Movie Review18×2 Beyond Youthful Days รักเรายังคิดถึง (2024)"เราจะเจอกันอีกเมื่อเราหาความฝันเจอ" ความหมายของการเดินทางที่ถูกระบายด้วยความเศร้าเคล้าความคิดถึงเพราะความรักคือสิ่งจรรโลงโลกโลกจึงมิอาจปราศจากความรักและมนุษย์ก็ต้องมีความรักไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อาจหนีพ้น หนังรักจึงไม่ตางจากหนังสามัญของโลกที่สาสามารถจรรโลงใจหรืออาจกระตุ้นให้หันมามองตัวเองในแง่มุมของความรัก ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่ชอบดูหนังรักเพราะความรักคือสิ่งใกล้ตัวจนสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้เพราะหนังรักย่อมเล่ามาจากความรักในแง่มุมต่างกัน ซึ่งสำหรับส่วนตัวผู้เขียนแล้วถ้าว่ากันถึงหนังรักก็ดูได้หมดทุกชาติทุกภาษาแต่ถ้าลงลึกไปอีกที่เป็นหนังรักแบบโรแมนติกดราม่าผู้เขียนอาจชอบหนังญี่ปุ่นเป็นพิเศษรองลงมาอาจเป็นไต้หวันและเกาหลี ด้วยเหตุผลที่ญี่ปุ่นมักจะไม่ขยี้แต่ปล่อยใจไปกับภาพที่เห็นบนจอเพื่อเก็บเกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกซึ่งทางไต้หวันก็คล้ายกันแต่อาจดูมีความจริงจังมากกว้า ส่วนทางเกาหลีอาจมีขยี้ในบางจังหวะบ้างก็มีดีต่างกันไปแต่หนังเรื่องต่อไปนี้คือการผสานกันระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันที่ต่างก็เรียบเรื่อยแล้วจะเป็นยังไงแต่บอกเลยว่าผู้เขียนดูจบแล้วตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เต็มหัวใจจิมมี่ (เกร็ก ซูกวงฮัน) กำลังถูกกรรมการบริษัทที่เขาก่อตั้งโหวตให้พ้นจากตำแหน่งแน่นอนมันทำให้จิมมี่เสียศูนย์ เขาจึงกลับไปยังบ้านเกิดที่ไถหนานที่เขาจากมานานแล้วโปสการ์ดใบหนึ่งที่ส่งมาจากญี่ปุ่นก็กระตุ้นความทรงจำของเขาเมื่อสิบแปดปีก่อนเมื่อตอนที่เขาอายุสิบแปดปี ตอนนั้นเขาทำงานการพาร์ทไทม์ที่ร้านคาราโอเกะที่ชีวิตยังดำเนินไปตามวิถีวัยรุ่น แต่การมาของอามิ (คายะ คิโยฮาระ) สาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเที่ยวไต้หวันแล้วทำกระเป๋าเงินหายจึงมาของานทำกับเจ้าของร้านที่เป็นคนญี่ปุ่น ส่วนจิมมี่ในวัยสามสิบหกปีที่ความทรงจำเกี่ยวกับอามิได้เกิดแรงบันดาลใจให้เขาออกเดินทางไปยังญี่ปุ่นเพื่อไปเยือนสถานที่ต่างๆและจุดหมายสุดท้ายคือบ้านเกิดของอามิที่เมืองทาดามิจังหวัดฟุกุชิมะ แล้วการเดินทางครั้งนี้จิมมี่ได้พบกับผู้คนที่เข้ามาเป็นมิตรภาพระหว่างทางในขณะที่ทุกการเดินทางความทรงจำเกี่ยวกับการได้อยู่ร่วมกับอามิก็ผุดขึ้นมาหรืออาจเรียกได้ว่าคิดถึงทุกนาทีแล้วการเดินทางครั้งนี้จะมีจุดสิ้นสุดอย่างไรเดินเรื่องสลับไปมาระหว่างการเดินทางและความทรงจำทำให้มีสองเรื่องให้ติดตามที่มาพร้อมความน่าสนใจว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน ความหลักแหลมของบทหนังผ่านการรังสรรโดยผู้กำกับควบเขียนบทฟูจิอิ มิชิฮิโตะ (The Last 10 Years (2022)) คือการเล่าสลับกันระหว่างการเดินทางเพื่อพบกับเรื่องใหม่ๆคนใหม่ๆกับภาพความทรงจำเก่าๆในอดีต ซึ่งการเล่าเรื่องสองส่วนนั้นแยกโทนกันชัดเจนคือในส่วนปัจจุบันจะหม่นๆโศกๆแต่ส่วนของอดีตจะร่าเริงสดใสซึ่งเดินคู่กันไปเป็นส่วนเสริมที่รองรับกันได้ดี ส่วนสิ่งที่ดึงดูดให้น่าติดตามคือในส่วนของอดีตเรื่องของจิมมี่และอามิจะลงเอยยังไงและในส่วนของปัจจุบันจิมมี่จะได้เจอกับอามิหรือไม่และจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน อีกสิ่งคือความรู้สึกคนดูจะเหมือนได้เดินทางร่วมกับจิมมี่ที่ไม่เสียเวลาไปเล่าเรื่องที่ไม่ควรเล่าหรือไม่จำเป็น ไม่นับอาการอ้ำอึ้งเก็บอะไรบางอย่างไว้เพื่อที่ในท้ายที่สุดจะเป็นเซอร์ไพรส์ที่ใหญ่หลวงซึ่งยอมรับว่าแม้ผู้เขียนจะดูหนังมามากและดูแนวนี้มามากก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ยังคงเรียบเรื่อยเห็นความเป็นญี่ปุ่นเข้มกว่าแต่ก็ถูกแต่งแต้มด้วยความจริงจังในแบบไต้หวันทำให้ออกมาเศร้าเคล้าความคิดถึง แม้จะเป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันที่แบ่งความสำคัญกันแทบจะครึ่งๆในส่วนของการเล่าเรื่อง แต่สัมผัสที่ได้รับกลับเหมือนมีความเป็นญี่ปุ่นมากกว่าแม้ว่าการเล่าเรื่องที่เรียบเรื่อยทางไต้หวันก็เป็นเหมือนกันแต่เมื่อตาได้สัมผัสกับภาพและหูได้สัมผัสเพลงสัมผัสที่ได้รับกลับกลายเป็นเหมือนดูหนังญี่ปุ่นมากกว่า หรืออาจเรียกได้ว่าในความละเมียดละมุนละไมในแบบญี่ปุ่นสามารถเข้าถึงใจคนดูได้แต่เสริมด้วยความจริงจังในแบบไต้หวันเข้ามา นั่นคืออารมณ์ของหนังที่ได้จะมาจากความรู้สึกที่ซึมลึกลงข้างในการเก็บเล็กผสมน้อยไปกับการเล่าเรื่องทั้งสองส่วนคือในส่วนของการเดินทางจะส่งผลต่อการคิดถึง เพราะการเดินทางของจิมมี่มาจากความคิดถึงอามิหนังเลยออกมาดูเศร้าๆคละเคล้าความคิดถึง และสำหรับคนดูแล้วเมื่อดูจบจะคิดว่ามิน่าถึงดูเศร้าๆจนเมื่อถึงตอนสุดท้ายก็จะเข้าใจเองว่าทำไมเพราะการเดินทางเพียงลำพังคือการใช้เวลากับตัวเองจึงมีเวลาให้คิดถึงเรื่องราวมากมายที่เป็นความหมายของชีวิต บางครั้งการเดินทางก็คือการได้พบกับเรื่องใหม่ๆแต่การเดินทางก็มีความเหนื่อยล้าการได้พักบ้างก็คือการสะสมพลังให้ไปต่อเช่นเดียวกับอามิที่บังเอิญได้พักที่ไถหนาน จนเมื่อมีพลังที่จะสู้กับอุปสรรคบางอย่างของตัวเองอามิจึงออกเดินทางต่อไปในทางของตัวเองที่จิมมี่ไม่เข้าใจและคนดูก็ไม่เข้าใจจนกระทั่งบทสรุปสุดท้าย ส่วนจิมมี่นั้นการเดินทางของเขาได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆที่ไม่เคยเจอระหว่างทางแน่นอนได้เห็นแง่มุมชีวิตต่างๆที่พาดทับกับความทรงจำในความคิดถึงอามิ และคงไม่มีใครปฏิเสธว่าในบางครั้งการเดินทางเพียงลำพังคือการได้อยู่กับตัวเองคือมีเวลาให้ตัวเองสมองจึงคิดไปร้อยแปดแน่นอนความคิดถึงเหตุการณ์บางอย่างหรือความทรงจำที่มีร่วมกับใครสักคนก็จะผุดขึ้นมา เมื่อได้ค้นพบบางอย่างจากการเดินทางการได้เห็นแง่มุมชีวิตที่แตกต่างถึงที่สุดอาจทำให้ได้หลุดพ้นจากอะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตเสียศูนย์อาจเหมือนคนพูดน้อยแต่ตัวละครสามารถสื่อความรู้สึกให้คนดูเข้าถึงได้อย่างต้องเชิดชูนักแสดง สำหรับการแสดงออกผ่านตัวละครจะเหมือนตัวละครจิมมี่เพราะนี่คือความคิดถึงอามิของจิมมี่เลยเห็นความขี้อายพูดน้อยไม่กล้าเอื้อนเอ่ย และอาการที่ออกมาแบบนี้เพราะการแสดงของเกร็ก ซู (Marry My Dead Body (2022)) ที่เก็บอาการทุกอย่างไว้อย่างสนิทผ่านความเศร้าสร้อยและอบอวลไปด้วยความคิดถึงในส่วนของปัจจุบัน ส่วนในพาร์ทอดีตนั้นคือความสดใสร่าเริงการเข้าคู่กันของเกร็ก ซูกับคายะ คิโยฮาระคือความสมบูรณ์แบบ คิดง่ายๆคือขนาดคนดูอยู่นอกจอยังตกหลุมรักอามิได้นับประสาอะไรกับหนุ่มไต้หวันที่อ่านมังงะอย่างจิมมี่ และตัวจิมมี่เองก็มีเสน่ห์ในแบบของคนพูดน้อยเก็บความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านการแสดงที่สามารถสื่อให้เข้าถึงความรู้สึกได้อย่างต้องเชิดชูไม่ใช่แค่ชื่นชม หนังยังมีนักแสดงสมทบชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้เรื่องเล่าที่ดูเป็นจริงให้ดูจริงเข้าไปอีกจนเข้าถึงอารมณ์อย่างที่หนังต้องการจากคนดูอาจยังเป็นพล็อตที่เป็นไพ่ตายแต่ไม่รู้ทำไมใช้ได้ผลทุกทีที่อาจมีบ้างที่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ ถ้าว่ากันที่พล็อตเรื่องที่ไม่ขอบอกอะไรมากกว่านี้บอกได้แค่ว่านี่คือไพ่ตายของหนังญี่ปุ่นที่ใช้เมื่อไหร่ได้ผลเมื่อนั้น แน่นอนทั้งไต้หวันและญี่ปุ่นจะไม่เร่งเร้าบดขยี้ทำให้ในความโรแมนติกอาจน้อยแต่ก็ได้ความสมจริงและจริงจังมาทดแทน เพราะนี่คือความเสียใจที่ไม่เคยได้บอกความรู้สึกที่มีออกมาที่ทุกคนสามารถเป็นได้และแม้หน้าหนังจะเป็นโรแมนติกดราม่าหวานปนซึ้งแต่ความจริงไม่ใช่ เพราะหนังออกมาเศร้าผ่านความคิดถึงอย่างจงหนักที่มาพร้อมอารมณ์ถวิลหาอดีตเต็มที่ที่ไม่มีทางไม่คิดย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้วว่าเวลานั้นเราทำอะไรอยู่หรือเรารักกับใครอยู่ แน่นอนว่าด้วยความรู้สึกที่มีร่วมกับจิมมี่ในความคิดถึงอามิแทบทุกเวลาทุกนาทีที่อาจไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงหลีกเลี่ยงการไปบ้านเกิดของอามิสักครั้งตลอดมา จนกระทั่งเมื่อคนดูรู้ความจริงไม่มีทางที่จะไม่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้และผู้เขียนเองก็รักหนังเรื่องนี้อย่างเต็มหัวใจดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram seishun18x2 ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/RglBe8XLW5q3 https://entertainment.trueid.net/detail/G6noaE1KXNqW https://entertainment.trueid.net/detail/Y6Jl5GkxOxmyเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !