นอกกจากเรื่อง red white & royal blue ที่กำลังมาแรงในปี 2023 แล้วนั้น ยังมีซีรีส์และภาพยนต์ LGBTQ+ ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องที่กำลังเป็นที่จับตามองอยู่ในขณะนี้ โดยในบทความนี้จะพาคุณผู้อ่านทุกท่านเข้าไปเรียนรู้เรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติมในแง่มุมใหม่ๆ ของชาว LGBTQ+ ที่แตกต่างออกไปกัน ผู้เขียนเลยอยากขอแนะนำซีรีส์ที่น่าสนใจ 2 เรื่อง และภาพยนตร์ 1 เรื่อง ไปดูกันเลยHeart Stopper เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น Heart Stopper กำลังเป็นซีรีส์ที่ถูกพูดถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ซีซั่นแรกที่เริ่มฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชื่อดังอย่าง Netflix ในปี 2022 โดยเป็นเรื่องราวของ นิค เนลสัน (แสดงโดย คิท คอนเนอร์) ที่ได้พบเพื่อนใหม่อย่าง ชาลี สปริง (แสดงโดย โจ ล็อกก์) ซึ่งบังเอิญได้นั่งข้างกันในปีการศึกษานี้ โดยนิคได้ทำความรู้จักชาลีมากยิ่งขึ้นและมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เรื่องราวดำเนินไปอย่างเรียบง่าย จนนิคได้รู้ว่าชาลีมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนกับ เบน โฮป (แสดงโดย เซบาสเตียน ครอฟท์) และทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับชาลีและเพื่อนๆ ของชาลีรวมถึงเรื่องเพศวิถี (sexulaity) ของตัวเองอีกด้วย ในเรื่องนี้จะเปิดมิติเกี่ยวกับชาว LGBTQ+ ให้กับผู้ชมและพาทุกคนไปเข้าใจชุมชน (community) ของกลุ่มคนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอว่าไม่ได้มีแต่เพียงเกย์ (gay) เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง เลสเบี้ยน (Lesbian) คนข้ามเพศ (Transgender) และในซีซั่นที่ 2 ซึ่งเป็นซีซั่นล่าสุดนี้เอง ก็ยังได้พูดถึง ผู้ไม่ฝักใจทางเพศ (Asexual) ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจมุมมองของกลุ่มคนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงมาจาก web comic ชื่อดัง ซึ่งแต่งโดย อลิซ โอสแมนด์ (Alice Oseman) ซึ่งได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างซีรีส์ชุดนี้เช่นกัน ซึ่งทางอลิซมองว่าเป็นหนทางให้วัยรุ่นได้เรียนรู้และเปิดใจกับตัวตนที่แตกต่างออกไปของเพื่อนๆ รอบตัวมากยิ่งขึ้น ณ ปัจจุบัน (2023) Heartstopper มีทั้งหมด 2 ซีซั่น และกำลังมีแผนจะสร้างซีซั่นที่ 3 ในเร็วๆ นี้ และทาง Netflix เองก็มีการออกมาประกาศแล้วว่าได้เริ่มเขียนบทแล้วสำหรับภาคต่อไป อย่าลืมไปติดตามกันนะ ! Young Royals เจ้าชาย เป็นอีกเรื่องที่ใครหลายคนพูดถึงซีรีส์ที่บุกเบิกพล็อต “เจ้าชาย” กับความรักต้องห้ามในแบบฉบับของ LGBTQ+ ทาง Netflix โดยซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์จากประเทศสวีเดน ซึ่งถือว่าเป็นก้าวใหม่ของซีรีส์แถบแสกนดิเนเวียที่เปิดสู่ตลาดโลก โดยเรื่องราวเล่าผ่านเจ้าชายองค์ที่สอง วิลเฮม( แสดงโดย เอดวิน ไรด์ดิ้ง) ที่เป็นเจ้าชายเจ้าปัญหาซึ่งกำลังอยู่ในวัยต่อต้าน โดยแม่ของเขามองว่าวิธีเดียวที่จะจัดการปัญหาดังกล่าวได้คือการส่งเจ้าตัวไปอยู่ในโรงเรียนประจำ เฮลเลชก้า (Hillerska) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เหล่าคนชั้นสูงรวมถึงราชวงศ์เข้าไปเพื่อหาความรู้รวมถึงสร้างเสริมเส้นสายของชนชั้นนำให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้นอกจากจะมีเจ้าชายที่โดดเด่นในชั้นเรียนปีที่ 1 แล้วยังมี ไซม่อน (แสดงโดย โอมาร์ รุดเบิร์ก) ซึ่งเป็นนักเรียนทุนได้เข้ามาเรียนที่นี้และเป็นหนึ่งในนักร้องนำของวงประสานเสียงประจำโรงเรียน ความแตกต่างทางชนชั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ยังนำไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างคาดไม่ถึง ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม ฐานะ เพศ และเชื้อชาติแล้ว ยังสะท้อนความเป็นธรรมชาติและการมีตัวตนของคนดูอย่างที่ซีรีส์หลายๆ เรื่องไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งถือเป็นอีกซีรีส์ที่พุดถึงในช่วง 2021 จากซีซั่นแรกที่สร้างความตื่นตาตื่นใจกับนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมด และซีซั่น2 ที่ผ่านมาก็ยังคงมีเสียงตอบรับที่ดีไม่แพ้กันและในซีซั่น 3 ซึ่งจะเป็นซีซั่นสุดท้ายนั้น ถูกถ่ายทำจบไปแล้วในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ทางทีมงานและนักแสดงแอบกระซิบไว้ว่าจะเป็นบทสรุปสำคัญสำหรับตัวละครทั้งสองอีกด้วย Mary My Dead Body แต่งงานกับผี เป็นภาพยนตร์จากประเทศไต้หวันที่ถือว่าแปลกใหม่สำหรับผู้เขียน โดยไต้หวันถือเป็นประเทศในแถบเอเชียที่ยอมรับและมีกฎหมายให้คนเพศเดียวกันสามารถแต่งงานและมีชีวิตในฐานะคู่สมรสได้ แต่อย่างไรก็ตามความรักของคนเพศเดียวกันก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ยากในสังคมเอเชียที่ถือเพศชายเป็นใหญ่ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาคุณเข้าไปเรียนรู้มุมมอง “ชายแท้” ในอุดมคติของสังคมไต้หวัน อย่าง วูหมิงห่าน (แสดงโดย เกรก ซู) ซึ่งเป็นตำรวจที่ประจำอยู่กองสืบสวนคดีฆาตรกรรมและได้บังเอิญหยิบซองแดง ซึ่งมีเส้นผมของ เหมา เหมา (แสดงโดย ออสติน หลิน) เกย์ที่ประสบอุบัติเหตุที่ไม่เป็นธรรมและเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน โดยตามความเชื่อแล้วผู้ใดที่หยิบซองแดงของคนตายจะต้องแต่งงานและเป็นคู่สมรสของเจ้าของซองแดงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโชคร้ายที่ตามมา หมิงห่านและเหมาเหมาจะต้องช่วยกันไขคดีและเผชิญกับความอยุติธรรมในเรื่องนี้ไปด้วยกัน และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ชายแท้อย่างหมิงห่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของ LGBTQ+ และความเป็นจริงของเพศอื่นรอบตัวเขานอกกรอบอุดมคติที่เขาเคยมีอยู่อีกด้วย ซึ่งในเรื่องนี้นำเสนอในมุม Comedy ที่แฝงไปด้วยแง่คิดต่างๆ ทำให้ผู้ชมคล้อยตามและเรียนรู้ไปกับตัวละครอีกด้วย หวังว่าภาพยนตร์และซีรีส์ที่กล่าวมาจะน่าสนใจและมีผู้อ่านแวะไปชมและมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะค่า :) end noteภาพหน้าปก :ผู้เขียน /ภาพประกอบที่1 : Instagram / ภาพประกอบที่2 : Instagram / ภาพประกอบที่3 : Instagram / ภาพประกอบที่4 : Instagram จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !