รีเซต

“มันไม่มีความหมาย!” เบรนแดน เฟรเซอร์ ฉะรางวัลลูกโลกทองคำ เป็นแค่ตราหน้ารถ

“มันไม่มีความหมาย!” เบรนแดน เฟรเซอร์ ฉะรางวัลลูกโลกทองคำ เป็นแค่ตราหน้ารถ
แบไต๋
10 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:00 )
327

เรียกได้ว่ายังคงเป็นจังหวะขาขึ้นของ เบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) นักแสดงวัย 54 ปี ที่รีเทิร์นวงการฮอลลีวูดได้อย่างสวยงาม จากการรับบทบาทชาร์ลี ชายอ้วนหนัก 270 กิโลกรัม ผู้มีปัญหาโรคอ้วนขั้นรุนแรง ในหนังเรื่อง ‘The Whale’ ผลงานกำกับของ ดาร์เรน อาโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) จากค่าย A24 ที่ได้รับคำวิจารณ์อันยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์หลายสำนัก

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะบทบาทนี้ยังเป็นแรงส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ ๆ ของฮอลลีวูดได้แบบไม่พลิกโผ ทั้งการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) บนเวทีงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 95 ประจำปี 2023 เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จะทราบผลรางวัลในค่ำคืนของวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม

และอีกรางวัลที่เขาได้รับการเสนอเข้าชิง แต่ชวดรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย นั่นก็คือ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า รางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globes Awards) ครั้งที่ 80 ที่ตกเป็นของนักแสดงหนุ่ม ออสติน บัตเลอร์ (Austin Butler) ที่แจ้งเกิดจากการรับบท เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ในภาพยนตร์ชีวประวัติ ‘Elvis’

แต่ถ้าใครที่ตามข่าวกันดีก็น่าจะพอทราบว่า ตัวของเฟรเซอร์เองกับลูกโลกทองคำนั้นมีอดีตฝังใจที่ยากจะลืมอยู่ และเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเลือนหายไปจากวงการฮอลลีวูดนานนับสิบปี จนทำให้แม้ว่าเขาจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง แต่เขาก็ได้ออกมาประกาศชัดเจนกับทาง GQ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ว่า เขาจะไม่ไปร่วมในงานอย่างแน่นอน

ล่าสุด เฟรเซอร์ก็ได้เปิดเผยความรู้สึกของเขาต่อรางวัลนี้ในรายการ เดอะ ฮาวเวิร์ด สเติร์น โชว์ (The Howard Stern Show) ทางสถานีวิทยุซิริอัส เอ็กซ์เอ็ม (SiriusXM) โดยเขาได้เผยถึงการคว้ารางวัลลูกโลกทองคำของบัตเลอร์ว่า ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่เขาสมควรจะได้รับอย่างยิ่ง และยังเปิดเผยว่า ต่อให้เขาเองได้รับการเสนอเข้าชิง เขาเองก็ไม่ได้เสียดายนักถ้าจะไม่ได้รางวัลนี้ เพราะว่าเขาเองไม่มีความสนใจที่จะคว้ารางวัลนี้อยู่แล้ว

“ผมสงสัยว่านี่เป็นการเสนอชื่อเพื่อต้องการจะเหยียดหยามผมหรือเปล่า เพราะประวัติในอดีตระหว่างผมกับพวกเขาหรือเปล่า และผมเองก็ยังไม่เห็นพวกเขาเปลี่ยนแปลงอะไรเลย”

“(การที่ผมจะรับรางวัล) ต่อให้จะรับหรือไม่รับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญคือ มันไม่มีความหมายอะไรกับผมอีกแล้ว ผมไม่ต้องการ ไม่ต้องการให้มีการพิจารณา (เพื่อเข้าชิงราวัล) เลยด้วยซ้ำ ผมเดานะ เดาว่ามันคงขัดใจใครหลาย ๆ คนด้วยเหตุผลหลายอย่าง…”

“พวกเขาอยากให้ผมได้ แต่ผมไม่ต้องการมัน เพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับผม ผมจะเอามันไปเก็บไว้ไหน ผมจะเอาไอ้ตราสัญลักษณ์หน้ารถ (Hood Ornament) นั่นไปทำอะไรล่ะ แล้วผมจะเอามันไปเก็บไว้ไหน”

ฮาวเวิร์ด สเติร์น (Howard Stern) ผู้ดำเนินรายการ ได้ถามข้อคิดเห็นว่า เขาต้องการให้เหล่านักแสดงและคนอื่น ๆ ในวงการร่วมมือกันคว่ำบาตรงานลูกโลกทองคำ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากเรื่องราวในอดีตของเขาหรือไม่ เขาเผยว่า

“มันเป็นการต่อสู้เฉพาะของผมน่ะครับ ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมายืนหยัดอยู่ข้างผม มันจะมีความหมายกว่านี้ ถ้าพวกเขาต้องการจะแก้ไขมันจริง ๆ เช่นออกคำขอโทษที่สมเหตุสมผล เปิดเผยผลการสอบสวนในสิ่งที่พวกเขาทำกับผม ครอบครัวและเพื่อน ๆ ของผม ผมไม่เคยเห็นผลลัพธ์ของสิ่งนั้นเลย พวกเขาไม่เคยเปิดเผยกับผมเลย พวกเขาไม่ต้องการให้ผมอ่านมัน แต่ผมก็ยังได้รับจดหมายที่บอกว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกล้อเล่น…”

“เอาจริง ๆ ผมก็ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนั้นมากขนาดนั้นหรอกนะครับ เพราะมันไม่ได้สำคัญสำหรับผมขนาดนั้นแล้ว อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ดีคือ พวกเขาทำบางสิ่งที่สำคัญในการถ่ายทอดสดนั้น พวกเขาเปิด *แถลงการณ์ของ โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy – ประธานาธิบดีประเทศยูเครน) และนั่นก็เป็นสปีชที่ทรงพลังที่ผมอยากสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”

ความหลังฝังใจของเฟรเซอร์ที่มีต่อรางวัลลูกโลกทองคำ เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ในปี 2018 ที่เขาเปิดเผยว่า เขาเคยถูก ฟิลิป เบิร์ก (Philip Berk) อดีตประธานสมาคมสื่อมวลชนต่างประเทศฮอลลีวูด (Hollywood Foreign Press Association – HFPA) ผู้จัดงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำ ล่วงละเมิดทางเพศในงานเลี้ยงอาหารกลางวันของ HFPA ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านเดอะเบเวอรีฮิลส์ (Beverly Hills) ในปี 2003

เหตุการณ์นั้นทำให้เขารู้สึกเสียขวัญ แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และเปิดเผยเรื่องนี้เฉพาะกับภรรยา เนื่องจากเขารู้สึกกลัวจะเสียชื่อเสียง แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องทนทรมานกับความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวกลายเป็นความเครียดและโรคซึมเศร้าในเวลาต่อมา จนกระทั่งเมื่อกระแส #metoo แพร่สะพัด ก็ทำให้เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาเปิดโปงเรื่องนี้อีกครั้ง จนทำให้ HFPA ได้ออกมาสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เฟรเซอร์พอใจนัก เพราะสุดท้ายแม้ HFPA จะดำเนินการสอบสวนภายใน แต่ก็ไม่เคยมีการนำเอารายงานการสืบสวนสอบสวนมาเปิดเผย และในจดหมายชี้แจงที่ HFPA ส่งให้กับทางเฟรเซอร์ ที่เขานำมาเปิดเผยว่า แม้ในการสอบสวน เบิร์กได้มีการสัมผัสจุดสงวนของเขาจริง ๆ แต่ก็เป็นเพียงการล้อเล่นกันเท่านั้น

และเบิร์กในเวลานั้นก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ไม่ได้มีการปลดจากตำแหน่ง ทำให้เฟรเซอร์ไม่พอใจและเลือกที่จะปฏิเสธลงนามสรุปผลการสอบสวนเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนว่า สิ่งที่เขาโดนกระทำไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ จนกระทั่งในปี 2021 เบิร์กจึงถูกเชิญออกจากบอร์ดบริหาร HFPA หลังจากแสดงความคิดเห็นในกระแส ‘Black Lives Matter’ ว่าเป็นกระแสที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังและเหยียดผิว


ที่มา: Variety, Entertainment Weekly, People