เรื่องราวจากทีมงานเบื้องหลังทะเลทรายระอุ "Furiosa: A Mad Max Saga"
คุณค่าในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): หนึ่งในหลักการสำคัญของจอร์จคือหากสิ่งใดอยู่รอดได้ สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่ามาแต่กำเนิด และคุณค่านั้นอาจเป็นความงดงาม อาจเป็นเครื่องจักรประหลาด อาจเป็นโครงสร้าง อาจเป็นการปฏิบัติ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะฆ่าอันธพาลที่อยากจะฆ่าเราได้ แต่ความงดงามนั้นคือการค้นพบบางสิ่ง โดยให้ทีมงานผู้ชำนาญจากภาคก่อนพัฒนาความงดงามนั้น ซึ่งแทบจะเป็นทีมเดียวกันทั้งหมดที่เรากลับมาร่วมงานด้วยกัน พร้อมด้วยข้อกำหนดในครั้งนี้บางอย่าง เพราะเราต้องกอบกู้ทรัพย์สิน ซึ่งมันต้องเป็นสิ่งที่มีค่าพอจะรักษาเอาไว้ เราต้องการให้ตัวเองมีเหตุผลว่าทำไมจึงควรคู่แก่การรักษา ซึ่งยิ่งช้ามันก็จะยิ่งยากขึ้นและยากต่อการค้นหามากขึ้น หรือทำให้เรารู้สึกว่าคู่ควรกับมัน บางครั้งมันอาจเกิดจากความผิดพลาดของตัวเราเอง และเราต้องพยายามลองทำสิ่งอื่น เราใช้หลักการเดียวกับเมื่อก่อนและระบบเดิมหลายอย่าง ซึ่งมันทำให้เราเกิดคลังสินค้าที่เราหยิบมาใช้ได้ จากนั้นลองใช้มันอย่างเต็มที่
ป้อมปราการทั้ง 3 แห่งดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): แต่ละแห่งทั้ง ซิทาเดล, แก๊สทาวน์, บุลเล็ต ฟาร์มต่างต้องมีรสชาติ กลิ่นอายที่ต่างกันไป โดยเฉพาะซิทาเดลที่เป็นหินเหมือนพุ่งออกจากโลก ดูดมาจากส่วนที่อยู่ในพื้นดินด้านล่าง ผนังของห้องบัลลังค์เหมือนกับพื้นที่ส่วนที่เหลือของซิทาเดล เป็นถ้ำที่ส่วนใหญ่จะเป็นหินของพื้นดิน ส่งน้ำขึ้นไปในอากาศ มันไม่ใช่แค่ความทรงจำในอดีตของอิมมอร์ตั้น ใครก็ตามที่เคยมีอดีตกับดินแดนอันน่ากลัวแห่งนี้... สถานที่ที่มนุษย์ในประวัติศาสตร์ต่างหาทางกลับมายังโลกปัจจุบัน
สำหรับ แก๊สทาวน์ ให้เรานึกถึงฉากเหล่านั้นด้วยคูเวต โครงเหล็กจะตั้งอยู่บนไฟ พวกอูฐและทะเลทราย ฝุ่นทราย ต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยธาตุกำมะถันและสีดำ แก๊สทาวน์ โดยหลักมีหน้าที่ส่งน้ำมันจากกลางดินแดนอันไร้ทิศทาง ยังคงมีการสูบน้ำมัน ผลิตน้ำมัน และหาเงิน เราไม่เคยเรียนรู้บทเรียนในอดีต เราต้องการเชื้อเพลิงเพื่อทำการต่อสู้ต่อไป เพื่อขับรถ เพื่อซื้ออาวุธ… ป้อมปราการ แก๊สทาวน์ ทำให้เราเห็นรายละเอียดในด้านที่ต่างออกไปของชีวิต
เหตุผลแห่งการล่มสลาย สำหรับการล้มหายตายจากในที่สุด คือความจริงที่เราไม่สามารถนำทุกอย่างอกมาจากโลกได้ และ Bullet Farm ยังคงมีการพ่นดีบุกและถ่าน มีการเผาไหม้เพื่อผลิตกระสุนมากขึ้น ความตายเพิ่มขึ้น บุลเล็ตฟาร์ม เป็นแหล่งผลิตจากชุดภาพถ่ายของเซอร์รา พีลาดา ซึ่งเป็นเหมืองทองในบราซิลที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปี 1986 มีคนงานจำนวนมากปีนขึ้นไปบนบันไดไม้ที่ผุพังพร้อมการแบกกระสอบขนาดใหญ่บนหลัง แต่ละคนจะได้รับเงินด้าบนเขา นั่นคือบุลเล็ต ฟาร์มของเรา มนุษย์ต้องลากตัวเองขึ้นไปบนเขาเพื่อความอยู่รอดในอีกช่วงเวลาหนึ่ง อีกวันหนึ่ง นั่นคือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่นั่น
ซิทาเดลต้องใช้หิน แก๊สทาวน์ ต้องใช้เหล็ก ส่วนเหมืองเราให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทที่มีซุ้มประตูเหล็กเก่าแก่ ซึ่งเป็นโครงสร้างแบบยุคกลางของปราสาทที่สร้างเป็นส่วนหน้าของเหมือง เมื่อพวกเขาเริ่มเปิดเหมืองก็จะพบกับ Bullet Farm
วอร์ริกส์
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): เราถูกควบคุมการปรับเปลี่ยนบางส่วนด้วยเรื่องราว วอร์ริกในเรื่อง “Fury Road” เหมือนรถในอดีตของอิมมอร์ตั้นที่มีความน่าประหลาดใจขึ้นนิดหน่อย มันเหมือนรถแทรคเตอร์ยักษ์ และมีความเหมือน Slouching Towards Bethlehem ครั้งแรกเราพบเขาเมื่อ 10 ปีหรือนานกว่านั้น ช่วงก่อน 10 ปีนั้น เขาอยู่ได้แค่ในความคิดของผม จนตอนนี้จอร์จคิดว่าคงจะดาหากทำให้ดูแวววาวขึ้น เขาเหมือน Louis XIV และ Sun King มากกว่าเป็น Napoleon เก่าๆ ที่เห็นในเรื่อง “Fury Road” วอร์ริกจึงมีความกว้าง งดงาด ไร้ที่ติกว่า เราสร้างตำนานคันนี้ขึ้นมาและลากผ่านดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า เพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของเขา
พาหนะต่างๆ
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): ครั้งนี้ดีเมนทุสเป็นหัวหน้าฝูงไบค์เกอร์ ซิทาเดล, แก๊สทาวน์ และบุลเล็ต ฟาร์มแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวหลังจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พาหนะหลักที่เราต้องสร้างคือวาเลนต์ ซึ่งเป็นทั้งความรักและการแก้แค้นของพวกเรา ครั้งนี้ยังเป็นระบบเดิม แม้ว่านี่คือ Slant 6 ไม่ใช่ V8 มีการเชื่อมกระแสไฟและใช้ซูเปอร์เทอร์โบโหมด โดยปกติจะเป็นพาหนะใช้สำหรับการหลบหนีอย่างที่เคยเป็นมาโดยตลอด มีการตกแต่งที่สะดุดตา แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือสีของหัวใจและความรัก.. ที่เป็นแค่การสาดสีแดง
แครงกี้ แบล็ค เป็นพาหนะที่สร้างขึ้นมาเพื่อสงคราม เหมือนรถทั่วไปที่เหมาะกับฟูริโอซ่า มันเป็นของสโครทัสและเครื่องจักรสงครามของเขา ช่วงการออกแบบไปได้ครึ่งทางจอร์จต้องการให้พาหนะเหล่านี้วิ่งขึ้นไปบนภูเขาทราย มอเตอร์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเหมาะจะนำมาติดตั้งด้านหลังมากกว่า จนกลายเป็นรถที่ใช้ปีนเขา นี่คือรถที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบ V8 ด้านหลังและกลายเป็นพาหนะของฟูริโอซ่า
รถมอเตอร์ไซค์/นักขี่ทั้งหลาย:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): บางครั้งจอร์จต้องการให้มีรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คันให้ดูวุ่นวายและขี่ไปมาทั่วดินแดนอันรกร้างว่างเปล่านี้ ฉะนั้นเราจึงมีการแตกมอเตอร์ไซค์เป็น 3 กลุ่มต่างกัน มีทั้งผู้ที่พร้อมจะไปจนสุดอารยธรรม ผู้ที่มีความพร้อม ผู้ที่ห้าวพอจะมารวมกลุ่มนี้ ผู้ที่ต้องการแก้แค้นทั่วดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า และรถมอเตอร์ไซค์ควรมีหน้าตาแบบไหน ที่เห็นชัดเจนคือกลุ่มนักขี่ของเราที่ก่อโจรกรรมมีความเป็นพวกพ้องเดียวกัน พวกเขาคือตัวเลือกที่ดี ทั้งพวกฮาร์เลย์ รถคันใหญ่ และอะไรอีกหลายสิ่งจึงมารวมกันเป็นกลุ่มนักขี่ได้ ทหารกองหนุน ตำรวจ ผู้ดูแลนักโทษและนักโทษเอง สุดท้ายต่างพบว่าตัวเองถูกทำทัณฑ์บนเมื่อโลกที่เหลือได้หายไป พวกเขายังคงเกาะกลุ่มกัน ยังคงมีรถมอตเรอ์ไซค์ อาวุธ เครื่องมือ และไร้ศีลธรรมที่จะทำให้เขาแตกแยกกันได้ กลุ่มผู้ทรมาณตัวเองที่เรามองว่าเป็นผู้สืบทอดจากกลุ่ม SAS [Special Air Service] อาจเป็นผู้หลบหนีจากสงครามครั้งใหญ่ล่าสุดบริเวณชายฝั่งตะวันออก พวกเขาเดินทางผ่านทะเลทราย จดจำความน่ากลัวไว้ในหัวใจทุกคน เพราะพวกเขาต่างรู้ดีในสิ่งที่ทำให้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ระหว่างนั้นยังมีผู้ที่กระโดดข้ามตึกและพาราชูท บรรดาผู้ทรมาณตัวเองกลายเป็นกลุมสำคัญในทีมของดีเมนทุส นำโดยออคโทบอส ผู้ลี้ภัย ผู้ปรบมือให้สัญญาณที่ต้องรีบไปยังทะเลทรายเพื่อแตกตัวออกไป และไม่มีวันขาดแคลนกลุ่มเหล่านี้เลย เดอะ รูบิลลีส์ เพื่อนผิวขาวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายชั่วอายุคน พวกเขาถูกละอองกัมมันตรังสีจากชายฝั่ง ทำให้เรามีกลุ่มผู้ที่มีทั้งความยืดหยุ่นและน่ารังเกียจในตัว พวกเขารับมือได้ดีกับการล้างแค้นอย่างเลือดเย็นและการสูญเสียใครสักคนไปกับฝุ่นละอองและความเศร้า
รถของดีเมนทุส
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): เราต้องการให้ดีเมนทุสมีรถที่ทำให้เขาดูต่างจากคนอื่น มีทางเดียวคือการอัพเกรดรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ทำให้มันดูเกลื่อน รถของเขาถูกผลิตจากวัสดุหลายชนิด ตอนแรกผมคิดภาพว่าเขาเหมือน Icarus ที่หล่นมาจากท้องฟ้า มันทำให้เราเลือก Rotec 7-ไซลินเดอร์ R2800 โดยทั่วไปแล้วมันคือเครื่องยนต์ของเครื่องบิน มี 2 ล้อขนาดใหญ่และผลิตรถมอเตอร์ไซค์ด้านข้างขึ้นมาอีกคัน มันเคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งโดยถูกติดตั้งทั้งแนวนอนและแนวตั้ง แต่เกิดปัญหาทางเทคนิคมากมาย ทั้งเปลืองน้ำมันและพวกเขาต้องเปิดใช้งานเป็นเวลานานจึงค่อยปิด และไม่มีการพูดว่า “สตาร์ทเครื่องอีกรอบกัน” มันต้องมีการรักษาสภาพอย่างหนักหน่วง แต่เหมือนเพื่อนสาวที่ดูแลสภาพดี มันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา รถม้าเกิดขึ้นอย่างตั้งใจให้มีการอัพเกรด เรานึกภาพว่าเขาเข้าสู่ซิทาเดลในบรรยากาศที่ถูกโอบล้อม คล้ายกับซีซาร์วิงกลับมาที่โรม และผมเคยจับคู่เขากับ BMW R18s โดยให้ม้าสีดำขนาดใหญ่นี้อยู่หน้ารถม้า แน่นนว่าจอร์จทำได้ดีว่าผมเช่นเคย มีการเพิ่มรถม้า เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ จนกลายมาเป็นม้าที่สำคัญในเรื่องนี้ ความสิ้นเปลืองคือสิ่งไม่จำเป็นในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า หาก 2 ตัวคิดว่าเพียงพอแล้ว การมี 3 ตัวย่อมดีกว่าเดิม เราจึงอัพเกรดรถม้าให้ทั้งคู่ตรงกลางและ R18s อีกทั้งสองฝั่ง
ภาพรวมของภาพยนตร์
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ผมรู้ว่า “Furiosa” จะต้องมีความหลากหลายในเรื่องมากขึ้น เรายังคงตัวละครหลักใน “Fury Road” แต่เพราะเรามีการเข้าสำรวจสถานที่อีกหลายแห่ง มีบรรยากาศและตัวละครใหมๆ เรามีหลายภาพที่อยากเล่าเรื่อง ในเรื่อง “Fury Road” ความรู้สึกส่วนใหญ่จะเหมือนติดอยู่ในทะเลทรายและซิทาเดล เราเห็นแต่ซิทาเดล แต่เราได้ยินชื่อสถานที่อื่นในเรื่อง เราไม่เคยไปเยือนที่เหล่านั้น ป้อมปราการอื่นล้วนมีความเกี่ยวข้งกัน และพวกมันสร้างบริวารที่อยู่รอบซิทาเดล
การเดินทางผ่านดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ภาพรวมของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยถนนบนทะเลทรายอย่างที่เราเห็น ตัวละครดีเมนทุสเขาเดินทางข้ามผ่านทะเลทราย เราจะเห็นวิวภูเขาทรายและอีกหลายมุมที่น่าทึ่งมาก มันช่วยเพิ่มบรรยากาศในทะเลทราย บวกกับการที่เราได้เห็นเมืองป้อมปราการที่เชื่อมกับถนนบนทะเลทรายสายเดียวกันนี้ เมื่อเราเข้าไปอยู่ในป้อมปราการเหล่านั้นจะเหมือนโลกอีกใบหนึ่งเลย มีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ใช้ ล้วนสอดคล้องเข้ากับเมืองป้อมปราการเหล่านี้มาก
การถ่ายทำที่ออสเตรเลีย
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): เรื่อง “Fury Road” ถ่ายทำกันที่แอฟริกาใต้ ซึ่งจะมีหมอกปกคลุมกองถ่ายตลอดเวลา พอเราเริ่มถ่ายทำที่ออสเตรเลีย เรารู้สึกว่ามันดูสดชื่นและแตกต่างกันมาก เพราะทำให้เรารู้สึกรุนแรงมากขึ้น ทำให้เราทำงานได้ดีมาก ท้องฟ้าก็มีสีที่ต่างออกไป มีความเข้มกว่า และเรามีท้องฟ้าหลากสีใน Broken Hill เขตชนบทของออสเตรเลีย ทุกอย่างมันช่วยปรับเปลี่ยนภาพโดยรวมได้ แต่ไม่หลุดจากกรอบของสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
การควบคุมฉากแอ็คชั่น
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ผมคิดว่าการควบคุมการฉากแอ็คชั่นเกิดขึ้นเยอะมากช่วงที่มีการจัดวางภาพไว้ล่วงห้นาก่อนถ่ายทำ และจอร์จมีระบบเชื่อมต่อดาวเทียมที่ทำให้เราได้มองดูแบบเรียลไทม์ กองถ่ายย่อยหรือกองถ่ายฉากต่อสู้กำลังถ่ายทำอะไรอกันอยู่ แต่ละเทคจอร์จจะคอยแสดงความเห็นของเขา ต้องปรับเปลี่ยมหรือเขาต้องการอะไรแบบไหน ปกติจอร์จจะคอยอยู่ควบคุมทุกการเคลื่นไหวอยู่แล้วครับ
การหลีกเลี่ยงเงา
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): เรามักจะมีการซักซ้อมทวงท่ากันก่อนช่วงกลางคืน จากนั้นถ่ายทำกันในวันต่อมา เมื่อเรามีความมั่นใจแล้วก็จะไปจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมไฟที่เหมาะสม เพราะกล้องต้องเคลื่อนที 360 องศา เราต้องระวังเรื่องเงาให้ได้มากที่สุด ทุกทิศทางของแสงล้วนมีความสำคัญมาก
การเก็บภาพการต่อสู้
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ในหนังแนวนี้มีวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่หนักหน่วง มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเยอะมาก เราต้องการให้นักแสดงอยู่บนพาหนะต่างๆ บนรถบรรทุกอย่างปลอดภัยและเราสามารถเก็บภาพเขาไปได้ด้วย เราต้องใช้รถพร้อมแขนที่มีการติดตั้งเครนและหัวที่ทำให้เราติดตามการแสดงทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิด มันช่วยทำให้เราไปถึงเป้าหมายในการเก็บภาพการแสดง และทำให้พวกเขาเหมือนได้อยู่ในบรรยากาศจริงมากด้วย
ความสมจริง
แอนดรูว์ แจ็คสัน (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ทั้งหมดต้องอิงจากโลกแห่งความจริง นั่นคือสไตล์การทำงานของเรา ต้องอิงจากความเป็นจริงและมีการอ้างอิงถึงได้ หากเรามีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน เราก็มีสิ่งที่แมตช์กันได้ เราต้องสังเกตจากโลกแห่งความจริงและแน่ว่าผลงานนั้นให้ความรู้สึกที่สมจริงด้วย เช่นเดียวกับเรื่อง “Fury Road” และในเรื่องนี้… หนังเรื่องอื่นที่ผมทำงานด้วยก็เช่นกัน เพราะความสมจริงคือสิ่งสำคัญในการทำงาน ผมไม่ใช่คนที่ทำงานในหนังแฟนตาซีหรือหนังที่มีสัตว์ประหลาด ผมอิงจากโลกแห่งความจริงเป็นหลัก นันคือสไตล์การทำงานของผมส่วนใหญ่มากกว่า
ตอนนั้น กับ ตอนนี้
แอนดรูว์ แจ็คสัน (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): ที่เห็นได้ชัดคืออุปกรณ์มีการพัฒนาไปมาก และทุกอย่างทำให้ดูสมจริงมากขึ้น ผมคิดว่าหนึ่งในพื้นที่ขนาดใหญ่ของผมที่เปลี่ยนไป คือเอ็ฟเฟ็กต์ของไฟ น้ำ ฝุ่นละอองและควัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความท้าท้ายในการสร้างความสมจริงมาก แต่ปัจจุบันนี้เราแทบไม่คิดถึงมันด้วยซ้ำ แค่จับคู่สิ่งที่มีอยู่และเก็บภาพพาหนะหรือบุคคลที่มี วิธีการเก็บภาพของเราและแปลงเป็นงาน 3 มิติทำให้ทุกอย่างแม่นยำและดูสมจริงมาก ไม่มีข้อกังขาใดๆ เลย มันเป็นแบบนั้นมาอย่างยาวนาน รู้สึกเหมือนทุกพื้นที่มีการพัฒนาอย่างชัดเจน อุปกรณ์ต่างๆ มีการพัฒนาไปตามกาลเวลา และเป็นเวลานานนับ 10 ปีแล้วจึงเกิดการพัฒนาขึ้นเยอะมาก มีหลายฉากที่มีการแทนที่หรือเพิ่มจำนวนพาหนะ มีบางฉากที่เราใช้พาหนะจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เพราะมันดูถูกต้องตามต้องการที่สุด เทคโนโลยีช่วยเรื่องการจับคู่ความเหมาะสมได้มาก โดยเฉพาะพาหนะที่มีอยู่จริง แค่เก็บภาพถ่ายและสแกนลงไป จากนั้นเราก็ได้ผลงานที่คัดลอกออกมา ส่วนเอ็ฟเฟ็กต์เรื่องฝุ่น ทราย และสิ่งเล็กจิ๋วก็ทำออกมาได้ดีมาก การผสมผสานวัตถุเหล่านั้นดูสมจริงอย่างไร้ที่ติเลย
เสื้อผ้าสำหรับความอยู่รอด
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ในดินแดนอันรกร้างว้างเปล่า แทบไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นกฎระเบียบหลักการ ทุกสิ่งที่พวกเขาหาได้ล้วนต้องมีประโยชน์ และจอร์จก็รักจุดนั้นหากจะมีประโยชน์ 2 ด้าน ไม่ใช่ว่าจะประดับอไรไม่ได้เลย แต่พวกเขาใช้ข้าวของเหล่านั้นเพื่อการดำรงชีพ ที่เห็นชัดเจนคือดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าไม่มีซูเปอร์มาร์เกก็ต พวกเขาผลิตเสื้อผ้ากันเองจนถึงที่สุด พวกเขาใช้แค่สิ่งที่หาได้จากที่นั่น เช่น กระดูก หนัง ในภาคนี้เรายังมีดินแดนอันเขียวชอุ่ม จึงพอมีความเป็นไปได้ที่จะมีแหล่งน้ำที่ดี เราสามารถปลูกสิ่งต่างๆ ด้านนอกได้ จากนั้นเมื่อเข้าไปในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าที่มีขอบเขต แน่นอนว่าต้องมีเรื่องของจุดหมาย หลักการสำคัญอีกอย่างของจอร์จคือ “ทำให้เรียบง่ายไว้” เราทำแบบนั้นจนไม่รู้สึกว่ากำลังทำอยู่ อย่างตัวละครริคทัสการตอกเข็มลงไปเป็นเรื่องที่สนุกมาก ทุกสิ่งที่พวกเขาสวมใส่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ มันคือการใช้ลมหายใจ ไม่มีใครหายใจได้เลยเพราะมีแต่มลพิษ ทุกคนทรมาณจากโรคภัยไข้เจ็บ และร่างกายของอิมมอร์ตั้นก็เน่าเปื่อย เขาเลยสวมชุดเหมือนกระดองปกป้องตัวเอง มันไม่เชิงเป็นการตกแต่งซะทีเดียวแม้ว่าจะดูพร้อมออกรบก็ตาม เรามีการเปรียบเทียบเรื่องช่วงเวลาลงไปด้วย แต่ทั้งหมดก็เพื่อความอยู่รอด
ภาพลักษณ์ของฟูริโอซ่า
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ตัวละครฟูริโอซ่าของอันยา เทย์เลอร์-จอยมีหลายลุคมาก เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในกลุ่มของพวกเขาแล้วเธอได้รับการดูแลจากช่างเสื้อยอดฝีมือของเธออย่าง ไฟ นิโคลส์ การร่วงานกับเธอสนุกมาก ชื่อของเธอเหมาะกับเธอเป็นที่สุด เธอสวมบทบาทได้อย่างคุ้นเคย อย่างที่เคยพูดไว้เลยว่าจอร์จ มิลเลอร์ผู้สร้างภาพยนตร์ที่เก่ง จินตนาการของเขาคือสิ่งที่เราถ่ายทอดออกมาให้เห็น ฉันได้ปะติดปะต่อหลายอย่างขึ้นมาเพื่อฟูริโอซ่า และเรานำมาแสดงให้เขาเห็นซึ่งเขาชอบมันมาก อันยาก็มีความสุขที่ได้สวมใส่ผลงานของเรา ฉันคิดว่ารองเท้าบูทส์ที่เราปรับเปลี่ยนทำให้เธอสบายและอุ่นใจมาก ไม่อย่างนั้นคงจะลำบาก มีหลายครั้งที่ฉันคุยอย่างเปิดใจว่านักแสดงจะรู้สึกอย่างไรกับตัวละครและเรื่องอื่นๆ แต่ฉันคิดว่าตัวละครฟูริโอซ่ามีความลงตัวมาก นั่นคือตัวตนของเธอเลย และอันยาดูมีความสุขกับสิ่งที่สวมใส่ เธอดูน่ารักมากค่ะ
ดีเมนทุสและเจ้าหมี
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ทุกอย่างเกี่ยวกับดีเมนทุสและเท็ดดี้แบร์... ฉันพบว่าดีเมนทุสเป็นตัวละครที่มีความยากในการออกไอเดียค่ะ ฉันจำได้ว่ามีการค้นหาข้อมูลทั้งกูรู ผู้อยู่ในกระแสความป๊อป ตัวละครที่มีสีสัน ผู้นำเผด็จการ ทั้งหมดล้วนดูคล้ายกับตัวละครนี้ จากนั้นเรามีการประชุมผ่านซูมเกี่ยวกับตัวละครดีเมนทุสร่วมกับนิโค [ลาธอริส] และอีกหลายเรื่อง ซึ่งฉันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากนั้นฉันคิดว่าต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างผู้นำเผด็จการกับกูรู นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีมาก เขาขี่รถมอเตอร์ไซค์และเป็นผู้ออกตัว แจ็คเก็ตตัวเล็กที่ดูตลกนั่นทำให้ดูเหมือนผู้นำหรือเป็นสิ่งที่ควรจะถอดออกกันแน่นะ? เราให้ผู้ดูแล แก๊สทาวน์ เป็นคนสวมใส่ โดยมีไอเดียวาหากเห็นจากที่อื่นเราจะได้รู้ว่าเขาเอามาจากที่ไหน เมื่อเขามีอำนาจมากขึ้นเขาก็เพิ่มภาพลักษณ์ที่มองเห็นได้มากขึ้น มันเหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งที่เราใส่เพิ่มเข้าไป ไม่ได้มีความหมายอื่นใด ที่เห็นชัดเจนคือเรามีการผลิตผ้าคลุมกระโดดร่มสีขาวขึ้นมา ส่วนเรื่องหมีฉันคิดว่าเพราะเขาคือตัวละครที่ถูกทำร้าย มันคือสิ่งที่มาจากตอนเขาเป็นเด็ก และหมีของเราก็ได้มาจากหมีที่เป็นต้นฉบับทาง eBay ในประเทศอังกฤษ จากนั้นมีการผลิตขึ้นอีกหลายตัวโดยทีมงานที่มีความสามารถในออสเตรเลีย จนหมีกลายเป็นสิ่งสำคัญในตัวละครดีเมนทุสของคริส เฮมส์เวิร์ธไปเลย
ความสร้างสรรค์
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ฉันคิดว่ามีการใส่รายละเอียดความสร้างสรรค์ไปเยอะมาก จอร์จพูดเสมอว่า “การที่เราอยูในดินแดนรกร้างว่างเปล่า มีความสกปรก สิ้นหวังและทุกอย่าง ไม่ได้หมายความว่าจะขาดความน่าสนใจหรือความสวยงามไปนะ” มันไม่ใช่สำหรับทุกอย่าง แต่บางคนก็พยายามทำเสมอ ฉันหมายถึงพวกเขาไม่มีอะไรจะทำแล้ว ตอนนี้ผู้คนก็มาถักไหมพรมและโครเชต์นั่งดูทีวีกัน แต่เราคิดว่าในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่านี้ พวกเขาคงใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการทำให้เสื้อผ้าดูน่าสนใจและมีความโดดเด่นเฉพาะตัว นั่นคือสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้
ภาพลักษณ์
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ฉะนั้น แก๊สทาวน์ จึงอิงจากภาพในอดีตที่น่าสนใจยุค 1920 ที่ผู้คนตัวเปื้อนน้ำมัน ฉันสังเกตผู้คนในสถานการณ์เหล่านั้น พวกเขาดูเปื้อนน้ำมันสีดำที่เหนียวหนืดตั้งแต่หัวจรดเท้า มันเห็นภาพชัดเจนมาก จากนั้นในส่วนของบุลเล็ต ฟาร์ม เราเลือกใช้สีเหลืองน้ำตาลแบบธาตุกัมมะถัน บุลเล็ตฟาร์มmer จะมีวิกสีน้ำตาลที่ดูเปื้อนดินกระสุน ทำให้ดูมีความเป็นตัวเองมาก สำหรับผู้ที่ทำงานในเหมืองนี่คือลุคที่เหมาะสมกับพวกเขา เราไม่มีเครื่องแบบอะไร แต่เรามีการย้อมสี ลงสี และทำทุกอย่างให้มีสีสันแบบนั้น เสื้อผ้าต้องมีการปกป้องให้ได้มากที่สุด แต่เนื่องจากตัวละครเหล่านี้ยากจนมาก มันก็จะดูเหมือนผ้าขี้ริ้วไปหน่อย
จินตนาการ
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): จอร์จมีมันสมองที่น่าทึ่งเรื่องรายละเอียดของภาพยนตร์ เขามีภาพทั้งหมดในหัวของเขาเป็นปกติมาก เขาจะถ่ายทอดออกมาและเราทุกคนพยายามเก็บข้อมูลทุกอย่างลงสมอง หากมีเครื่องจักรที่เสียบเข้ากับสมองและฉายภาพยนตร์ออกมาได้ เราก็จะมีผลงานออกมาเลยทันที เขารู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร หน้าที่ของผมคือพยายามทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันกับเขา ผมรู้สึกว่าจินตนาการของเขามีความลื่นไหลมากครับ
โบรคเก้น ฮิลล์
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): ตอนที่กำหนดตารางการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมคิดว่า “เราจะเริ่มกันที่โบรคเก้น ฮิลล์” เพราะผมคิดว่าโบรคเก้น ฮิลล์คือบ้านพักใจของแฟรนไชส์นี้ ผมคิดว่าแฟนทุกคนที่อยู่ในโลกของ Mad Max จะรู้สึกว่าโบรคเก้นมีความพิเศษในตัว ผมจำตอนที่เราทดสอบครั้งแรกไปพร้อมกับรถจำนวนมากที่ขับไปที่อพาร์ทเมนท์ของผู้ช่วยผู้กำกับฯ ของผม ไม่มีใครเคยร่วมงานในเรื่อง “Fury Road” มาก่อนและทุกคนตื่นเต้นมาก พวกเขาพูดว่า “ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในหนังโบรคเก้น ฮิลล์เลย” เพราะพวกเขาได้ขับรถกลางทะเลทรายทั่วพื้นที่ มันดีมากที่นักแสดงและทีมงานล้วนมีดีเอ็นเอตรงกัน ในส่วนจังหวะของเรื่องก็เข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้ง่ายๆ ทุกอย่างจึงลงตัวหมดในเรื่องความสร้งสรรค์ นักแสดงต่างสวมบทบาทตัวเองเป็นครั้งแรกในเรื่องนี้และก่อนกำหนดการของภาพยนตร์ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
ผู้นำ
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): จอร์จไม่เคยอาศัยทางลัดอะไรเลย เขามีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจนเสมอ เขาคอยสร้างความท้าทายให้พวกเราตลอด จนถึงท้ายที่สุดเรายังคงใช้ทุกนาทีคุ้มค่าและทำทุกอย่างให้ทันเวลา เพราะจอร์จเป็นคนที่ทำให้อยากสร้างผลงานเต็มที่ เขาคอยสร้างแรงบันดาลใจให้เราสร้างผลงานออกมาดีที่สุด ทุกอย่างก็เพื่อโปรเจ็กต์ที่ทำอยู่ เขาเป็นผู้นำแถวหน้าและต้องการให้ทุกอย่างถูกต้องเสมอ ซึ่งก็ถูกของเขาเพราะเขาคือคนที่อยู่ในห้องตัดต่อในท้ายที่สุดด้วย บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดว่า “คุณจะไม่เอาแบบนี้ไปใช้หรอก จอร์จ” แต่เขาต้องการตัวเลือกนั้นอยู่ในห้องตัดต่อด้วย เขาอาจจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่เขามีโอกาสเลือกถ่ายทำฉากต่างๆ ที่สุดท้ายเขาอาจไม่ต้องการมัน บทสรุปคือทุกคนหันมาพูดว่า “เย้ นี่คือผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยล่ะ”
2 ล้อ กับ 4 ล้อ
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ระหว่างเรื่องที่แล้วกับเรื่องนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเหมือนกัน มีการอิงมาจากเรื่องราว ตัวละคร และวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของจอร์จ ขอบเขตของเรื่องนี้ใหญ่กว่าเยอะมาก ไม่ใช่แค่เราพยายามถ่ายทำฉากผาดโผนในสถานที่ต่างๆ หลายแห่งเพียงอย่างเดียว แต่เรายังพยายามใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยให้เราถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้ด้วย ในเรื่อง “Fury Road” เต็มไปด้วยรถบรรทุกเครื่องจักร รถยนต์ เพื่อการเล่าเรื่องราว ส่วนในเรื่องนี้เราใช้พวกมอเตอร์ไซค์ที่มีความแตกต่างและซับซ้อนมากกว่าในเรื่องของการจัดท่าทาง... และมีอันตรายมากกว่าสำหรับการแสดงฉากผาดโผนด้วย ดีเมนทุสเป็นนักขี่รถและเขามีกลุ่มนักขี่อีกกว่า 3,000 คนด้วย เขาต้องจับกลุ่มกันตลอดทั้งเรื่อง ฉะนั้นฉากแอ็คชั่นทั้งหมดที่เราเคยถ่ายทำในเรื่อง “Fury Road” เรายังคงถ่ายทำกันแบบเดิมในเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถ 2 ล้อแทน 4 ล้อ ทำให้การทดลองและการแสดงฉากต่อสู้ยากกว่าเดิมเยอะเลย
เพื่อความปลอดภัย
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : เมื่อเราต้องออกแบบฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” และต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย เราเริ่มคิดถึงการใช้เทคโนโลยีโมชั่นแคปเจอร์ สิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมาคือระบบที่ใช้ความเฉื่อยและชุดโมชั่นแคปเจอร์ ผสมกับการใช้ลวดสลิงขึ้นแบบเดียวกับที่เคยใช้ในเรื่อง “Fury Road” จากนั้นนำมารวมกัน ฉากแอ็คชั่นในเรื่อง in “Furiosa” เหมือนกับในเรื่อง “Fury Road” ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยอาศัยร่างกายและการเคลื่อนไหวของนักแสดงทุกคน แต่สิ่งที่เราทำได้คือการรวมฉากมอเตอร์ไซค์ชนกันรุนแรงเข้ากับโมชั่นแคปเจอร์ โดยพื้นฐานคือนักแสดงทุกคนและนักแสดงผาดโผนทุกคนต้องมีการขยับตัว ตอนนี้ที่เราต้องทำคือฉากรถชนกันเกิดขึ้นโดยนักแสดงสวมชุดโมชั่นแคปเจอร์และเราเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกคนมีร่างอวาตาร์ของตัวละครนั้น จากนั้นเราจะนำข้อมูลที่ได้จากการเคลื่อนไหวร่างกายไปสวมทับกับตัวละครของพวกเขา ทำให้เราได้ภาพนักแสดงผาดโผนที่อยู่บนถนนด้วยความเร็ว 50, 70 ไมล์ต่อชั่วโมง ขี่มอเตอร์ไซค์ชนกัน มีการกลิ้งหลายต่อหลายครั้ง... แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มันมีความแตกต่างเยอะมากครับ
เพื่อความสมจริง
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ผมคิดว่าแรงดึงดูดที่สำคัญอย่างหนึ่งในเรื่อง Mad Max คือฉากไลฟ์แอ็คชั่นที่เน้นการเคลื่อนไหว สิ่งที่เราเห็นในโลกใบนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกมาจากรถบรรทุก ถูกชนในรถ กระโดดจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เป็นภาพเคลื่อนไหวและตัวละครดิจิตอลเลย ทุกอย่างที่เราถ่ายทำในเรื่อง “Furiosa” ล้วนเกิดขึ้นจากนักแสดงผาดโผนตัวจริงมาแสดงจริง เราแค่ระวังเรื่องการรักษาความปลอดภัย แทนที่จะล้มบนถนนในฉากมอเตอร์ไซค์ชนที่ความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง เราเลือกให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันโดยใช้ระบบลวดสลิงที่มีความซับซ้อนระหว่างรถเครน 2 คัน หรือจะเป็นฉากที่ใช้เวทีขนาดใหญ่ เพื่อให้นักแสดงผาดโผนทำการแสดงและเราคอยเก็บภาพ มันก็ทำให้เราได้การแสดงที่ดูสมจริงเหมือนอยู่บนถนนที่ใช้ความเร็วสูงหรือบนทางรถมอเตอร์ไซค์
ฉากที่ 102
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ฉากที่แอบซ่อนไปอย่างไร้จุดหมายคือฉากแอ็คชั่นฉากใหญ่ในเรื่อง ตัวละครนำฟูริโอซ่าของเราได้พบกับ แพรทอเรี่ยน แจ็คครั้งแรก ฉากแอบซ่อนเป็นฉากที่ 102 มีความยาวถึง 15 นาทีโดยมี 197 ช็อตในฉากนั้น ใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 9 เดือน เริ่มจากในประเทศ นิวเซาธ์เวลส์เมื่อเดือนมีนาคม บินไปที่ซิดนีย์ถ่ายทำในโรงถ่าย Fox Studios เดือนตุลาคม เราถ่ายทำกันตลอดช่วงเวลานั้นระหว่างถ่ายทำฉากอื่นไปด้วย มันคือฉากที่ยิ่งใหญ่มาก
การพัฒนาจากภาพจำลองก่อนการถ่ายทำที่ผ่านมา
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : [ระบบ Proxy] Toybox คือเครื่องมือที่ใช้เรนเดอร์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เรามีอิสระในการทดลองและวางแผนสิ่งที่อยากทำ ในอดีตการที่เราจะลองทำอะไรและแบ่งปันไอเดียการสร้างเรื่องราวให้ใครสักคนได้คือสตรอรี่บอร์ด นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง จากนั้นสตอรี่บอร์ดได้นำมาใช้ในผลงานแอนิเมชั่น มันช่วยในการทำงานได้ดีมาก จนกลายมาเป็นภาพจำลองที่เห็นได้ก่อนการถ่ายทำที่สตอรี่บอร์ดเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว และทุกคนยังคงใช้ระบบนั้นจนถึงวันนี้ ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นกับสตอรี่บอร์ดคือทุกคนจะมองต่างมุมและเข้าใจต่างกันไป และสตอรี่บอร์ดเหมือนการหยุดช่วงเวลานั้นไว้ด้วย เราเรียกมันขึ้นมาได้ทีละเฟรม แต่มันมี 24 เฟรมในทุกวินาที นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเฟรมนั้น ฉะนั้นมันจะได้จังหวะที่ลงตัวหรือเล่าเรื่องได้อย่างราบรื่นได้อย่างไร? มันไม่ยากเลยที่จะนึกภาพข้อดีในการนำมาใช้กับงานของเรา ขั้นตอนการออกแบบของเรา โดยมีจอร์จควบคุมเครื่องมือนั้นระหว่างเราทำการออกแบบที่ผมชอบเรียกว่าเหมือนละครเวที
ช่วงแรกเราออกแบบฉากแอ็คชั่นให้มีความเรียบง่าย ระหว่างการออกแบบเราก็คิดตลอดว่าจะเหมาะกับเนื้อเรื่องไหม นักแสดงหรือตัวละครต่างๆ จะแสดงได้ตามขั้นตอนการเล่าเรื่องราวไหม? เมื่อการออกแบบเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด เราก็มาตัดสินใจว่าจะปกปิดอย่างไร ตอนนี้เราสามารถเห็นฉากที่ซ่อนไว้ได้แล้ว เช่น จากฉากทั่วไปที่เป็นกล้องมุมสูง เราสามารถกดปุ่ม “เริ่ม” และดูฉากแอ็คชั่นนี้ 15 นาทีที่มีความยาว 20 ไมล์แบบยังไม่ผ่านการตัดต่อได้เลย
เมื่อได้เนื้อเรื่องแล้วเรายังนำมาใช้เป็นเครื่องมือเล่าเรื่องราวร่วมกับจอร์จ เราสำรวจตัวละครต่างๆ และการโต้ตอบกันระหว่างพวกเขาตลอดเวลา เหมือนกับอีเวนท์ที่มีความยาว เช่น ละครเวทีหรือการแสดงฟุตบอล จากนั้นตัดสินใจว่าเราจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไรให้เหมือนอย่างที่จอร์จต้องการ นี่เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่และเป็นเทคโนโลยีใหม่อันยิ่งใหญ่ที่เราใช้ตลอดการถ่ายทำ “Furiosa” ผมคิดว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนการเล่าเรื่องราวครั้งใหญ่ เราจะเข้าถึงเรื่องราวทั้งหมดอย่างไร? เราจะสำรวจสิ่งต่างๆ ในบรรยากาศที่ปลอดภัยอย่างไร? ครั้งแรกจะจัดการกับมันอย่างไร? ทุกอย่างเราทำในระบบพรอกซี่ Toybox system ที่ควบคุมโลกจริง เราแค่เอากล้องไปวางตรงที่เราสามารถวางกล้องได้จริง มันจะอิงจากความเร็วที่เราได้ตามพาหนะต่างๆ อิงจากการเคลื่อนไหวจริงของนักแสดงผาดโผน เราโชคดีที่เราทำแบบนั้นได้ในสภาพแวดล้อมของดิจิตอล 3 มิติทั้งหมดจนได้ไอเดียที่เราต้องการ ผมคิดว่ามันเป็นการเล่าเรื่องที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
Furiosa: A Mad Max Saga หรือ ฟูริโอซ่า มหากาพย์แมดแม็กซ์ มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้
สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่าย ๆ เพียงแค่คลิก ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Total Film