วันนี้มีซีรีย์ที่ไม่รู้จะวางไว้แนวไหนดีเพราะมันแทบจะเป็นได้ทั้งหมด ใครที่กำลังตามหาซีรีย์กาวๆ แนว Coming of Age แนวโลกล่มสลาย แนวตลก แนวโรแมนติก แนวดราม่า แนวผจญภัย หรือแนวซอมบี้ (พอก่อนเดียวจะมีไปมากกว่านี้) ผู้เขียนขอแนะนำ "Daybreak" ซีรีย์จากค่าย Netflix ที่จะมาแหวกขนบซีรีย์ Coming of Age แบบเดิม และเติมความกาว โหด มันส์ ฮาให้กับคนดูเรื่องย่อง่ายๆ ในวันที่ผู้คนในเมืองเกลนเดลกำลังใช้ชีวิตปกติ จู่ๆ ก็มีระเบิดนิวเคลียร์ลงที่เมือง แม้ระเบิดจะไม่ได้ทำลายเมืองจนเละเทะ แต่กลายเป็นว่ามันทำให้ผู้ใหญ่กลายร้างเป็นซอมบี้ สัตว์กลายพันธุ์ มีเพียงแค่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ทำให้โลกในวันที่ล่มสลาย เด็กคือมนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่ต้องฝ่าฟันเอาตัวรอดในโลกที่ล่มสลายไปแล้ว เนื้อเรื่องมีแค่นี้ แต่ในความแค่นี้มันจะมีเนื้อเรื่องของตัวละครที่จะขยายความวายป่วง ซึ่งมันก็จะสปอยเนื้อเรื่องไปอีกในระดับเลยจะบอกกันสั้นๆว่า "จอช วีเลอร์" พระเอกของเรื่องที่ไม่ได้มีกลุ่มแก๊ง เหมือนเด็กคนอื่น มีเป้าหมายอย่างเดียวคือตามหาแฟนสาวของเขา "แซม" ที่ทั้งคู่ได้แยกจากกันหลังระเบิดนิวเคลียร์ลงมาที่เมือง ในการผจญภัยของจอช ก็จะพบกับแองเจริก้า เด็กประถมที่เก่งเรื่องระเบิด และเวสลีย์ ซามูไรพเนจร พวกเขาจะต้องหนีจากการตามล่าของพวกนักกีฬาของเทอร์โบ ที่้พวกเขาพลาดไปทำให้เขาอารมณ์เสีย และมนุษย์กินคน บารอน ไทรอัม ที่ออกหาเด็กที่ยังมีชีวิตมากิน (พอแค่นี้ก่อน เพราะไม่อยากจะสปอยไปมากกว่านี้)ความน่าสนใจของซีรีย์ 10 ตอน คือวิธีการนำเสนอที่กาวราวกับได้คนเขียนบทหนังเรื่อง Deadpool มาเขียนให้กันเลยทีเดียว ซีรีย์ใช้วิธีการทลายกำแพงที่ 4 หรือที่เรียกกันว่า Break the fourth wall ออกมาพูดคุยกับคนดูด้วยมุกตลก 5 บาท 10 บาท หรือเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งทุกตัวละครจะมีเส้นเรื่องเฉพาะเป็นของตัวเองสลับกับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้ในทุกๆ ตอนจะมีการปูเรื่องและเล่าเนื้อเรื่องหลักสลับกันไปที่ถ้าใครตามไม่ทัน อาจมีหลุดบ้าง แต่ต้องชมว่าผู้สร้างสามารถใช้วิธีการนำเสนอได้อย่างลื่นไหล แต่ก็ยังมีบางจุดที่ยังไม่ Make sense (ไม่ใช่บางจุดแหละ หลายจุดเลย) อีกหนึ่งอย่างที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของซีรีย์คือ การนำกลิ่นอายของ Pop culture ยุค 80 ถึงยุค alternative มาใช้ในซีรีย์ ทำให้ซีรีย์มีมุกเกี่ยวกับเพลง ภาพยนตร์ดัง มาใช้ได้อย่างลงตัว เผลอๆ วิธีการนำเสนอก็เอา Pop culture มาใช้ เช่นจะมีอยู่ตอนนึงที่เอาวีธีถ่ายทำละครแบบ sitcom ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองในยุค 80 - 90 มาใช้เพื่อเล่ามุมมองชีวิตของตัวละคร และคนดูก็จะรู้สึกไม่จำเจไปกับวิธีการเล่าเรื่องที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย แต่เมื่อซีรีย์ใช้วิธีนี้ในการนำเสนอก็มาซึ่งข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากซีรีย์เรื่องนี้มันออกไปทางคัลท์ ความ Make sense หลายๆอย่าง แทบจะเป็น 0 ทำให้บางครั้งคนดูจะงงกับการตัดสินใจของตัวละคร หรือการดำเนินเรื่อง ทำให้ความกาวอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน อีกจุดหนึ่งคือการประติดประต่อเนื้อเรื่อง ต้องดูให้จบรวดเดียวถึงจะไม่มีปัญหาในจุดนี้ ถ้าดูแบบข้ามไปข้ามมา หรือค่อยกลับมาดูอาจจะทำให้คนดูไม่อินกับซีรีย์จากนี้อาจมีสปอยนิดหน่อยสำหรับคนที่เคยดูมาแล้ว เพราะผู้เขียนรู้สึกว่าซีรีย์เรื่องนี้ หลายคนอาจมองว่ามันคือซีรีย์ที่เอาใจ SJW (ที่ชาวเน็ตเรียกว่า Social Justice Warrior) แต่ความจริงอาจไม่ใช่แบบนั้น เราเห็นการโปร LGBT ผิวสี หรือเฟมินิสต์ แต่ซีรีย์ใช้มุมมองอีกด้านในการมองเพื่อลดความเป็น SJW ลง เพื่อเพิ่มความเป็น Unity และความหลากหลาย ยกตัวอย่างกลุ่ม Cheermazon และนักกีฬา ในซีรีย์ทั้ง 2 กลุ่มเป็นอริกัน เพราะเราจะเห็นว่า Cheermazon เป็นตัวแทนของเฟมินิสต์หัวรุนแรง ในขณะที่กลุ่มนักกีฬาดูจะเป็นภาพแทนของชายเป็นใหญ่ในสังคม (เพราะปกครองโดยเทอร์โบ ซึ่งเป็นผู้ชาย) แต่กลุ่มนักกีฬามีความหลากหลายทางสังคมมากกว่า Cheermazon ที่เป็นกลุ่มชนชั้นนำหญิงล้วน ทั้งที่ก่อนโลกจะล่มสลาย Cheermazon คือกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์ที่ออกมาเต้นให้กำลังใจนักกีฬา หรืออีกกรณีคือสังคมหลังโลกล่มสลายของ Daybreak ทุกคนจะมีกลุ่มแก๊งเฉพาะตามที่สังคมได้กำหนดไว้ (ในกรณีนี้คือสังคมโรงเรียนที่แบ่งกลุ่มแก๊งตามชมรมมากกว่ากลุ่มเพื่อน) แต่จะมีเด็กอีกหลายคนที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้สังกัดกลุ่มใดเพราะไม่มีแรงจูงใจให้พวกเขาอยู่ เหมือนเด็กเก่งศิลปะแต่ต้องอยู่สังกัดกีฬาที่ใช้กำลังซึ่งอาจไม่ใช่ทางของเขา การที่ตัวละครจอชที่อยู่คนเดียว และแสดงให้เห็นว่าสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องสังกัดใคร ทั้งๆ ที่กลุ่มคนหลายกลุ่มต่างไม่รู้จักจอช และกดทับให้เขาเป็นอื่นจากสังคม การจุดประกายของจอช เลยกลายเป็นทำให้คนที่เป็นอื่นในสังคมรวมตัวเกิดเป็นกลุ่ม Daybreak ในตอนท้ายของเรื่อง ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมคนที่ถูกกีดกันออกจากระบบสังคม ทั้ง LGBT เด็กหลังห้อง เด็กที่ไม่ได้รับการสนับสนุน เนิร์ดอนิเมะ พวกขี้แพ้ และนักเรียนแลกเปลี่ยนในความกาวของซีรีย์ที่โหด มันส์ ฮา อาจจะแฝงให้เห็นถึงปัญหาของสังคมอเมริกัน หรือเรื่องของการข้ามผ่านของเจนเนเรชั่นที่หลายคนมองข้ามด้วยมุกตลกร้ายที่แสบถึงกึ๋น ตอนจบอย่าพูดถึง เพราะมันจบได้แสบและกาวสุดๆ เสียดายที่มันไม่ได้ไปต่อในซีซั่น 2 (โคตรจะเสียดาย) แต่ตอนนี้กฌถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีย์น่าดูที่อยากแนะนำให้ลิ้มลองรสชาติกาวๆ เสียหน่อย สามารถรับชมได้ตอนนี้ทาง Netflix ที่เดียวเท่านั้นอ้างอิงภาพจากตัวอย่าง Daybreak ของ Netflix https://www.youtube.com/watch?v=2P9U41e75tE