผิดหวังจริง ๆ ค่ะ เพราะว่าจุดเด่นอยู่ที่ตัว Playlist ของเพลงที่มีทั้งเพลงไทย เพลงสากลทั้งเก่า ใหม่ และหลากหลายสุด ๆ เรียกว่าค้นหาเพลงอะไร Spotify มีให้เสมอ และมีฟังก์ชั่นคือมีการแจ้งเตือนหากศิลปินที่เราติดตามมีการออกเพลงใหม่ ถือว่าครอบคลุมและเป็นอีกแอปฯโปรดของใครหลาย ๆ คน มีจำนวนเพลง 30 ล้านเพลงลูกเล่น- มี EQ ของตัวเครื่อง (เสียงดนตรี) สามารถปรับ ลด เพิ่มได้- สามารถสร้าง Playlist เป็นของตัวเองได้และสามารถ Save Playlist ของเพื่อน ๆ คนอื่นได้- Spotify สามารถฟังเพลงที่บันทึกในคอนเสิร์ตได้- สามารถร้องคาราโอเกะได้- สามารถฟัง PodcastPlaylistในส่วนของ list เพลงที่ฟัง เพื่อน ๆ สามารถ customize ได้ด้วยตนเอง และขณะที่เรากำลังสร้าง Playlist จะมีเพลงแนะนำที่เป็นสไตล์เรามาให้เราเลือกด้วย หรือเรียกว่าระบบ Machine Learning และสามารถแชร์ให้เพื่อนได้ด้วยการรองรับการใช้งาน- คอมพิวเตอร์แบบ PC และ MacBook- สมาร์ทโฟนทั้งแบบ iOS และ Android- สมาร์ททีวีราคาFree-คุณภาพเสียง 96 Kbps-ฟังเพลงฟรี-สามารถกดข้ามเพลงได้แค่ 6 ครั้งต่อชั่วโมง-ไม่สามารถเลือกฟังเพลงที่เลือกได้-มีโฆษณากวนใจ-ไม่สามารถโหลดเพลงและฟังเพลงแบบ Offline ได้Freemiumในส่วนของแอป Spotify จะเป็นแบบฟรีเมี่ยม (Freemium) ซึ่งจะมีให้เลือกด้วยกัน2รูปแบบค่ะคือ1.) การเก็บค่าสมาชิกเดือนละ 129 บาท/ 1 เดือน (ใช้ได้คนเดียว)2.) การเก็บค่าสมาชิกเดือนละ 199 บาท/1เดือน (เป็นรูปแบบครอบครัวแชร์ได้ 5 คน)- คุณภาพเสียงคือ สูงสุด 320 Kbps- ดาวน์โหลดเพลงไว้ฟังแบบ Offline ได้- ไม่มีโฆษณาคั่น- กดข้าม และเลือกเพลงที่อยากจะฟังได้ทุกเพลงช่องทางการดาวน์โหลดiOS / Android / PCจริง ๆ ส่วนตัวแล้วเราจะไม่บอกว่า "เออตัวนั้นมันดีกว่าตัวนั้นนะ" "ตัวนี้มันเสียงดีกว่านะ" เพื่อน ๆ ก็ต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองด้วยการได้ลอง 'ฟัง' จริง ๆ ซึ่งแต่ละแอปพลิเคชันมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อยู่ที่คนจะมองมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่เทสในการฟังเพลงของแต่ละคนด้วย เพราะความชอบในการฟังนั้นแตกต่างกัน Playlist ก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย แต่อย่าลืมที่จะฟังเพลงอย่างถูกลิขสิทธิ์กันด้วยนะคะ ข้อนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับวันนี้เราขอตัวลากันไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้า see ya!เครดิตภาพหน้าปก unsplash1 / unsplash2 / unsplash3เครดิตภาพประกอบบทความ : เจ้าของบทความ