Short CommentAIR (2023)เล่าเรื่องที่ไม่ควรสนุกให้ออกมาสนุกสุดๆจนหยุดไม่อยู่จากเรื่องจริงที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้กลายเป็นต้องรู้ในโลกมีเรื่องราวมากมายที่มีบ้างเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้หรือควรรู้และก็มีเรื่องราวอีกมากมายหลายเท่าที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจของใครของมัน และสำหรับดูไปบ่นไปแล้วเคยเขียนถึงไว้ว่านอกจากการดูหนังดูซีรีส์ก็มีกีฬาที่ชอบดู ซึ่งกับปูชนียบุคคลในวงการกีฬานั้นมีมากมายที่คนทั่วไปรู้จักแม้จะไม่ใช่คอกีฬาประเภทนั้นและหนึ่งในนั้นคือ Michael Jordan ซึ่งผู้เขียนไม่ใช่แฟนบาสเกตบอล NBA เพราะผู้เขียนชอบดู NFL แต่ชื่อ Michael Jordan ก็คือที่สุดของทีสุดในวงการกีฬาไม่เฉพาะแค่วงการยัดห่วง และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากลายเป็น GOAT (Greatest of All Time) ไม่ใช่แค่ลีลาและความยอดเยี่ยมในสนามแต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำของคนทั่วโลกอีกสิ่งคือรองเท้า เพราะหนึ่งในรองเท้ากีฬาระดับคลาสสิคที่หลายคนใฝ่ฝันหาและผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นคือ NIKE Air Jordan ที่มีลวดวายเป็นเอกลักษณ์ที่มีจุดเริ่มต้นที่แสนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาในการต่อรองทางธุรกิจ ก่อนจะกลายมาเป็นดีลประวัติศาสตร์ระดับตำนานแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะบันเทิงสำหรับคนทั่วไปแต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อออกมาเป็นหนังจะเริงใจได้ปานนี้ ในปี 1984 แผนกบาสเกตบอลของบริษัท Nike กำลังย่ำแย่เพราะไม่สามารถเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์ระดับสตาร์ได้เลยทำให้ยอดขายตกต่ำจนจวนเจียนต้องปิดแผนก ทว่า Sonny Vaccaro (Matt Damon) แมวมองพรสวรรค์ที่ได้รับการชื่นชมจาก Phil Knight (Ben Affleck) CEO บริษัท Nike ว่าเป็นกูรูบาสเกตบอลได้คนพบสิ่งที่คนมองข้ามในนักกีฬาดาวรุ่งที่กำลังจะเข้าสู่การดราฟท์คือ Michael Jordan และต้องการจะเซ็นสัญญากับดาวรุ่งที่ยังไม่ได้สัมผัสเกม NBA คนนี้ แต่นอกจากจะมีสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นทักษะบาสเกตบอลของ Michael Jordan ก็ยังเป็นที่มองเห็นบริษัท Converse ที่เป็นเจ้าของตลาดรองเท้าบาสเกตบอลในตอนนั้นก็เห็นและ Adidas ก็เห็นแล้วที่สำคัญ Michael Jordan เองเป็นแฟน Adidas ด้วยอุปสรรคที่มีทำให้ Sonny Vaccaro ทำทุกวิถีทางเพื่อได้เซ็นสัญญาแม้กระทั่งบุกไปหา Deloris Jordan (Viola Davis) แม่ของ Michael Jordan ถึงบ้านซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะแต่ไม่ผิดสร้างความปวดเศียรให้กับ Rob Strasser (Jason Bateman) รองประธานฝ่ายการตลาดยิ่งนัก แต่สุดท้ายความตั้งใจของ Sonny Vaccaro ก็ประสบผลทำให้ Nike กลายเป็นเจ้าพ่อในวงการรองเท้าบาสเกตบอลอย่างที่เป็นในปัจจุบันพิสูจน์ฝีมือของ Ben Affleck ในการเล่าเรื่องที่ไม่น่าจะสนุกให้ออกมาสนุกโดยไม่ต้องหวือหวา สารภาพว่าผู้เขียนดูเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ARGO (2012) หนังยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์เรื่องนั้นที่เป็นการการกำกับการแสดงโดย Ben Affleck เหมือนกัน ความคล้ายกันของเรื่องนี้ที่ไปพาดพิงถึงเรื่องนั้นคือการเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงแล้วหนังก็ออกมาเหมือนไม่เร่งไม่เร้าไม่หวือหวาเล่าไปเรื่อยๆแถมคนดูยังรู้บทสรุปสุดท้ายแล้วไม่ต่างกัน แต่ที่สนุกคือรายละเอียดระหว่างทางว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นที่คนดูรู้ทั้งรู้มีอะไรที่น่าสนใจได้อย่างสนุกสุดๆจนเมื่อเปิดดูแล้วหยุดไม่อยู่ อย่างเรื่องนี้คือเรื่องการเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์กับนักกีฬาดาวรุ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรกับบริษัทที่ ณ ตอนนั้นยังเป็นไก่รองบ่อน แน่นอนอาการเอาใจช่วยมวยรองมีแน่แต่มองยังไงก็ยังเป็นเรื่องที่ใช่ว่าจะเข้าถึงหรือสัมผัสได้ด้วยใจเพราะไม่มีดราม่าอะไรเลย แต่คนดูกลับรู้สึกว่าต้องรู้ให้ได้ว่าดีลนี้จะเกิดขึ้นอย่างไรไม่ใช่เกิดขึ้นหรือไม่เพราะบทสรุปปิดตายไปแล้ว ความสนุกของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การเล่าเรื่องและการจัดการเหตุการณ์ของ Ben Affleck ให้ออกมาไม่เร้าใจบันเทิงเริงใจได้อย่างน่าทึ่งรองเท้าเป็นแค่รองเท้าจนกว่าจะมีคนมาสวมมัน เพราะเรื่องแบบนี้อาจมีเพียงไม่กี่คนที่จะเล่าออกได้แบบนี้อาจเพราะบทหนังบางเรื่องก็มีไว้ให้ผู้กำกับบางคนที่ใช่บทหนังของ Alex Convery เรื่องนี้จึงเหมือนเขียนมาเพื่อให้ Ben Affleck กำกับเพราะงานกำกับของมักจะออกมาโทนนี้ หนังเต็มไปด้วยบุคคลที่มีตัวตนจริงที่สัมผัสถึงความเป็นอเมริกันจ๋าหรือเรียกว่าโปรอเมริกาก็ยังได้ในงานนี้ที่ว่ากันที่ American Dreams เพราะหนึ่งในความฝันของคนอเมริกันคือการเป็นนักกีฬาอาชีพได้ถูกดราฟท์เข้าทีมอาชีพเพื่อเปลี่ยนชีวิต หนังจึงนำเสนอ Pop Culture ในแบบอเมริกันที่ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกออกมาได้ทุกรายละเอียด แถมด้วยการใช้สิบหลักการของ Nike มาเล่าเรื่องที่เข้ากันดีกับสิ่งที่เล่าและสิ่งที่เป็นคือการปฏิวัติวงการรองเท้าบาสเกตบอลและสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการเซ็นสัญญานักกีฬามาเพราะหลังจากนั้นวงการก็เปลี่ยนไป หรืออาจเป็นได้ว่าถ้าไม่มี Michael Jordan อาจไม่มี Nike อย่างทุกวันนี้หรือถ้าไม่มี Nike อาจไม่มี Michael Jordan ที่เป็น GOAT เพราะสิ่งที่ Sonny Vaccaro พูดในห้องประชุมอาจไม่เกิดขึ้นของบางอยางจึงอาจเหมาะกับคนบางคนและหนังก็เล่าเสียจนเหมือนคนดูไปอยู่ในเหตุการณ์จนรู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ทั้งที่เป็นเรื่องที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้กล้า บ้า เสี่ยง แหกคอกแหวกขนบในการเล่าเรื่องให้ออกมาไม่ต่างจากสร้างแรงบันดาลใจโดยไม่เห็นว่ายัดเยียด โดยปกติหนังแนวนี้คือแนวการทำธุรกิจของไก่รองบ่อนซึ่งในที่นี้คือ Nike ที่เมื่อตอนนั้นยังเป็นมวยรองโดยเฉพาะแผนกบาสเกตบอลที่ล้มเหลวในการมองนักกีฬาดาวรุ่งครั้งแล้วครั้งเล่า หรือหนังแนวดราม่ากีฬาในการก้าวไปสู่ความเป็นยอดนักกีฬาของใครสักคนโดยเฉพาะที่เล่าจากเรื่องจริงมักจะมีโทนของการเร้าเรื่องแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาสู้ตามแบบฉบับ ซึ่งกับเรื่องนี้ยังมีครบเพราะหนังอุดมไปด้วยประโยคคมๆมากมายที่ถ้าจะหยิบมาขายในไลน์กลุ่มก็ไม่หวาดไม่ไหว หรือเรื่องของเบื้องหลังของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งแนวคิดวุฒิภาวะกระทั่งการตัดสินใจความกล้าบ้าเสี่ยงความคิดขบถนอกกรอบที่ทำให้ประสบความสำเร็จ หรือเรื่องของคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหมือนสายลมไต้ปีกก็มีมาให้เห็นเพราะนี่คือเรื่องของหนึ่งบริษัทและหนึ่งนักกีฬาที่พากันพลิกโลก แต่ที่ต้องทึ่งคือไม่มีความรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ถูกจงใจใส่เข้ามาเพื่อให้คนดูขนลุกชูชันหรือน้ำตาคลอเพราะเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอย่างปกติธรรมดาอาจไม่เคยเห็นตัวจริงของตัวละครในหนังสำหรับคนทั่วไปแต่เชื่อหมดใจว่านั่นคือคนคนนั้นจริงๆ ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ไม่เสียหายเพราะไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวตัวละครที่ถูกเล่าจึงไม่ใช่ตัวละครที่จะมาเกาะกุมหัวใจ สิ่งที่ต้องเป็นให้ได้คือการทำให้คนดูเชื่อในความเป็นตัวละครนั้นๆซึ่งข้อได้เปรียบของการที่คนดูส่วนใหญ่ไม่รู้จักตัวจริงของตัวละครก็คือคนดูไม่ติดกับภาพจำ ทว่าตัวละครในเรื่องนี้ต่างมีหน้าที่มีความชำนาญมีแนวคิดในการดำรงชีวิตที่ต่างกันทั้ง CEO ทั้งฝ่ายการตลาดทั้งเอเจนต์ทั้งศิลปินผู้สร้างสรรรองเท้าชั้นยอดหรือทั้งกูรูบาสเกตบอล หรือจะอีกฝั่งคือความรักของครอบครัวความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่จะประคับประคองดูแลผลปะระโยชน์ของลูกหรือเรียกว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดจนคนดูเชื่อทั้งโดย Matt Damon,Ben Affleck,Jason Bateman,Chris Tucker และ Viola Davis ที่ทำให้หนังที่เล่าเรื่องของ Michael Jordan แต่ไม่เห็นหน้า Michael Jordan หรือไม่ได้ยินเสียง Michael Jordan เรื่องนี้มีพลังและดูสนุกเพราะเล่าเรื่องได้และการแสดงยังใช่ในทุกตัวละครเป็นหนังที่ทั้งสนุกและฉลาดเล่นฉลาดเล่า อย่างที่บอกคือหนังเล่าเรื่องของ Michael Jordan แต่ไม่เห็นหน้าหรือไม่ได้ยินเสียง Michael Jordan จึงเรียกได้ว่าฉลาดเล่าเพราะส่วนหนึ่งคนดูจะลุ้นว่าจะได้เห็น Michael Jordan หรือไม่ในหนังไม่ใช่ท้ายเครดิต ส่วนที่ฉลาดเล่นคือการหยิบเอาเรื่องของธุรกิจมาผสมกับงานดราม่ากีฬาที่ลงตัวทุกประการเพราะคนดูได้รู้แทบทุกอย่างของการพลิกโลกครั้งนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนบทสรุปที่ทุกคนรู้ แน่นอนในมุมของดราม่ากีฬาก็คือการทำให้คนดูเห็นจุดเริ่มต้นของนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติอีกหนึ่งคนที่แม้กระทั่งคนไม่ดูกีฬายังรู้จัก ซึ่งก็คือหนังดูสนุกได้ทั้งการมองในมุมของการทำธุรกิจที่บางครั้งรายละเอียดและการทำงานเป็นทีมหรือการคิดต่างจะทำให้ประสบความสำเร็จและแน่นอนความกล้าของคนที่มีอำนาจตัดสินใจ และหนังยังดูสนุกในมุมของนักกีฬาสักคนที่จะพลิกชีวิตตนและครอบครัวด้วยทักษะทางกีฬาและในที่นี้คือการมีผู้สนับสนุนที่ดี ด้วยความฉลาดเล่นและฉลาดเล่าแบบนี้จึงทำให้ขึ้นแท่นหนังดีที่คู่ควรดูแม้เมื่อคิดอีกทีหนังหาความเร้าใจไม่เจอแต่ทำไมสนุกได้ขนาดนี้นะดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram airmovieเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/DKNgjDjjP82Bhttps://entertainment.trueid.net/detail/GOk9ZXKPGjj2