✨หนัง Wicked 2024 ไม่ใช่แค่มิวสิคัลแฟนตาซีที่เล่าเรื่องราวของ "แม่มดแห่งออซ" ในมุมที่ต่างออกไป แต่มันยังเต็มไปด้วย ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต, การเป็นตัวเอง และมิตรภาพ 🎭💚 เพลงเพราะ ฉากอลังการ และเนื้อเรื่องที่กินใจ ทำให้ Wicked เป็นมิวสิคัลที่อยู่ในใจแฟน ๆ ทั่วโลก วันนี้เราจะพามาดู 7 ข้อคิดสำคัญ จากเรื่องนี้กันค่า ข้อคิดที่ทั้งสวยงามและทรงพลัง รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1. อย่าปล่อยให้คนอื่นมากำหนดว่าเราคือใคร “No good deed goes unpunished.” — เอลฟาบาพูดในเพลง No Good Deed ซีนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เอลฟาบารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธอทำดีมาตลอดกลับกลายเป็นผลร้าย ทุกการกระทำของเธอถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องเลวร้าย ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจยอมรับภาพลักษณ์ "แม่มดชั่วร้าย" ตามที่คนอื่นกำหนดให้เธอ ข้อคิดที่ได้จากซีนนี้ก็คือ อย่าปล่อยให้โลกกำหนดว่าเราเป็นใคร เพราะสุดท้ายเราต้องเป็นตัวเอง ไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ตาม เราชอบคำแปลนี้มาก เพราะชีวิตจริงเราก็เจอเรื่องแบบนี้มาจริง ๆ เมื่อก่อนเราเคยคิดเสมอว่า ถ้าทำตัวดี ๆ ผู้ใหญ่คงจะรักและเอ็นดู แต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น น่าเศร้าที่สิ่งที่เราได้รับกลับเป็นคำพูดว่าร้ายลับหลัง เพื่อฉุดให้เราตกต่ำในโคลนตมที่พวกเขาสร้างขึ้น ถามว่าแคร์ไหม? ไม่เลยค่ะ เพราะตัวเรารู้ดีว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาพูดแม้แต่นิดเดียว 2. มิตรภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ “Because I knew you, I have been changed for good.” — กลินดาและเอลฟาบาในเพลง For Good ฉากนี้เป็นฉากอำลาระหว่างเอลฟาบาและกลินดา พวกเธอผ่านช่วงเวลาที่รักและเกลียดกันมา แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่ามิตรภาพของพวกเธอเปลี่ยนชีวิตของกันและกันไปตลอดกาล ประโยคนี้สื่อถึงความหมายของมิตรภาพที่แท้จริงค่ะ แม้เราอาจไม่ได้อยู่ในชีวิตกันตลอดไป แต่การพบกันก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปแล้วค่ะ อันนี้คือเลิฟมากเพราะมันสะท้อนถึงความหมายที่ลึกซึ้งของมิตรภาพ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการอยู่เคียงข้างกันเสมอไป แต่คือการที่เราได้เรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนแปลงจากการมีอีกคนอยู่ในชีวิต ไม่ว่าความสัมพันธ์จะสมบูรณ์แบบหรือไม่ หรือสุดท้ายเราจะต้องแยกจากกัน แต่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรา ทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี ยังคงอยู่ และหล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้ มันเป็นประโยคที่อบอุ่นแต่ก็เจือไปด้วยความเศร้าเล็ก ๆ เพราะมันบอกเป็นนัยว่าบางครั้งคนสำคัญอาจไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แต่สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ทั้งความทรงจำ บทเรียน หรือแม้แต่ร่องรอยบางอย่างในหัวใจจะอยู่กับเราเสมอ 💙 3. การเป็นตัวของตัวเองอาจทำให้โดดเดี่ยว แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรค่า “It’s time to try defying gravity.” — เอลฟาบาในเพลง Defying Gravity ฉากนี้เกิดขึ้นเมื่อเอลฟาบาตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเองแทนที่จะทำตามที่คนอื่นต้องการ เธอไม่ยอมให้ใครมาจำกัดศักยภาพของเธอ และเลือกจะ "ท้าทายแรงโน้มถ่วง" ในความหมายที่ลึกกว่านั้นคือ กล้าทำในสิ่งที่แตกต่างแม้ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ มันเป็นฉากที่ทรงพลังที่สุดฉากหนึ่งของ Wicked และเป็นข้อคิดที่ใครหลายคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้เลยนะ นี่มันเราชัด ๆ เเราชอบข้อคิดนี้มากเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามขีดจำกัด ไม่ใช่แค่ข้อจำกัดจากโลกภายนอก แต่รวมถึงความกลัวและความไม่มั่นใจในตัวเองด้วย “Defying Gravity” ไม่ใช่แค่การบิน แต่คือการลุกขึ้นมาเลือกเส้นทางของตัวเอง แม้ว่ามันจะทำให้เราต้องเดินอย่างโดดเดี่ยว หรือเผชิญกับสายตาที่ไม่เข้าใจจากคนรอบข้าง ประโยคนี้เป็นเหมือนแรงผลักดันให้เรากล้าลอง กล้าเสี่ยง และเชื่อมั่นในตัวเอง ต่อให้โลกจะบอกว่า “มันเป็นไปไม่ได้” เราก็ยังสามารถตอบกลับไปว่า “ฉันจะลอง” และบางครั้ง การเลือกเป็นตัวของตัวเอง อาจไม่ได้ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้เราเป็นอิสระในแบบที่ไม่มีใครพรากไปได้ ✨ 4. โลกนี้ไม่ใช่ขาวหรือดำเสมอไป “Are people born wicked? Or do they have wickedness thrust upon them?” — กลินดาพูดในฉากเปิดเรื่อง กลินดาตั้งคำถามตั้งแต่ต้นเรื่องว่าคนเราเกิดมาชั่วร้าย หรือเพราะสังคมบังคับให้เป็นแบบนั้น? นี่เป็นข้อคิดสำคัญของเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าความดีและความชั่วเป็นเรื่องซับซ้อนค่ะ คนที่ถูกมองว่าเป็น "ตัวร้าย" อาจไม่ได้ร้ายจริง ๆ แต่ถูกทำให้เป็นแบบนั้นเพราะสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ารึเปล่า เราชอบประโยคนี้มากค่ะ เพราะมันสะท้อนถึงความซับซ้อนของมนุษย์และสังคม โลกนี้ไม่ได้มีแค่ขาวหรือดำ ดีหรือชั่ว แต่เต็มไปด้วยเฉดสีเทาที่เกิดจากประสบการณ์ ชีวิต และการตัดสินใจของแต่ละคน ประโยคนี้กระตุ้นให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเชื่อและมองคนอื่นอย่างลึกซึ้งขึ้น แทนที่จะตัดสินพวกเขาจากสิ่งที่เห็นเพียงผิวเผิน มันทำให้เราคิดว่า คนที่ถูกมองว่า "ร้าย" จริง ๆ แล้วเป็นแบบนั้นโดยกำเนิด หรือพวกเขาถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นแบบนั้นเพราะสังคม บาดแผล หรือความอยุติธรรมที่ต้องเผชิญ? และถ้าเราถูกผลักให้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เราจะกลายเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า? คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่มันทำให้เราเข้าใจโลกและผู้คนในมุมที่ลึกซึ้งขึ้น 💭✨ 5. เราเลือกเส้นทางของตัวเองได้เสมอ “The road of good intentions led where such roads always lead.” — พ่อมดแห่งออซ พ่อมดพูดถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วย "ความตั้งใจดี" ที่บางครั้งก็พาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง ฉากนี้เป็นฉากที่เปิดเผยว่าพ่อมดเองก็ไม่ได้เป็นคนเลวโดยเจตนา แต่การตัดสินใจของเขานำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดี นี่เป็นข้อเตือนใจว่าแม้เราจะมีเจตนาดี แต่ก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจค่ะ ประโยคนี้คือมันสะท้อนความจริงของชีวิตได้อย่างเจ็บแสบเลยแม่ คือแบบบางครั้ง "ความตั้งใจดี" เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่พอ เพราะถ้าเราไม่คิดให้รอบคอบหรือมองข้ามผลกระทบที่ตามมา ความตั้งใจดีอาจจะพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวังไว้ได้นะ คือประโยคนี้ยังเตือนเราว่า การเป็น "คนดี" ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำผิดพลาด ทุกการตัดสินใจมีผลกระทบ และบางครั้งเราก็อาจทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ เพียงเพราะเราไม่ได้มองเห็นทุกด้านของสถานการณ์ มันเป็นบทเรียนที่เตือนให้เราคิดอย่างรอบคอบและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยความตั้งใจแบบไหนก็ตาม 💭✨ 6. บางครั้งสิ่งที่เรามองหาอยู่ใกล้กว่าที่คิด “The most celebrated are the rehabilitated.” — กลินดา ในขณะที่เอลฟาบาเป็นตัวแทนของคนที่ถูกมองว่าเป็น "ตัวร้าย" กลินดาเป็นตัวแทนของคนที่สังคมเชิดชู เธอพูดประโยคนี้เมื่อเธอเข้าใจว่าบางครั้งการเป็นที่ยอมรับของสังคมก็ไม่ได้หมายความว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป คือมันแทงใจมาก! บางครั้งคนที่ถูกยกย่องอาจไม่ใช่คนที่ดีจริง ๆ แต่เป็นแค่คนที่สังคมเลือกจะให้อภัยหรือยอมรับ ส่วนคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวร้าย อาจเป็นแค่คนที่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ที่สังคมตั้งไว้ มันเหมือนเตือนเราว่า ภาพลักษณ์กับความจริงอาจเป็นคนละเรื่องกัน บางทีสังคมก็ให้ค่ากับการ "ดูดี" มากกว่าการทำดีจริง ๆ ประโยคนี้ของกลินดาเลยทำให้คิดว่า เราไม่ควรปล่อยให้ค่านิยมของคนอื่นมากำหนดคุณค่าในตัวเราเอง 7. บางครั้งเราอาจต้องเสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่าง “Something has changed within me, something is not the same.” — เอลฟาบาใน Defying Gravity ช่วงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของเอลฟาบาเลยค่ะ เธอตระหนักว่าเธอไม่สามารถเดินตามเส้นทางเดิมได้อีกต่อไป ถ้าเธอต้องการอิสระ เธอต้องเสียบางสิ่งไป เช่น ชื่อเสียง ความปลอดภัย หรือมิตรภาพ คือเราอะโคตรชอบประโยคนี้เลย มันเป็นช่วงที่เอลฟาบารู้ตัวแล้วว่าเธอเดินกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ถ้าอยากเป็นตัวเองจริง ๆ ก็ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความปลอดภัย หรือแม้แต่มิตรภาพบางอย่าง มันทำให้คิดว่าในชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าเราจะก้าวไปข้างหน้า บางครั้งก็ต้องยอมปล่อยบางอย่างที่เคยคุ้นเคย ไม่งั้นเราก็จะติดอยู่ที่เดิมตลอด ชอบตรงที่มันให้พลังแบบ "เอาวะ ลุยเลย!" ถึงจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มที่จะลอง เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราก็ไม่มีวันรู้เลยว่าชีวิตเราจะไปได้ไกลแค่ไหน จริงไหม อันนี้เราขอยืนยันว่าจริง จากใจเด็กที่พึ่งจบใหม่ก้าวออกจากเซฟโซน 9/10 หนัง Wicked 2024 เป็นมากกว่ามิวสิคัลทั่วไป เพราะมันพูดถึง สิ่งที่เราเผชิญในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นการถูกเข้าใจผิด, การเลือกเส้นทางของตัวเอง หรือความซับซ้อนของมิตรภาพ 💖 ข้อคิดเหล่านี้ยังคงมีพลังและเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คน แม้เวลาจะผ่านไปก็ตาม 🔥 แล้วคุณล่ะ? มีข้อคิดไหนจาก Wicked ที่โดนใจที่สุด? หรือถ้าชอบประโยคไหนจากเรื่องนี้เป็นพิเศษ ก็มาคุยกันได้นะคะ! 👀💬 ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wickedmovie 1/2/3/4/5/6/7 ปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !