Dune : ปฐมบทสงครามทะเลทรายข้าไม่ปลื้ม เพราะมันร่วนและหยาบหัวใจ รับชมได้แล้วที่ทรูไอดีสวัสดีครับ Scoop พิเศษที่ผมจะมารีวิวครั้งที่ 2 นี้ กับเรื่อง Dune : Part 1 หรือ ดูน ภาค 1 เป็นภาพยนตร์ Action + Adventure + Drama + Sci-Fi โดยผู้กำกับ Denis Villeneuve ผู้กำกับชาวแคนาดา ที่เคยฝากผลงานอินดี้น้ำดีสุดระทึกมาแล้วอย่าง Incendies (2010) , Prisoners (2013) และตะลึงมาแล้วอย่าง Enemy (2013) ก่อนจะได้รับโอกาสจากฝั่ง Hollywood ได้กำกับงานที่สเกลใหญ่มากขึ้นอย่าง Sicario (2015) , Arrival (2016) และ Blade Runner 2049 (2017) นอกจากเขากำกับแล้วรับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ Jon Spaihts ผู้เขียนบทพ่อหมอจอมเวทย์ จาก Doctor Strange (2016) และ Eric Roth ผู้เขียนบทชั้นครูในหนังออสการ์ยอดเยี่ยม จาก Forrest Gump (1994) มาแล้ว พวกเขาร่วมกับดัดแปลงพัฒนาจากบทประพันธ์ดั้งเดิมของ Frank Herbert ที่เขียนไว้เมื่อปี 1965 ให้สอดคล้องเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น เรียกว่าเฮียเขาได้ทีมงานคุณภาพทั้งนั้นซึ่งผลงานระยะหลังนี้เขากำกับมาแนว Sci-fi ติดต่อกันถี่จนผมให้สมญานามว่า เป็นเจ้าพ่อหนัง Sci-Fi คนใหม่ไปแล้ว แต่เขายังคง Concept ในการเล่าเรื่องแบบเรียบ ๆ ไม่หวือหวา ตามสไตล์ Feel หนังอินดี้อยู่ที่เคยกำกับมาเป็นลายเซ็นที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้กำกับสาย Emotion คนนี้ ผลงานในอนาคตที่เขาจะกำกับดูน่าสนใจมาก ทั้ง Dune : Part 2 , Mini Seires : The son ที่จะกลับมา Featuring กับ Jake Gyllenhaal อีกครั้ง ไหนจะคุมโปรเจค Ceopatra อีก เรียกว่าน่าดู น่าสนใจขึ้นไปอีกกว่าเดิม วันนี้ผมจะมารีวิว 5 เหตุผลที่คุณจะต้องดูภาพยนตร์เรื่อง Dune บนทรูไอดี ช่องทางที่มีระบบภาพชัดเสียงดัง มีอะไรบ้างรับชมกันได้เลยครับ1.) การเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไปแต่แอบแฝงด้วยทรงพลัง คือ อย่างที่ว่ามันเป็นภาคปฐมบท จึงต้องมีการปูเรื่อง เกริ่นนำความมาก่อนว่าใครเป็นใคร ซึ่งใช้เวลาแนะนำตัวนานมากจริง ถ้าคุณเคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้ คุณจะเข้าใจและยอมรับวิธีการเดินเรื่องของเขาให้ได้ ท่ามกลางข้อเสียก็มีข้อดีคือ หนังเล่าเรื่องได้เข้าใจง่าย ซื่อตรง ไม่สลับซับซ้อนกับปมที่ค่อย ๆ โผล่ทีละนิด ตัวละครแบ่งฝักฝ่ายชัดเจนว่าใครฝ่ายดีฝ่ายร้าย ทุกตัวมีบท Story เท่า ๆ กันดี Plot ดูไปนึกได้ว่าเหมือนหรือคล้ายกับเรื่องที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันชัดเจน ทั้งบทที่เก่าแก่กับบทสนทนาสไตล์จักร ๆ วงศ์ ๆ เน้นการต่อสู้รบระหว่างความดีกับความชั่วร้ายจนเป็น Concept ที่ล้าหลังไปแล้วแต่ยังขายได้อยู่ในยุคสมัยนี้ ขณะเดียวกันบทสนทนา Dialogue หลักพูดถึงหลักปรัชญา การตั้งคำถามต่อการดำรงชีวิต การเกิดและดับของสรรพสิ่ง อะไรเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องจนยืดเยื้อน่าเบื่อไปหน่อย ถ้าอยากดู Scene Action ต่อสู้ฟันดาบยิงปืนมันส์วินาศสันตะโรค่อนข้างผิดหวังเพราะคิดว่าเป็นจุดขายของแนวนี้ แต่เปล่าเลยนั่นเป็นเพียงส่วนประกอบย่อยเท่านั้นเอง 2.) Location ถ่ายทำโดยใช้สถานที่จริง คือ ทะเลทราย ทั้งเรื่อง มีการแต่งเสริมด้วยเทคนิค Visuals ด้าน Graphic พิเศษเพิ่มเติมลงไปทีหลัง ขณะดูจึงให้อารมณ์สมจริงมากกว่าการถ่ายทำในโรงถ่ายภาพยนตร์ ภาพถ่ายสวยงามมากตอนกลางวัน เวลาดูลมพัดกระทบผืนทรายรู้สึกถึงความพริ้วไหวตามคลื่นลมเหมือนอยู่ในสถานที่นั้นเลย ยิ่งถ้าได้ดูในระบบ I-max นี้ฟินหลายเท่าบอกไม่ถูก แต่ตอนกลางคืนภาพมืดไปหน่อย มองเห็น Details ไม่ค่อยชัด , Costume เครื่องแต่งกายจัดเต็มสไตล์ลิเกอวกาศแต่งองค์ทรงเครื่องทุกคน ต้องขอบคุณทีมงานฝ่ายนี้ที่ทำการบ้านมาดีว่าแต่ละคนใส่ชุดแบบไหนให้เข้ากับ Character ของตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าแต่ละคนจะมาแข่งต่อสู้รบหรือแข่งแต่งตัว Fashions กันแน่ 55 , Score ดนตรีประกอบได้คุณ Hans Zimmer ราชานักประพันธ์ดนตรีคู่บุญของเสด็จพ่อ Christopher Nolan จาก The Dark Knight trilogy (2005-2012) , Inception (2010) และผลงานล่าสุดอย่าง 007 : No Time to die (2021) มีส่วนช่วยสำคัญมากที่ทำให้การเดินเรื่องมีพลังอำนาจขึ้น ขึ้นจังหวะทีรู้สึก Impact ขนลุกซู่ทุกครั้ง บางช่วงก็เปลี่ยนโทนแอบน่ากลัวไปหน่อย แต่ยังเข้า Theme เข้าทางดีอยู่ , Effect อลังการงานสร้างมาก แต่ไม่ว้าวเท่าไหร่ เหมือนว่าเราคุ้นเคยกับพวกอุปกรณ์ Gadget เทคโนโลยีไฮเทคต่าง ๆ ตามภาพยนตร์ Blockbuster ดัง ๆ แนวนี้หลายเรื่องจนจำเจไปแล้ว แต่ยอมรับว่าอุปกรณ์แต่ละอย่างสามารถ Adapt เข้ากับชีวิตประจำวันหรือรูปแบบการต่อสู้ได้ทุกสถานการณ์ดีเชียว3.) เรื่องนี้ได้ทีนักแสดงที่ทรงคุณภาพหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Timothee Chalamet จาก Call me by your name (2017) , Rebecca Ferguson จาก Mission Impossible : Rogue Nation & Fallout (2015,2018) , Oscar Isaac จาก Inside Llewyn lewis (2013) , Jason Momoa จาก Aquaman (2018) , Dave Bautista จาก Guardian of the Galaxy Vol.1-2 (2014,2017) , Josh Brolin จาก Avengers : Infinity War & Endgame (2018-2019) เป็นต้น แต่ละคนแสดงดีได้รีบบทที่เหมาะกับ Character เรียกเสน่ห์ของตนเองออกมาได้เต็มที่ แต่ที่ติหน่อยคือน้อง Timothee ยังไม่สามารถแบกรับหนังที่มีสเกลใหญ่ขนาดนี้ได้ทั้งหมด จึงต้องให้ดาราท่านอื่นช่วยประคับประคองด้วยกัน เพราะน้องมาจากสายอินดี้ฟอร์มเล็กมาก่อน การมารับบทนำครั้งนี้จึงดูหนักเกินไป ต้องสะสมชั่วโมงบินให้มากกว่านี้หน่อยรับรองว่าดีงามเลย ส่วนเจ๊ Zendaya จาก Spiderman Trilogy (2017,2019,2021) กับ เฮีย Javier Bardem จาก No Country of old men (2007) เสียดายที่มาน้อยไปหน่อย แต่เป็น Keywords สำคัญอยู่แถม Zendaya เคมีเข้ากับ Timothee อยู่นะ ส่วนตัวร้ายบอสอย่าง Stellan Skarsgard จาก Nymphomaniac Vol.1-2 (2013) จะน่ากลัวก็น่ากลัวอยู่ จะตลกก็ตลกแต่เหมือนคุณปู่ในขวดซือิ้วขาวมากกว่า 55 เรียกว่าขนนักแสดงที่มาจากสายฝีมือจนถึงระดับดีกรีออสการ์มารวมดาวกันในเรื่องเดียวกันนี้รับรองถูกใจคุณมากแม้บางคนจะไม่ได้ประชันฝีมือใน Scene เดียวกันก็จัดว่าคุ้มค่าสมการรอคอยแน่นอน4.) ประเด็นของหนังเรื่องนี้ได้พูดถึงความรัก หน้าที่ การผดุงความยุติธรรมต่อชัยชนะจะเกิดขึ้นได้จะต้องแลกมาด้วยการเสียสสะ การสูญเสียเพื่ออิสรภาพเสรีของมนุษยชนต่อต้านกับความไม่เป็นธรรมของอำนาจมืด ซึ่ง Plot ที่เก่าล้าสมัยตามที่กล่าวไปแล้วช่วงเกริ่นนำก็เหมือนกับหนังแนวนี้ที่ยกเป็น Main หลักแล้วมันไปสอดคล้องกับเรื่องสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมเรื่องนี้เป็นบทประพันธ์เขียนตั้งแต่ปี 1965 เป็นช่วงอยู่ในยุคสงครามเย็นพอดี ความโหดร้ายของสงคราม การแก่นแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจโลก ความกลัวของระบบที่ส่งผลต่อมนุษย์ สังคมจึงถวิลหาสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายเป็นพิเศษจนต่อมากลายเป็นสื่ออิทธิพลต่อหนังยุคใหม่นิยมนำ Plot พระเอกต่อสู้ผู้ร้ายเพื่อช่วยนางเอก มาสร้างวนซ้ำ ๆ ไปไม่รู้จบแต่ก็ยังขายได้อยู่ทุกยุคทุกสมัย ส่วนหนึ่งเพราะมนุษย์ยังโหยหาใครสักคนที่จะเป็นตัวแทนทำหน้าที่ผดุงความยุติธรรม พิทักษ์สันติราษฎร์แทนเรา เป็นตัวแทนสังคมที่เป็นกระบอกเสียงต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์เพื่อทำให้เราปลอดภัยด้วยกัน ถ้าหาก Star Wars คือ การปฏิวัติมหาอวกาศอย่างเป็นรูปธรรม Dune ก็คือ การก่อกบฏมหาพิภพอย่างเป็นนามธรรม นั่นเอง 5.) ระยะเวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที ภาพรวมบอกเลยว่านานมาก ถ้าคนไม่ชอบวิธีการเดินเรื่องของผู้กำกับคนนี้มีหลับแน่นอน เพราะนี่คือยานอนหลับดี ๆ นี่เอง ภาคนี้เป็นภาคออเดิร์ฟอุ่นเครื่องก่อนจะเอาจริงใน Part 2 ปมบางอย่างยังกั๊ก ๆ เก็บไว้ปล่อยของทีหลัง ซึ่ง Style ที่คงเส้นคงวาอยู่เป็นการเล่าเรื่องที่เน้นพูดเชิงปรัชญาแฝงข้อคิดปรับเปลี่ยนทัศนคติมากกว่าฉาก Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบป๋า Michael Bay เวลาที่ใช้เดินได้เชื่องช้ากว่าจะผ่านแต่ละ Scene ได้หมดแรงกลางทางซะก่อน ข้อดีก็คือมี Scene ที่เราคาดเดาไม่ได้อยู่ว่าฝ่ายพระเอกจะเจอกับอะไรบ้าง ฝั่งร้ายจะมีแผนการอะไรต่อเหมือนเรานั่งดูแต่ละฝ่ายเล่นเกมส์หมากรุกอยู่ว่าแต่ละฝ่ายจะส่งหมากตัวไหนออกไป ตรงจุดนี้ทำได้ลุ้นน่าติดตาม ชิงไหวชิงพริบกันสนุก ช่วงองค์ 2 ไป 3 นี้เริ่มปรับโทนเข้ากับคนดูให้จูนเครื่องติดกับ Scene ต่อสู้กันจริง ๆ ซะที ได้ให้คนดูได้ Exercise กันบ้างแล้วหลังจาก Sleep เหนือย ๆ อยู่นาน ที่ติอีกทีคือ ถ้าตัดคำ Dialogue ที่มากมายเกินไปกับ Scene ภาพเปล่า ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปสักหน่อย หนังจะกระชับรัดกุมว่องไวมากกว่านี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ Way ของผู้กำกับเขาอีกนั่นแหล่ะ 55สำหรับใครที่ได้รับชมในโรงภาพยนตร์มาแล้ว หรือ คนที่ยังไม่เคยดู หรืออยากดูซ้ำอีกรอบ สามารถรับชมได้แล้วทางทรู ไอดี ระบบภาพคมชัด เสียงกระหึ่มไม่แพ้ในโรงภาพยนตร์เลยนะครับขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ที่รีวิวของผมชื่อ EMCONCEPT และ หนังที่รีวิวใน Facebook ชื่อ EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :twitter / dunemovie = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7จะดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !