Movie Review The Negotiation (2018) เข้มข้นเฉือนกันสุดมันส์ประกันความลุ้นระทึกในหนังในความทรงจำนำโดย "ซนเยจิน" และ "ฮยอนบิน" ที่เข้าคู่กันอย่างสุดยอด รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! โดยปกติแล้วถ้าผู้เขียนจะเขียนถึงหนังเก่าที่เคยประทับใจไม่รู้หน่ายผู้เขียนจะจั่วหัวข้อบทความว่า "ในความทรงจำ" แต่บางกรณีก็มีที่ยกเว้น นั่นเพราะหนังบางเรื่องที่ได้ดูแล้วประทับในความทรงจำแต่ในเวลาถัดมาดันหาดูซ้ำไม่ได้จนเวลาล่วงผ่านไปรายละเอียดที่เคยอยู่ในลิ้นชักความทรงจำก็เริ่มลางเลือน แต่บางครั้งอะไรที่มันเว้าแหว่งไปจากกาลเวลามันก็อาจกลายเป็นดีเพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้มาสัมผัสมันอีกครั้งมันยังให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับครั้งแรกที่ได้พบพานและการดูหนังบางเรื่องก็อาจเป็นเช่นนี้ และนี่คือที่มาของบทความนี้ที่ผู้เขียนไม่อาจใช้หัวข้อที่เคยๆได้เพราะต้องดูใหม่ทั้งเรื่องแล้วมาเขียนกับหนังที่ ณ เวลาที่ก่อนได้ดูซ้ำครั้งนี้ความทรงจำที่มีคือการประชันบทบาทกันระหว่างซนเยจินกับฮยอนบิน และถ้าสมองที่เริ่มเสื่อมลงตามกาลของผู้เขียนจำไม่ผิดนี่คือหนังเรื่องแรกที่ฮยอนบินรับบทผู้ร้ายและแน่นอนว่าเมื่อตอนนั้นยังไม่ใช่ตอนนี้ที่ทั้งคู่กลายมาเป็นสามีภรรยากัน เพราะตอนนั้นมันคือการประชันกันของตัวแม่และตัวพ่อของเก่าหลีที่ไม่ว่าใครที่เห็นก็คงไม่มีทางปฏิเสธ ฮาแชยุน (ซนเยจิน) ตำรวจนักเจรจาต่อรองฝีมือดีที่ไม่อาจช่วยชีวิตตัวประกันได้เนื่องจากคำสั่งของเบื้องบนทำให้เธอจมอยู่กับความรู้สึกผิดคิดจะลาออกจากหน้าที่ แต่เมื่อมีการจับตัวประกันชาวเกาหลีในประเทศไทยโดยผู้ก่อการร้ายและพ่อค้าอาวุธเถื่อนชาวต่างชาติเชื้อสายเกาหลีที่มีชื่อว่ามินแทกู (ฮยอนบิน) และคนที่ถูกตามมาเจรจาคือฮาแชยุน แน่นอนเมื่อภาวะจิตใจของฮาแชยุนยังไม่มั่นคงจึงเหมือนกับเธอเป็นรองมินแทกูอยู่เรื่อยๆแต่ก็ไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำแค่ว่าเมื่อถึงเวลาที่จะได้เปรียบเธอกลับถูกแทรกแซงโดยเบื้องบนจนเกิดความสูญเสียอีกครั้งจนเธอถูกกันออกจากการทำงานนี้ แต่เรื่องไม่จบแค่นั้นเมื่อมินแทกูเองต่างหากที่เรียกร้องให้ฮาแชยุนมาเป็นคนเจรจาและหลังจากนั้นความฉ้อฉลและความโสมมของบุคคลระดับสูงของรัฐบาลก็ถูกเปิดเผย นั่นทำให้พวกชั่วใส่สูทร้อนอาสน์ต้องการกำจัดมินแทกูด้วยการเร่งให้ปฏิบัติการทางทหารโดยไม่สนชีวิตตัวประกัน แล้วฮาแชยุนจะสามารถเจรจากับมินแทกูให้มีทางลงสวยที่สุดได้อย่างไรเพราะมินแทกูก็มีอะไรซ่อนไว้ เป็นงานทริลเลอร์เข้มๆเน้นการเชือดเฉือนหักเหลี่ยมด้วยบทสนทนามาพร้อมการหักเหลี่ยมเฉือนคมอย่างถึงกึ๋น สารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่เห็นชื่อเรื่องแล้วไม่วายนึกถึงหนังฝรั่งชื่อคล้ายกันอย่าง The Negotiator (1998) ที่นำแสดงโดย Samuel L. Jackson กับ Kevin Spacey และคิดว่าเนื้อหาน่าจะมาทางนี้ ซึ่งเอาจริงก็มาแหละแต่มาแค่เฉียดคือมีอะไรให้นึกถึงแน่นอนแต่ไม่ทั้งหมดเหมือนเอาไอเดียมาปรับแต่งมากกว่า โดยวางโครงเรื่องไว้คล้ายแต่ไม่เหมือนบางสถานการณ์ก็ใกล้เคียงและเน้นการเชือดเฉือนกันทางบทสนทนาที่พลิกไปพลิกมา แต่เรื่องนี้จะเปลี่ยนแรงจูงใจและคู่ต่อกรที่ต้องเปิดโปงให้หนักกว่าโดยความเจ๋งมันอยู่ที่การสนทนาที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ แล้ววางความพลิกผันเข้ามาเป็นระยะๆให้อยู่นอกเหนือการคาดเดาด้วยการวางตัวละครให้นำหน้าและตามหลังกันหนึ่งก้าวที่บทหนังจะบอกเองว่าทำไมเพราะอะไร (ในกรณีที่ท่านยังไม่ได้ดู) สุดท้ายตัวร้ายกับผู้ร้ายก็ทับซ้อนกันโดยที่มิติที่วางอยู่เบื้องหลังที่ซ่อนไว้นั้นทำงานของมันอย่างได้ผล เน้นลุ่มลึกทางอารมณ์มากกว่าตื่นเต้นตูมตามเพราะเล่นกับความรู้สึกแล้วหยอดรางวัลมาให้ติดตามกับการซ่อนคนร้ายไว้หลังผู้ร้าย ถ้าจะหวังความตื่นเต้นตูมตามแอ็กชันสนั่นจอจากเรื่องนี้อาจมีผิดหวังเพราะนี่คือหนังที่เน้นความลุ่มลึกทางอารมณ์แต่ก็เร้าอารมณ์ได้อย่างดียิ่ง เพราะการพัฒนาสถานการณ์ที่เดินหน้าไปหาความวุ่นวายที่ซ่อนไว้ข้างหลังโดยมีปูมหลังและความรู้สึกของตัวละครเป็นตัวประกัน และเชื่อว่าคนดูก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวประกันในเกมการเจรจาที่ช่วงชิงความได้เปรียบที่ความเยี่ยมมันคือให้ผู้ร้ายดูเหลื่อมกว่านิดๆ แล้วเลือกกดอารมณ์คนดูโดยที่มีปริศนาบางอย่างซ่อนไว้จนกระทั่งความรู้สึกคนดูที่มีต่อผู้ร้ายเปลี่ยนไปคือแม้จะเป็นผู้ร้ายแต่ก็ยังมีหัวจิตหัวใจไม่ใช่พวกชั่วที่ทำอะไรไม่คำนึงถึงผลกระทบ และการปะทะกันแบบนี้ที่สร้างความสะเทือนอารมณ์เร้าความรู้สึกให้เอาใจช่วยทางหนึ่งและอยากเห็นอีกทางหนึ่งได้รับผลของการกระทำที่มันดีตรงที่หยอดรางวัลมาให้เรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเห็นใจผู้ร้ายซะได้นับว่าเป็นอะไรที่เจ๋งดีเพราะนี่คือหนังเก่า การแสดงที่เฉือนกันอย่างมันส์ระหว่างตัวแม่ตัวพ่อที่แม้จะไม่เผชิญหน้ากันตรงๆแต่ทรงพลังดีเหลือเกิน เพราะนี่คือหนังที่ประชันกันด้วยการเชือดเฉือนชิงเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันผ่านบทสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างใส่หน้ากากเข้าหากันเพราะชื่อหนังก็บอกกันโต้งๆว่าการเจรจา (The Negotiation) ดังนั้นการที่จะสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับหนังที่พูดกันทั้งเรื่องตามชื่อเรื่องแบบนี้ทีเด็ดทีขาดต้องอยู่ที่การแสดงอารมณ์ผ่านการสวมหน้ากากเข้าหากัน และหนังเรื่องนี้จัดว่าดีที่ได้นักแสดงระดับตัวแม่อย่างซนเยจินมาประชันกับตัวพ่ออย่างฮยอนบิน ความเยี่ยมของสองคนนี้คือการที่แทบไม่มีฉากเผชิญหน้ากันตรงๆเลยแต่กลับสร้างความอึดอัดกดดันได้อย่างเกินคาดที่บทอาจวางให้ตัวละครฮาแชยุนของซนเยจินเป็นรองหน่อยๆ แต่นั่นเพราะบทกำหนดให้เธอมีบาดแผลทางความรู้สึกผิดซึ่งซนเยจินยังทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติและยิ่งไม่มีที่ติกับการรับบทร้ายเป็นครั้งแรกของฮยอนบิน ที่เริ่มจากความกวนและเห็นว่าร้ายแต่สุดท้ายกลายเป็นตัวร้ายที่น่าเห็นใจได้อย่างเนียน เป็นความบันเทิงอีกแบบหนึ่งซึ่งมาพร้อมความน่าติดตามเล่นเรื่องใหญ่แล้วพาไปเรื่องยักษ์ตามสไตล์เกาหลีที่ทำได้ดีเช่นเคย บางครั้งหนังดีหรือไม่ได้มันวัดกันตรงนี้คือเวลาที่หนังก้าวข้ามหรือผ่านมานั่นคือหนังดีอาจเป็นหนังที่เมื่อหยิบมาดูอีกกี่ครั้งก็ยังสนุกและหนังเรื่องนี้อยู่ในกลุ่มนั้นนั่นคือเก่าแต่ดี แค่ว่ามันอาจเป็นความบันเทิงอีกแบบหนึ่งซึ่งเน้นทางอารมณ์มากกว่าความอึกทึกตื่นเต้นตูมตามเพราะนี่คือหนังที่พูดกันแทบจะทั้งเรื่อง แต่ในขณะที่เจรจากันสถานการณ์ก็พัฒนาไปข้างหน้าจนหาทางออกบอกไม่ถูกว่าเรื่องจะออกมาหน้าไหน แน่นอนบทสรุปที่แท้จริงอาจไม่ได้มีทางไปมากมายหนังก็ไม่ได้ตั้งใจมาหักมุมอะไรแถมยังลงเอยแบบตามสูตรครบเสียด้วยซ้ำ แต่แม้จะเป็นแบบนั้นคนดูอย่างเราๆก็ยังหวังว่าจะให้เป็นอย่างที่หวังคือคนชั่วถูกจัดการให้สิ้นเพราะในหน้าหนังที่เป็นการเจรจาช่วยตัวประกันมันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น และนั่นแหละคือความบันเทิงอย่างที่ว่าแม้ว่าเมื่อมาดูในปัจจุบันลูกเล่นแบบนี้ถูกใช้มาบ่อยจากซีรีส์เกาหลีแต่เมื่อดูอีกทีก็ยังสนุกนี่สิ ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก 1,ภาพปก 2 /ภาพที่ 1,2,3,4 จาก Instagram tvn.movies จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !