เครดิตภาพ Facebook Officialมาถึงภาค 2 กันแล้วนะครับ โดยห่างจากภาคแรก 5 ปี ในห้วงเวลาจริงกับเวลาในหนังคือทิ้งระยะ 5 ปีเช่นกัน แถมเป็นภาคที่ผมใจจดใจจ่อ ลงทุนดูแบบไอแมกซ์เลยครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจาก Maleficent ภาคที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง มาเลฟิเซนต์ (Angelina Jolie) และ เจ้าหญิงออโรร่า (Elle Fanning) หลังจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้วที่มาเลฟิเซนต์แต่งตั้งให้ออโรร่าเป็นราชินีแห่งเมืองมัวร์ส แต่แล้ววันหนึ่ง ออโร่ร่า ถูก เจ้าชายฟิลิป (Harris Dickinson) ขอแต่งงาน แม้ว่าเจ้าชายฟิลลิปจะรักออโรร่าอย่างใจจริง แต่มันก็เป็นเพียงการจัดฉากของ ราชินีอิงกริต (Michelle Pfeiffer) การต่อสู้กันระหว่างมาเลฟิเซนต์กับราชินีอิงกริตได้เริ้มต้นขึ้น ราชินีอิงกริตหวังครอบครองเมืองมัวร์ส มาเลฟิเซนต์ต้องการให้เมืองทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเริ่มขึ้นเครดิตภาพ Facebook Officialหนังเปิดเรื่องมาเผยให้เห็นว่ามาเลฟิเซนต์จากนางพญาปิศาจใจร้ายก็เริ่มที่จะเริ่มมีจิตใจอ่อนโยน แต่หนังก็ยังวางบทบาทของราชินีอิงกริต ให้ดูน่าฉงนเหมือนมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ ง่าย ๆ ก็คือแอบร้าย สร้างสถานการณ์ใส่ความมาเลฟิเซนต์ หนังไม่ได้พยายามเก็บงำข้อนี้ และเผยให้เห็นตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลยว่าใครร้าย และอาจจะทำให้คนดูเทคะแนนสงสารให้มาเลฟิเซนต์ด้วยแนวทางของภาค 2 ฉีกแนวบรรยากาศหนังออกห่างไกลจากภาคแรกเยอะ ประเด็นแรกที่หนังเลือกเน้นในเรื่องสงครามระหว่างเมืองอัลสตีด เมืองหลวงของราชินีอังกริต และ “ดาร์กเฟย์” เผ่าพันธุ์ของเทพมีปีก ต้นกำเนิดของมาเลฟิเซนต์ ยอมรับว่ารื่องในภาคนี้เดินหน้าไปแบบเข้มข้น ไม่อ้างอิงความเป็นนิยายแบบภาคแรกอีกแล้ว เพราะหนังเน้นการต่อสู้มากกว่าภาคก่อนมากเครดิตภาพ Facebook Officialฉากสงครามของในหนังดิสนีย์ ซึ่งหนังก็พยายามไม่ให้โหดร้ายเกินไป ถ้าดาร์กเฟย์ถูกกระสุนเหล็กยิงเข้าที่ร่างกายก็สลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนบรรดาสัตว์เทพในป่ามัวร์ หลาย ๆ ตัวพอตายก็กลายคืนสภาพกลายเป็นดอกไม้ใบหญ้า ทำใ้ห้เป็นฉากสงครามที่รุนแรง แต่ไม่มีภาพจากผลการกระทำที่รุนแรง เหมือนสงครามมุ้งมิ้งมากกว่าการเลือกเล่าถึงเผ่าพันธุ์ ดาร์กเฟย์ ภาคนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญมากพอสมควร ลงรายละเอียดนานหลายนาที ประวัติที่มารวมถึงความเป็นอยู่ พาชมสภาพความเป็นอยู่ การแบ่งดินแดน รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ ตอนแรกแอบคิดว่าเผยเยอะขนาดนี้จะมาหนังเรื่องดาร์กเฟย์ออกมาเป็นภาคแยกไหมแต่จุดที่น่าชื่นชมคืองานออกแบบฉากและCGที่น่าตื่นตาตื่นใจ แทบทุก ๆ ฉากดูสวยงามอลังการนับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลย ถ้ามีโอกาสเลือกดูบนจอ IMAX 3 มิติได้ขอแนะนำ แค่ฉากเปิดเรื่อง มุมกล้องจากท้องฟ้าพาเราท่องเข้าไปในดินแดนมัวร์วิ่งผ่านหน้าบรรดาสัตว์ประหลาด ต่าง ๆ ผ่านดอกไม้หลายชนิด เป็นประสบการณ์ที่รื่นเริงบันเทิงใจมาก เพราะมันดูสวย ไร้พิษสง ทำให้จิตใจผ่อนคลายเวลาได้เห็นเครดิตภาพ Facebook Officialคะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 สาระของเนื้อหา หรือบทหนัง ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็ให้อภัยและทดแทนได้ด้วยบทบาทของมาลิฟิเซนต์ ที่ยังคงสมบทบาทและทำให้เราอินไปกับบทมมาเลฟิเซนต์ได้เหมือนภาคแรก แถมยังมีมุกตลกหน้าตายมาให้ขำเป็นช่วง ๆคะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 คงไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะเลยครับ เพราะว่าดิสนีย์ เค้าอลังการในเรื่องของCG และวิชวลเอฟเฟคต์เด็ดดวงอยู่แล้ว แค่ 5 นาทีแรกก็คุ้มค่าราคาตั๋วหนังแล้วละครับ ไม่ว่าจะฉากพวกปิศาจในป่ามัวร์ หรือฉากต่อสู้ท้ายเรื่อง รับรองว่าอลังการถึงใจแน่นอนข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. แม่ก็คือแม่ ประโยคนี้ได้ยินกันหนาหูมาก ๆ หลังจบภาคนี้ เพราะถึงแม้ว่ามาเลฟิเซนต์จะไม่เต็มใจนักกับการให้ออโรร่าแต่งงานกับฟิลลิป แต่ก็เพื่อความสุขของลูก แม้จะเป็นลูกเลี้ยง แม่ทูนหัวอย่างคุณแม่มาลีก็ยังเอาใจใส่ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในบางอย่างเพื่อไปพบและเจรจาให้ลูกสาวได้แต่งงานตามใจต้องการ2. ราชินีอิงกริตที่จิตใจมีแต่ความโหดร้าย ใช้ลูกและสามีเป็นครื่องมือ และใส่ร้ายมาเลฟิเซนต์ว่าทำร้ายสวามีของตน เมื่อความจริงปรากฏ นางก็ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งลูกและสามี เหมือนกรรมตามทันในความอำมหิตของนางหลังจากดูภาคนี้จบ ผมภาวนาให้มีหนังเรื่องดาร์กเฟย์ทำออกมาครับ เพราะไหน ๆ หนังก็ให้ความสำคัญกับเผ่าพันธุ์นี้แล้ว ก็อยากให้ทำหนังภาคแยกออกมาเลย เพราะเรื่องราวของพวกเค้าเหล่านั้นก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเครดิตภาพปก Facebook Official