Movie Review หลานม่า (2567) ดราม่าครอบครัวที่แสนธรรมดาแต่เป็นความธรรมดาที่วิเศษเพราะความยอดเยี่ยมในการเอาเรื่องสามัญมาเล่าได้โดนใจจังๆ เมื่อบทความที่แล้วผู้เขียนเพิ่งเขียนถึงหนังดราม่าครอบครัวเรื่องเยี่ยมจากประเทศมาเลเซียที่บริบทบางอย่างใกล้เคียงกับบ้านเรา แล้วการมาของหนังดราม่าครอบครัวที่ว่ากันว่าเป็นงานชั้นเยี่ยมที่สร้างความประทับใจมาแล้วกับผู้คนมากมายอย่างหลานม่าผู้เขียนจึงต้องดู กระนั้นถ้าเป็นท่านผู้อ่านที่ติดตามกันมานานพอควรก็จะพอรู้ว่าผู้เขียนไม่ค่อยเขียนถึงหรือแตะต้องหนังไทยเท่าไหร่นักเพราะสไตล์การเขียนที่ตรงไปตรงมาและเหตุผลส่วนตัว แต่เมื่อความบังเอิญให้เขียนถึงหนังมาเลเซียที่ประทับใจก่อนจะไม่เขียนถึงหนังไทยที่ประทับใจก็ใช่ที่เลยต้องเรียบเรียงความรู้สึกที่มีมาไว้ในบทความนี้ที่ความจริงตั้งใจจะไม่เขียนถึงแล้ว ด้วยความที่หนังผ่านการฉายโรงมาแง่มุมเกี่ยวกับหนังจึงอาจมีคนที่เจนจัดด้านหนังไทยมากกว่าผู้เขียนได้สื่อออกมามากแล้ว จนเมื่อลงสตรีมทาง NETFLIX ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสได้ดูกันทั้งครอบครัวที่เมื่อมาคิดอีกที่ก็คงอัดอั้นในใจไม่น้อยถ้าเลือกที่จะปล่อยผ่านโดยไม่ได้ส่งผ่านความรู้สึกออกมาเป็นตัวหนังสือ เอ็ม (พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) คือหนุ่มว่างงานอยู่กับแม่สองคนคือซิว (สฤญรัตน์ โทมัส) ที่บังเอิญไปรู้มาว่ามุ่ย (ต้นตะวัน ตันติเวชกุล) ได้รับมรดกเป็นบ้านมูลค่ามหาศาลจากการดูแลอากงโดยที่เอ็มได้เพียงเข็มขัดเงิน เอ็มจึงเห็นช่องทางลัดเพื่อรวยด้วยการเข้าหาอาม่าของตัวเองคืออาม่าเหม้งจู (อุษา เสมคำ) ที่นอกจากแม่ของเอ็มแล้วยังมีลูกชายอีกสองคนคือเคี้ยง (สัญญา คุณากร) ลูกคนโตกับโส่ย (พงศธร จงวิลาส) ลูกคนเล็ก กระนั้นการมาดูแลอาม่าที่เป็นคนแก่ที่อยู่ลำพังเพราะลูกๆย้ายออกของเอ็มก็คือการหวังมรดกแต่เมื่อรู้ว่าอาม่าเป็นมะเร็งระยะสี่ก็ยิ่งทำให้เป้าหมายใกล้เข้ามามากขั้น แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับอาม่าจริงๆได้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยเห็นโดยเฉพาะมิติทางครอบครัวที่ลูกๆมีต่ออาม่า เอ็มจึงเหมือนมีความเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกันที่อาม่าเริ่มรู้สึกว่าชีวิตของแกไม่เดียวดายเพียงลำพังอีกต่อไป อย่างน้อยเมื่อถึงวันอาทิตย์ที่ลูกๆจะมาเยี่ยมอาม่าจะไม่ต้องนั่งรอที่ม้านั่งเพียงลำพังแต่จะมีเอ็มนั่งรอเป็นเพื่อน... เดินเรื่องเรียบเรื่อยเหมือนลมโชยเฉื่อยฉิวรู้สึกสบายกายสบายใจมีพลังดึงดูดประหนึ่งเรื่องจริง สารภาพว่าผู้เขียนชอบสัมผัสแบบนี้คือการเล่าเรื่องที่เรียบเรื่อยแต่สมจริงเพราะชีวิตคนจริงๆบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีดราม่าจัด ง่ายๆเมื่อท่านเห็นคนธรรมดาข้างทางท่านอยากรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความธรรมดานั้นเขามีอะไรซ่อนอยู่และบทหนังเรื่องนี้ก็ต้องการแบบนั้น แต่ต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนดูหนังไต้หวันมามากบางความรู้สึกจึงคล้ายกับหนังไต้หวันในการเล่าเรื่องคนธรรมดาครอบครัวชนชั้นกลางในสังคมที่อาจไม่ใช่คนมีหน้ามีตา แล้วการเดินเรื่องก็เหมือนชีวิตที่เดินไปตามวันเวลาเป็นกิจวัตรที่ไม่ต้องมีอะไรมากระทบก็มีแรงดึงดูดซึ่งถ้าเป็นหนังไต้หวันจะเป็นแบบนี้มากแต่กับหนังไทยยังหาได้ไม่มากนัก เพราะบทหนังพยายามเป็นชีวิตจริงให้มากที่สุดหนังจึงมีมิติทางอารมณ์ที่คุ้มค่ามีทั้งอารมณ์ขันแบบบ้านๆการประชันกันของช่องว่างระหว่างวัย ซึ่งทำให้หนังเดินไปเรียบเรื่อยแต่ดูสบายตาสบายใจปานสายลมยามเย็นที่เฉื่อยฉิวพลิ้วแผ่ว ทุกสัมผัสทางหัวใจที่ส่งผ่านความธรรมดาที่เป็นความวิเศษเพราะทำให้เป็นความสามัญธรรมดานั้นยากกว่าขยี้ ความดีงามของหนังเรื่องนี้คือความธรรมดาเพราะนี่คือเรื่องของครอบครัวไทยเชื้อสายจีนธรรมดาๆอาม่าเป็นคนขายโจ๊กที่ลูกๆต่างมีทางไปของตัวเองปล่อยให้แกอยู่คนเดียว เพราะชีวิตคนเรานั้นบางครั้งก็ไม่ต้องไปสรรหาความหรูเลิศอลังการใดในชีวิตแค่มีความสุขกับความธรรมดาก็อาจเพียงพอ แล้วหนังก็หยิบเอาเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต่างเคยเจอแล้วจะยิ่งลงลึกถ้าเป็นคนที่โตมากับครอบครัวไทยเชื้อสายจีน แน่นอนคนเราสามารถน้ำตารินไหลให้กับเรื่องหนักหนาสาหัสได้ซึ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับหนังสักเรื่องที่จะเรียกน้ำตาเป็นสายหากเห็นช่องแล้วขยี้ แต่ไม่ใช่กับหนังเรื่องนี้ที่มีช่องมากมายแต่ปล่อยให้ความธรรมดาทำงานของมันเพราะการทำให้น้ำตาคนดูไหลไปกับเรื่องธรรมดานั้นยากกว่า แล้วการที่ทุกมิติในเรื่องนี้ที่เอามาเล่าคือเรื่องที่ทุกคนเคยเจอไม่ใช่ต้องเจอเพราะไม่ใช่ความเจ็บปวดแต่เป็นเรื่องปกติสามัญที่วิเศษ อาจไม่ใช่ความซาบซึ้งแต่เป็นความกินใจเพราะเหมือนจะคิดถึงสิ่งที่เราทำในสิ่งที่ไม่ควรทำกับคนที่รักเรา สำหรับการดูหนังเรื่องนี้กับครอบครัวคือคุณแม่บ้านและลูกชายคนเล็กวัยสิบหกปรากฎว่าน้ำตาซึมกันถ้วนหน้า แต่จะว่าเป็นความซาบซึ้งก็คงไม่ใช่แต่เป็นความคิดถึงมากกว่าโดยเฉพาะครอบครัวผู้เขียนได้อยู่กับแม่ยายวัยเดียวกับอาม่าได้ดูแลแกจนวาระสุดท้าย และแม้จะไม่ใช่คนไทยเชื้อสายจีนแต่มีบางแง่มุมที่พาดทับกับสิ่งที่หนังเล่าอย่างจังเพราะการอยู่กับคนแก่ของคนวัยทำงานมีอะไรให้ต้องเผชิญมาก จนทำให้คิดถึงในสิ่งที่ผ่านมาว่าเราได้ทำอะไรที่ไม่ควรทำกับคนที่รักเราหรือไม่เพราะบางครั้งเราไม่เหลือคนคนนั้นให้กลับไปขอโทษ และแม้จะเข้าใจแต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะความรักบางครั้งก็ไม่ได้แสดงออกมาแต่การกระทำที่เป็นเสมอมาต่างหากที่บอกว่าใครเป็นที่หนึ่ง จึงเป็นความกินใจมากกว่าซาบซึ้งเพราะคงมีไม่น้อยที่คิดถึงอาม่าหรือคิดถึงย่าถึงยายว่าเรายังเหม็นกลิ่นคนแก่หรือไม่ที่ครอบครัวผู้เขียนเพิ่งมานึกได้ว่าเราไม่เคยรู้สึกว่าเหม็นกลิ่นปัสสาวะของแม่ยายเลยเมื่อแกยังอยู่ การกลายเป็นคนธรรมดาได้อย่างน่าทึ่งของนักแสดงทั้งทีมจนเหมือนดูชีวิตครอบครัวคนข้างบ้าน เพราะหนังตั้งใจมาเป็นความธรรมดาเล่าเรื่องคนธรรมดาหาใช้เจ้าหญิงเจ้าชายคหบดีที่ไหนเพราะทุกคนที่เห็นในเรื่องคือคนที่สามารถพบได้ทั่วไปตามป้ายรถเมล์หรือตลาดสด จึงต้องชื่นชมทีมนักแสดงที่ต้องขออภัยที่การที่ผู้เขียนหนักไปทางดูหนังต่างประเทศเลยไม่ค่อยได้ติดตามผลงาน แน่นอนเมื่อหนังตั้งใจให้ความพิเศษคือความธรรมดาจึงต้องชื่นชมคุณพุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุลก่อนที่ธรรมดาได้อย่างน่าทึ่ง และที่ยอดเยี่ยมเหลือเกินคืออาม่าอุษา เสมคำที่เป็นอาม่าธรรมดาที่เห็นได้จากครอบครัวข้างบ้านส่วนคนอื่นๆนั้นก็คือยอดเยี่ยมไม่แพ้กันในความเป็นคนธรรมดาไม่ต้องเป็นคนพิเศษคือเป็นคนเดินดินกินกับข้าวถุงข้างทางทั่วไปทำให้เสริมความธรรมดาให้ออกมาเป็นความสามัญที่ยอดเยี่ยม หนังยังมีมุมกล้องที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมกับอาม่าและเพลงประกอบที่จังหวะจะโคนใช่ยิ่งกว่าใช่และสุดท้ายภาพสวยเหลือเกิน เพราะหนังสามารถพาดทับกับประสบการณ์ของทุกคนจะมากจะน้อยต้องมีจึงเป็นที่ประทับใจไม่ลืม อาจเพราะครอบครัวใหญ่ๆมักจะเป็นแบบนี้คือมีคนที่เป็นเหมือนกู๋โส่ยที่ไม่เอาไหนปล่อยให้แม่ห่วงคือถ้าไม่เห็นหน้าคือสบายดีแต่ถ้ามาคือมีเรื่องเดือดร้อน หรือมีคนอย่างกู๋เคี้ยงที่คิดว่าแม่รักตัวเองที่สุดเป็นศูนย์กลางจักรวาลคิดว่าเหนือกว่าพี่น้องต้องควบคุมทุกอย่างแต่ลืมบางอย่างคือแม่ และมีคนอย่างซิวที่เป็นลูกคนกลางที่ไม่ได้หวังอะไรมากมายเพราะเป็นลูกผู้หญิงที่ลูกชายได้สมบัติแต่ลูกสาวได้มะเร็งจนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก และมีหลานอย่างเอ็มที่มองไม่เห็นความรักของอาม่าหรือย่าหรือยายที่กลายเป็นไม่เข้าใกล้ท่านเหล่านั้นแต่เมื่อรู้อาจสายไปเพราะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้อย่างเอ็ม หนังจึงไม่ต่างจากการเอาประสบการณ์ของมนุษย์ทั่วไปมาร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าให้รู้สึกกินใจว่าวันนี้เราหลงลืมอะไรเราโกรธใครโดยไร้เหตุผลหรือไม่ ทำให้หนังกลายเป็นงานดราม่าครอบครัวแบบไทยๆที่ต้องประทับตราว่า "อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู" ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 2,3,4,5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram gdh559 ภาพที่ 1 จาก Instagram netflixth เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !