สวัสดีครับ/ค่ะ ยินดีต้อนรับครับ/ค่ะ ถือเป็นคำมาตรฐานในการเริ่มต้นทักทายของพนักงานห้างร้านต่าง ๆ รวมถึงร้านสะดวก และมันเป็นประโยคที่คุ้นหูทุกครั้ง ที่ได้ยินเมื่อใด เราก็จะต้องรู้ทันทีว่าเราได้มาถึงร้านที่เราต้องการบริการอะไรสักอย่าง ทั้งอาหารที่ช่วยกลบความหิวในกระเพราะ เครื่องดื่มที่ช่วยลดความแห้งผาดในลำคอ หรือการบริการที่ช่วยทำให้กิจธุระอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อเราได้รับบริการเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องราวก็มักจะจบลงแค่ตรงนั้น แต่ในนิยาย ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก ทั้ง 2 ภาคนี้ กลับหยิบเอาประเด็นเล็ก ๆ มาขยายใหญ่ให้หัวใจของเราได้สัมผัสถึงความรู้สึกบางอย่างที่เป็นเรื่องเชิงบวก ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก เล่าเรื่องราวของ คุณทกโก ชายไร้บ้านความจำเสื่อมที่ได้รับโอกาสให้ทำงานพาร์ตไทม์กะกลางคืนในร้านสะดวกซื้อ Always ของคุณนายย็อมย็องซุก แม้ร้านจะดูไม่สะดวกสบายและคุณทกโกเองก็ดูเงอะงะ แต่ด้วยความใส่ใจและเข้าใจ เขาค่อยๆ ช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาต่างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในร้าน ทำให้ร้านที่ไม่สะดวกแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่อบอุ่นใจที่ผู้คนต่างอยากมาเยือน เรื่องราวยังค่อย ๆ เปิดเผยเบื้องหลังชีวิตของคุณทกโกและการที่เขามาเป็นคนไร้บ้าน และต่อเนื่องมาถึงภาคที่ 2 ของชุดนี้คือ ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก ในวันที่คุณทกโกไม่อยู่ เป็นภาคต่อที่เกิดขึ้นหนึ่งปีครึ่งให้หลังจากเหตุการณ์ในเล่มแรก ในช่วงฤดูร้อนที่โลกเผชิญกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณทกโกได้ออกจากร้านไป ทำให้ร้านสะดวกซื้อ Always เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พนักงานพาร์ตไทม์กะกลางคืนคนใหม่ที่มารับช่วงต่อคือชายร่างใหญ่ที่มีประสบการณ์ แต่กลับดูงก ๆ เงิ่น ๆ และช่างพูดมาก แม้จะไม่มีคุณทกโก แต่ร้าน Always ภายใต้การบริหารของผู้จัดการสาขาคนใหม่และเจ้าของร้านคนเดิมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่ผู้คนต่างมาพบปะและเยียวยาจิตใจกัน เผยให้เห็นว่าแม้ในวันที่ไม่มีคุณทกโก ความอบอุ่นและความผูกพันในร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายจากเกาหลีใต้ เขียนโดย คิมโฮย็อน ซุ่งอาจจะไม่ได้โด่งดังในบ้านเราเท่าไหร่นัก แต่ชั้นเชิงในการสร้างเรื่องราวของร้านสะดวกซื้อนี้ กลับทำให้สนใจใคร่รู้ว่าคิมโฮย็อนมีประสบการณ์อะไรที่เอามาสร้างเนื้อหาเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อเรานึกถึงร้านสะดวกซื้อ เราก็จะนึกถึงแต่เรื่องอาหารและการบริการ แต่เมื่อได้อ่านจบ ก็ทำให้ได้สัมผัสว่าร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ก็เหมือนแหล่งรวมชีวิตที่มีเส้นทางอันหลากหลายวนเวียนเข้ามาและออกไป ดังเช่นในภาคแรกที่เปิดถึงเรื่อง ข้าวกล่องรสเลิศ อันเป็นการเปิดตัวของคุณทกโก ชายไร้บ้านที่ได้ช่วยเหลือเก็บกระเป่าเงินของคุณนายย็อมย็องซุก และได้ตอบแทนโดยการให้กินข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อที่คุณนายดูแลอยู่ จนถึงกับได้ชวนให้มาทำงานเป็นพนักงานของร้าน ในหนังสือยังได้บรรยายถึงสภาพแวดล้อมในกรุงโซลและชีวิตของคนไร้บ้านที่อ่านแล้ว ก็อาจจะเห็นภาพจนแทบจะจินตนาการถึงกลิ่นตัวของคนเหล่านี้ได้ว่าเป็นอย่างไร แม้มันจะไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าชั้นเชิงในการสร้างตัวละครและพื้นหลังของเรื่องนั้นค่อนข้างทำออกมาได้ดี หรือแม้กระทั่งด้านวัฒนธรรมของชาวเกาหลีใต้ที่เป็นเรื่องธรรมดา แต่หาดูได้ยากจากสื่อทั่วไป เช่น เจย์เอส ที่มีความหมายว่า Jaywalking คือพวกที่เดินข้ามถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีคำในเกาหลีว่า 무단횡단 (มุนดันฮึงนัน) ซึ่งในเกาหลีใต้ จะหมายถึงพวกที่ชอบทำอะไรฝ่าฝืนกฎเกณฑ์พื้นฐานของร้านและชอบสร้างความน่ารำคาญแก่ชาวบ้าน ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าในประเทศพัฒนาแล้วอย่างเกาหลีใต้ ก็ยังมีประชาชนกลุ่มที่คอยปั่นป่วนอยู่เช่นกัน โดยหนังสือได้แปลออกมาเป็นคำไทยง่าย ๆ ว่า เจย์เอส เท่ากับ จอมแสบ ที่ตรงตัวและเข้าใจง่าย โดยกลางเรื่องค่อนข้างจะเป็นการบอกเล่าถึงสิ่งของต่าง ๆ ภายในร้าน ควบคู่กับชีวิตของผู้คนที่มาเยือนและพนักงานที่ในแต่ละวัน พวกเขาล้วนต้องสู้ชีวิตและฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปให้ได้ เช่น พนักงานพาร์ทไทม์ที่เป็นนักศึกษา ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย แล้วเธอก็ได้รับการแนะนำให้ทำวิดีโอคลิปสอนการใช้เครื่องคิดเงินและการจัดเรียงสินค้าลงบนยูทูบ ที่เธอได้แต่ตั้งคำถามว่ามันจะมีประโยชน์อะไร แต่การทำนั้นได้ส่งผลต่อพนักงานร้านสะดวกซื้อมากมายจนทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น หรือในภาค 2 ที่เป็นเหตุการณ์ตอนที่คุณทกโกไม่ได้ทำงานที่ร้านแล้ว อีกทั้งยังเป็นช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทั่วโลกต้องเผชิญและชนะไปให้ได้ ความลำบากของตัวละครล้วนเต็มไปด้วยปัญหา แต่พวกเขาต่างก็ต่อสู้และเยียวยาความรู้สึกซึ่งกันและกันจนเกิดเป็นความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่ชวนให้รู้สึกดีตาม และประเด็นสุดท้ายที่ในหนังสือทำออกมาได้ดีเยี่ยม คือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวที่ยุคสมัยนี้นั้น ถือได้ว่าช่องว่างระหว่างวัยมีความห่างมากขึ้น จนทำให้บางครอบครัวค่อนข้างห่างเหิน ตัวละครหลักอย่างคุณนายย็อมกับลูกชายที่แทบไม่ได้คุยกัน คุณนายย็อมเป็นครูที่เกษียณมาเปิดร้านสะดวกซื้อเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองและพนักงาน ในขณะที่มินชิกลูกชายของเธอกลับต้องการให้แม่ตัวเองขายร้านและตึกทิ้งเพื่อเอาเงินไปลงทุนธุรกิจที่ตัวเองมีความรู้เพียงน้อยนิด โดยชี้ไปที่ประเด็นว่าคนรุ่นใหม่ค่อนข้างจะมั่นใจตัวเองจนขาดความรอบคอบ ในขณะที่คนแก่อย่างคุณนายย็อมที่ดูจะไม่ทันสมัย แต่เธอก็ยังมีความเก๋าในประสบการณ์และได้ใช้ชั้นเชิงในการโต้ตอบกับลูกชาย ที่พอจะสื่อได้ว่าคนแก่ที่ไม่ทันโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยพลั้งพลาดมาก่อน แล้วท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ของแม่ลูกที่ห่างเหิน ก็มาทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเมื่อมินชิกได้ทำความรู้จักกับแม่ของตัวเองมากขึ้นผ่านร้านสะดวกซื้อที่เปิดอยู่ 24 ชั่วโมง ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก ทั้งสองเล่มนี้ จึงเป็นเสมือนยาใจชั้นดีที่ช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้อ่าน ที่น่าจะช่วยสมานแผลใจของตัวเองได้บ้างเล็กน้อย หรือต่อให้ไม่มีความรู้สึกแย่อยู่ในใจ ก็อาจจะช่วยให้หัวใจได้พองโตขึ้น จนอาจจะทำให้คุณรู้สึกยิ้มตามไปกับเนื้อหาที่เรียบง่าย แต่อุดมไปด้วยความแฮปปี้ตลอดเรื่อง หรือถ้าหากคุณเป็นนักอ่านหน้าใหม่ที่กำลังมองหาหนังสือสักเล่มมาฝึกอ่าน ร้านไม่สะดวกซื้อสองเล่มนี้ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของคุณผ่านเรื่องราวอันแสนอบอุ่นเหล่านี้ได้ และอาจจะทำให้คุณตกใจกับตัวเองได้เลยว่าเหตุใดที่ตัวเองสามารถหนังสือสองเล่มที่มีเนื้อหารวมกันหกร้อยกว่าหน้าจบลงได้ในเวลาไม่ถึงเดือน และเมื่อได้อ่านจบแล้ว อาจจะทำให้ทุกก้าวย่างที่คุณเดินเข้าร้านสะดวกซื้อได้สังเกตถึงความเป็นไปในร้านที่อยู่ใกล้บ้านของคุณก็ได้ ร้านสะดวกซื้อที่ไร้ความอบอุ่นจากผู้คน ก็คงไม่ต่างอะไรกับกับตู้เย็น และหวังว่าร้านสะดวกซื้อออลเวย์ส จะช่วยเติมเต็มที่ว่างให้เสมอ เหมือนกับชื่อของมัน