ฟิล์ม รัฐภูมิ เผยประสบการณ์ชีวิต ติดการพนัน สูญเงินเป็นล้าน ทำแม่เสียใจ
ฟิล์ม รัฐภูมิ เผยประสบการณ์ชีวิต ติดการพนัน สูญเงินเป็นล้าน ทำแม่เสียใจ
ฟิล์ม รัฐภูมิ เผยประสบการณ์ชีวิต / ยังคงมีผลงานหน้าจอให้เห็นกันอยู่บ้าง สำหรับพระเอกหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ที่ก่อนหน้านี้ผันตัวไปลงการเมืองอย่างจริงจัง ล่าสุดเจ้าตัวเผยอีกบทบาทหนึ่ง คือการเป็นผู้กำกับโฆษณาสินค้าแบรนด์ดัง มีมี่ ปาป๊า mimi papa ผ้าอ้อมเด็กขายดีที่ 1 ในไทย
หนุ่ม ฟิล์ม ได้เล่าประสบการณ์ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยติดการพนัน เสียวันเดียวหมดตัว “ใช่ครับ ตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ แต่ตอนนั้นเข้าวงการแล้ว คือไปเรียนมันก็ไม่มีอะไรทำ มันว่าง เรียนอย่างเดียว ที่ต่างประเทศคาสิโนมันอยู่ทุกจุด เรียนเสร็จไม่มีอะไรทำ แล้วเราเป็นเด็กไม่เคยอยู่เมืองนอก มันก็เดินเข้าไป พอเล่นแล้วก็รู้สึกมันสนุก รู้ตัวอีกทีเสียเป็นหลักล้าน ก็เรียกว่าติดแหละครับ เสียหลักล้านนี่วันเดียวก็หมดแล้วครับ
เข้าถี่ยิบเลย ถี่ยิ่งกว่าเรียนอีก คือมันสะดวกสบายในการเดินทาง มันอยากจะเข้าก็เข้าได้เลย เพราะโรงเรียน แล้วก็บ่อน แล้วก็บ้าน มันอยู่ระหว่างทางกันอยู่แล้ว เราก็เบื่อไม่ได้ทำอะไร เรียนเสร็จก็ไปแวะเล่นหน่อย แล้วมันสนุก พอมันได้มันก็เหลิง แต่พอมันเสียหน้ามืด พอหน้ามืดก็อยากได้คืน พออยากได้คืนก็เล่นไปเรื่อยๆ จนมันเสีย พอเสียไปเยอะเราก็รู้สึกว่า อุ๊ย! ทำอะไรอยู่วะเนี่ย มันไม่มีเงินจะเล่นแล้ว ก็เดินดาวน์ๆ กลับบ้านแล้วก็แบบ อะไรวะ ทำไมชีวิตเป็นอย่างนี้ แย่ๆ เสียมากสุดคือ 1 ล้านบาท เสียประมาณนี้แหละผมก็เลยตื่นไง ไม่ไหวแล้ว กลัว”
แม่ไม่รู้ว่าติดพนัน ถ้ารู้คงโดนเละ “แม่อยู่กับผมตลอด แม่ก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่แม่ไม่รู้ว่าผมเล่น แต่แม่นอนอยู่กับผมตลอด เพราะอยู่บ้านเดียวกันตลอด แม่ไม่รู้ ถ้ารู้ก็โดนสิครับ รู้ก็เละเลย ใช้เวลาแบบนั้นกี่เดือนจำไม่ได้ แต่อยู่เป็นเดือน ผมก็แวะอยู่อย่างนั้น แต่เสียหนักสุดจนเบลอ จนหมดตัว หมดเงินเก็บ เราเตรียมเงินเก็บเป็นเงินสดไป คือเมื่อก่อนมันเป็นเงินสด มันไม่ได้โอน เราเตรียมเงินสดเราไป ก็โอเคเราอยู่ประมาณนี้ ประมาณ 2 ปีถึงแน่นอน เพราะว่าเราก็ทำงานด้วยอะไรด้วย แล้วเราก็อยู่กับแม่ แล้วก็ทีมงาน มีไปถ่ายรายการถ่ายอะไรกัน แต่อยู่ได้ประมาณไม่กี่เดือน ก็หมดหมดเลย เพราะว่าติดการพนันก่อน แต่ตอนหลังก็มาตื่นได้ก็งงกับตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมความเพลิน ความสนุกมันเป็นแบบนี้วะ”
เป็นบทเรียนสอนตัวเอง “สอนเลย ก็กลัวไปเลย (ไม่ไปเล่นอีกเลย?) เล่นดิ แต่ว่าไม่บ้า เล่นสนุกๆ มากกว่า มันก็มีบ้าง แต่ก็คงแบบว่าไม่ใช่บ้าเลือดแบบเมื่อก่อน เมื่อก่อนก็คึกคะนองด้วย”
แม่มารู้ตอนไหน “หลังๆ แล้ว กลับมาเมืองไทยแล้ว ตอนนั้นแม่ไม่รู้ ผมโทร.บอกให้พี่ชายเอารถไปขาย แล้วก็ส่งเงินไปให้ เมื่อก่อนมันลำบากต้องส่งเงินส่งอะไร รถคันนั้นก็คือขายเลย เพราะมันไม่มีตังค์แล้ว มันหมดตูดเลยตั้งแต่แรก แม่ก็ไม่งงที่ผมขาย เพราะผมขายรถเข้าออกอยู่แล้ว แต่ผมก็บอกเขา พอบอกเขาเขาก็เสียใจ เขาก็สอนเราว่าไม่น่าไปเล่นเลย เราก็รู้สึกผิดนะ ก็ไม่กลับไปจุดนั้น แล้วก็เอามาเล่าเตือนน้องๆ ทุกคน พอดีรายการเขาถามเรื่องการอยู่ต่างประเทศพอดี ผมก็ไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังหรอก แต่ผมก็จะบอกทุกคน ว่าเล่นมันต้องมีลิมิตนะ เล่นได้ไม่ผิด มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะต้องเตือนตัวเอง ไม่ให้ผีมันสิง”
มีแวะๆ เล่นอยู่ไหม “มันก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ้าเลือดเหมือนเมื่อก่อน คึกคะนองด้วย”
ดึงสติกลับมายังไง บางคนเอาตัวเองไม่อยู่ “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่หยุดไม่ได้มันเกิดจากอะไร แต่ตัวผมเองเสียขนาดนั้นมันก็ต้องหยุดไหม มันไม่มีจะกินแล้ว คนที่หยุดไม่ได้ ผมก็ไม่เข้าใจ เพราะผมไม่เคยไปอยู่จุดนั้น เราก็ไม่ว่าใคร เพราะเราไม่เคยไปอยู่จุดเขา เราก็ไม่ควรไปสันนิษฐาน แต่จุดที่ผมอยู่ ผมว่ามันก็แย่และดาวน์มาก มันก็สั่งสอนตัวเองพอแล้ว คนที่หยุดตัวเองไม่ได้ไม่รู้คืออะไร แต่ผมหยุดได้”
มองการพนันเป็นเรื่องยังไง “ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกตินะ สังคมเจริญแล้วมีหมด แต่ผมแค่มองว่ามันอยู่ที่ตัวคุณ คือแข็งพอไหม จิตใจแน่วแน่ไหม ไม่ใช่ไปหลงระเริงกับมัน เพราะไม่มีใครรวยหรอกพูดเลย มีแต่ความสนุก”
บางคนเครียดคิดสั้น “ไม่ถึงขนาดนั้นๆ แต่เครียดมาก เดินเบลอเลย เดินช็อตไปเลย ว่าตัวเองเป็นใคร เอาง่ายๆ เลยคือเอ๋อเลย งงเลยเข้าไปแล้วเงินหายไปไหนหมดวะเนี่ย แล้วจะกินใช้ยังไงต่อ โทรศัพท์เลยว่าโอนตังค์มาดิ๊ เอารถไปขาย แบบบ้าไปเลย ไม่คิดกลับไทย เพราะมันกลับไม่ได้ กลับยังไงมันเรียนอยู่ กลับก็กลับไม่ได้ แล้วคือกลับมาก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี เพราะถูกลงโทษพักงาน 2 ปีตอนนั้น กลับมาก็ไม่รู้ทำอะไร ก็เลยเอ๋อๆ งงๆ กับชีวิตอยู่เหมือนกันตอนนั้น”
ตัดสินใจเล่าในรายการ “คือรายการเขาถามพอดี มาอะไรจะเล่าไหม ผมก็เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะสอนเด็กๆ สอนคนที่เขาอยู่ต่างประเทศได้ดี ผมก็ไม่ได้เล่าในเชิงทุกข์ แต่ในวันนั้น ถ้าเป็นผมทุกข์ ทุกข์มากแต่ผ่านมาแล้ว ก็เลยเล่าเป็นสนุกๆ ไป เป็นอุทาหรณ์ไป”