นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากชื่อเดียวกันได้อย่างสวยงามอย่าง the school for good and evil ซึ้งมีชื่อไทยว่า โรงเรียนแห่งความดีและความชั่ว Soman Chainani เป็นคนเขียนนิยายแฟนตาซีเรื่องนี้ แต่ที่เนื้อไปกว่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Paul Feig ผู้กำกับเจ้าของภาพยนตร์ตลกหลายเรื่องแต่เรื่องนี้เขากับทำเรื่องราวที่แหวกแนวออกจากความเป็นตัวเองมากๆอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะแหวกขนบตัวเองแต่ทีมนักแสดงก็ไม้ได้น้อยหน้าเพราะขนกันมามากมายอย่าง โซเฟีย วายลี่, โซเฟีย แอนน์ คารุโซ่, ชาร์ลิซ เธอรอน, เคอรี่ วอชิงตัน เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่อยากแนะนำอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทางสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่อย่าง Netflix จัดให้เล่าย่อๆเรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สองพี่น้องผู้ทรงพลังได้สร้างโรงเรียนแห่งหนึ่งขึ้น เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความดีงามและความชั่วร้ายในโลกของเทพนิยาย สองพี่น้องแบ่งสรรพลังอย่างสงบเป็นเวลาหลายชั่วกัลป์ แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้สงบสุขอยู่อย่างนั้น เมื่อสองพี่น้องได้เข้าต่อสู้กันเพื่อที่จะได้รู้ว่า ความดีและความชั่วใครจะเหนือกว่ากัน“กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน”1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุกอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะภาพยนตร์มีแต่ความบางเบา เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ฉากหลังได้อย่างสวยงาม เพราะผู้เขียนเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อนจะรู้ได้ทันทีว่ากาอรอ่านเราต้องใช้จินตนาการเข้าช่วย แต่เรื่องนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง ธีมหลังที่สะท้อนโลกของเทพนิยายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในหมู่บ้านเราจะได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ภาพยนตร์ไม่ได้นำเราก้าวสู่โลกของนิยายได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างพอดิบพอดี และในฉากความสวยงามของโรงเรียนถึงแม้ CGI ในเรื่องนี้ยังดูประเดประดังอย่างเห็นได้ชัดนกโครงกระดูก หัวหมาป่า ตัวภูต หรือแม่แต่ตัวปราสาทโรงเรียนเองก็ไม้ได้ออกมาเนียนตา แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างไม่เคอะเขินคนเกินไป ธีมหลักถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆเลยนะเราจะได้เห็นฉากต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของตัวละคร ห้องเรียนต่างๆ หรือแม้แต่การเปิดตัวของตัวละครก็ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจและน่าหลงใหลและสื่อถึงความเป็นภาพยนตร์เรท PG13+ ได้อย่างลงตัว ฉากตัวละครไม่ประเดประดังจนเกินไปมีความพอดีเล่าล้อไปกับบทภาพยนตร์ได้อย่างไม่เคอะเขิน 2 คัท (Cut) คือ “มุม”ว่าด้วยเรื่องของบท / ถึงแม้ว่าฉากต่างๆจะทำออกมาได้ดีมากแค่ไหน แต่ด้วยภาพยนตร์เป็นเรื่อราวที่ถูกดัดแปลงมาจากนิยายเราจึงได้เห็นความไม่สมเหตุสมผลของบทอยู่มากมายส่วนหนึ่งเพราะตัวผู้เขียนเองอาจจะเคยอ่านผ่านหูผ่านตามาบ้างพอสมควร เลยกลายเป็นว่านิยายทำออกมาได้ดีกว่า บทภาพยนตร์ที่ดูจะเบาเกินไปจับสูตรสำเร็จมาเล่าแบบตรงๆ ไม่ได้ใส่สีตีไข่เพิ่มเรื่องราวให้มีความเป็นภาพยนตร์สมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย (ส่วนหนึ่งอาจจะมองว่าเคารพต้นฉบับ) แต่ในแง่ของภาพยนตร์การคงไว้บทดังเดิมนั้นคือเรื่องดีหากทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในอีกแง่หากทำได้ด้อยกว่าจะกลายเป็นว่าภาพยนตร์ยังตีเนื้อหาของต้นฉบับได้ไม่ดีพอ แต่เรื่องนี้ยังโชคดีที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นต้นฉบับแต่ก็เผยออกมาได้อ่อนเกินไปอยู่ดี แต่ด้วยความเป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีการทำในเรื่องราวที่เป็นสูตรสำเร็จแบบนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ถึงแม้บทโดยรวมจะไม่ได้ทำให้เราเห็นถึงความแข็งแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่บทของตัวละครต่างๆในเรื่องนี้เล่าออกมาได้ดีมากๆ ในแง่ของความดีและความชั่ว ซึ่งผู้เขียนต้องยกนิ้วให้ที่ภาพยนตร์เน้นมาที่เรื่องนี้หนักกว่าเรื่องอื่นๆของภาพยนตร์ 3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / ตัวละครในภาพยนตร์ถึงแม้ว่าจะมีความประเดประดังพอสมความ แต่ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สื่อตัวละครได้อย่างชัดเจน ตัวละครที่มีแก่นสารในตัวภาพยนตร์เสนอให้เราเหล่าคนดูได้เห็นว่า ความดีเป็นอย่างไรความชั่วเป็นอย่างไร ดูเหมือนจะพยายามยัดเยียดให้เราเหล่าคนดูเห็นแบบนั้น แต่เนื้อหาจริงๆของมันมากไปกว่านั้น เพราะตัวละครทุกตัวอย่างก็มีความเป็นสีเทาในตัวเองดีถาวรหรือชั่วตลอดกาล ภาพยนตร์นำเสนอมาได้อย่างชาญฉลาด ตัวละครหลักอย่า “โซฟี” เด็กสาวผู้เพ้อฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงแต่ด้วยที่ครอบครัวเองมีแม่เลี้ยงใจร้ายเลี้ยงดูเธอแต่เธอก็ไม่เคยที่จะไม่รักครอบครัววายป่วงของเธอ และ “อกาธา” ลูกสาวของแม่มดผู้ที่ถูกสังคมรังเกลียดมาโดยตลอดแต่เธอก็ยังเชื่อว่าโลกใบนี้มันสวยงาม ความดีและความชั่วมันเลยเป็นเส้นแบ่งบางๆที่ภาพยนตร์ใส่เข้ามาให้กับตัวละคร คนๆหนึ่งพร้อมที่จะชั่วร้ายหากเขาโดนกระทำเหมือกับว่าไม่ใช้คน คนๆหนึ่งพร้อมที่จะดีแสนดีเพียงเพราะว่าได้รับโอกาสจากสังคมที่เข้าอยู่ และสองนักแสดงสาวอย่าง Sofia Wylie รับบท อกาธา และ Sophia Anne Caruso รับบท โซฟี เธอทั้งสองถือว่าแสดงและถ่ายทอดตัวละครออกมาได้ดีและดีมากๆเลยก็ว่าได้ อาจจะดูเคอะเขินไปบ้างเพราะยังมีประสบการณ์แสดงมาไม่มากนักแต่ก็ดีในระดับน่ารักๆอีกเรื่องของสองสาว4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / ผู้เขียนติดใจคำพูดของ “อกาธา” ใน Dialog หนึ่งว่า “แบบนี้เหรอที่เรียกว่าดีงาม ทำลายคนที่แสนดีมีน้ำใจแค่เพราะพวกเขาไม่สามารถ ทำตามความคาดหวังสูงลิ่วได้เนี่ยนะ มันมีอะไรดีงามตรงไหน” หากกลับมาย้อนคิดในแง่ของความเป็นจริง เรามันจะยัดเยียดความชาวให้กับคนที่มีความคิดที่แตกค่างไปจากเราอยู่เสมอ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอความหมายออกมาได้ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความดีมันอยู่ตรงไหนความชั่วมันอยู่ที่ใด เรามักที่จะเห็นคนในสังคมที่มีความคิดที่แตกต่างไปจากเรามากมายถูกมองว่าเป็นคนไม่ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ปลุกความคิดของผู้เขียนได้ดีมากๆเช่นกัน ทั้งที่เราไม่เคยได้ถามใครคนใดคนหนึ่งได้ซ้ำว่าทำไมเข้าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาก็ตัดสินเขาแล้วว่าเขาไม้ได้เพราะไม่ทำตามในหลักที่คนส่วนใหญ่เห็นชอบ เป็นภาพยนตร์ที่สอดแทรกเรื่องราวของความดีและความชั่วเข้ามาให้เราเหล่าคนดู ตั้งแต่ฉากแรกที่เผยออกมาเลยก็ว่าได้ผู้เขียนมองว่าเป็นการยัดเยียดที่สวยงาม เพราะว่าภาพยนตร์ใส่ความหมายที่ตรงไปตรงมาและไม่ประเดประดังจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ใช้วิทีสื่อออกมาตรงๆเลยว่าทำแบบนี้คือความดีนะทำแบบนั้นคือความชั่ว และใช้บทภาพยนตร์เข้ามาช่วยทำให้มีชั้นเชิงในการเล่ามากขึ้นจึงสื่อออกมาได้อย่างสวยงาม (ความดีอยู่ที่คำนิยามและบริบทและความชั่วก็เช่นกันภาพยนตร์ให้เราเห็นชัดเจนมากในเรื่องนี้)5 “คัท !!!!”ถึงแม่จะมีอาการประเดประดังหลายจุดแต่ก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีรสชาติจัดจ้านไม่แพ้ใครอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ภาพยนตร์ที่เดินมาบนเส้นทางแบบสูตรสำเร็จที่ต้องเรียกว่าสูตรสำเร็จจริงๆ เจ้าชายเจ้าหญิง ความดีความชั่ว แม่มดและสิ่งโหดร้ายต่างๆในเทพนิยาย ถึงแม้ว่า CGI จะยังไม่ได้เข้าขั้นภาพยนตร์สมัยใหม่แต่ก็ไม่ได้ดูลอยๆจนมองออกได้โดยง่าย ธีมหลังที่ทำออดมาได้อย่างสวยงามเหมือนตกลงไปในเทพนิยายตามจินตนาการได้อย่างไม่เคอะเขิน และธีมหลักที่ต้องบอกว่าดูเข้าท่าเข้าทางไม่แพ้กัน ถึงแม้บทภาพยนตร์จะดูอ่อนไปนิดหน่อยแต่ก็ยอดมับได้ในเรื่องของความเคารพต้นฉบับ ภาพบยนตร์ที่มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 28 นาที 54 วินาที ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ยาวเกินไปสำหรับบทที่มีความเบาบางเช่นนี้ ภาพยนตร์ทำออกมาได้ดีมีการชิงไหวชิงพริบเข้าถึงความหมายได้อย่างไม่เคอะเขิน Mood & Tone ที่ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ โทนสีเน้นมาที่โทนอบอุ่นทำให้เราเหล่าคนดูรู้สึกได้ถึงความสนุกของมันและเข้าถึงภาพยนตร์ได้ง่ายกว่า Easter Egg ส่งท้ายก็ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจพอตัวกลับการทิ้งท้ายและการทิ้งสิ่งที่ตัวละครต่างๆไม่ได้ร่ำลากัน มันเป็นการทิ้ง Easter Egg ได้อย่างน่าสนใจ จนอยากจะดูภาคต่อในเร็ววัน ถึงแม้จะมีความประเดประดังไปบ้างก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สามารถเข้าถึงทุกคนในครอบครัวได้ไม่ยากอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ประเด็นตกผลึกจากผู้เขียน (อะไรคือความดีและความชั่ว อะไรคือสีดำและสีขาว หากมองข้ามเส้นกั้นบางๆนี้เราอาจจะประหลาดใจกับคำตอบที่ได้ไม่มากก็น้อย เพราะเรื่องจริงมันไม่เคยอิงนิยาย) - จิปาถะ และ อรรถรส(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)#จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก - netflix / Netflix / The School for Good and Evil / theschoolforgoodandevilmovie / Netflix - ปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง the school for good and evil - โรงเรียนแห่งความดีและความชั่ว เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้ ด้วยเน้อชวนแต่งแฟนซี หลอน สวย เซ็กซี่หรือสร้างสรรค์ ถ่ายภาพหรือวิดีโอ แล้วโพสต์ที่ TrueID Community ห้อง "13 สยองขวัญ"สำหรับผู้ที่ยอดกดไลก์สูงสุด 5 อันดับแรกอันดับที่ 1 : (ต้องมียอดไลก์เกิน 150 ไลก์) เงินรางวัล 3,000 บาทอันดับที่ 2-5: (ต้องมียอดไลก์เกิน 50 ไลก์) เงินรางวัล รางวัลละ 1,000 บาท (รวม 4 ท่าน 4,000 บาท)STAR COVER ส่งภาพเข้ามาได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 65 ถึง 3 พฤศจิกายน 65***