Movie ReviewPhir Aayi Hasseen Dillruba กุหลาบมรณะ 2 (2024)"ความสัมพันธ์จะงอกเงยในกรอบความผิดและความถูกต้อง" ยังคงความเหนือชั้นแบบรู้ทั้งรู้ว่าจะมาไม้ไหนก็ยังไม่วาย...เมื่อบทความก่อนหน้านี้ผู้เขียนได้เขียนถึงหนังอินเดียที่ดูหน้าหนังเหมือนจะธรรมดาแต่เนื้อหาไม่ธรรมดาเพราะมาพร้อมการเล่าเรื่องที่เหนือชั้นคือ Hasseen Dillruba (2021) ที่มีชื่อไทยว่ากุหลาบมรณะ และถึงตอนนี้ยังงงตัวเองไม่หายว่าทำไมตอนที่ดูเมื่อสามปีที่แล้วถึงไม่ได้เขียนถึงจึงเพิ่งจะมาเขียนเอาตอนที่เวลาล่วงผ่านมานาน แล้วก็ตามธรรมเนียมคือการจะเขียนถึงหนังสักเรื่องถ้าจะให้ดีและมีความสมบูรณ์ในการวิเคราะห์ตามสไตล์ของผู้เขียนจะต้องดูให้ผ่านตาอีกรอบแล้วการดูซ้ำก็ยังอึ้งทึ่งอยู่ดี อาจเพราะเวลาผ่านมานานแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าการที่นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีหนังภาคต่อลงสตรีมแล้วประกอบกับการะแสในโซเชียลมีเดียหนังอินเดียกำลังมาแรงอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำหนังภาคแรกก่อนที่จะมาต่อกันที่ภาคสองที่ยอมรับว่าเมื่อเห็นหน้าหนังภาคสองผู้เขียนก็พร้อมรับคำท้ากับการมาครั้งที่สองเพราะพอรู้แล้วว่าจะมาไม้ไหน แล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไรไปว่ากันดังต่อไปนี้ก่อนอื่นถ้าท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านยังไม่ได้ดูภาคแรกมากรุณาข้ามบทความนี้ไปก่อนแล้วไปดูภาคแรกเพราะภาคสองเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาคแรกจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้ดูก่อน หลังจากที่ Rani (Taapsee Pannu) และ Rishu (Vikrant Massey) ที่กลับมารักกันและรอดพ้นจากคดีพิศวาสฆาตกรรมครั้งนั้นมาได้ทั้งคู่จึงมาใช้ชีวิตที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกันที่เมืองอัครารัฐอุตรประเทศ แต่ความจริงทั้งคู่ยังแอบติดต่อกันเรื่องมาจนกระทั่งอดีตตามมาถึงเมื่อสารวัตรตำรวจที่เคยทำคดีของ Rani ย้ายมาที่นี่แล้วได้เจอกับ Rani โดยบังเอิญ แล้วคดีเก่าก็กลับมารบกวนทัง Rani และ Rishu แถมคดียังถูกโอนไปยังตำรวจที่มีชื่อเสียงว่ากัดไม่ปล่อยที่เป็นญาติกับ Rishu และเขาเอ็นดู Neel ทำให้คดีนี้กลายเป็นเรื่องส่วนตัว จนเมื่อจวนตัว Rani จึงเกิดไอเดียที่จะให้ตำรวจเลิกตามเธอคือการแต่งงานกับ Abhimanyu (Sunny Kaushal) หมอผสมยาผู้แสนดีที่หลงรัก Rani เต็มหัวใจ แล้ว Rani จะหาทางออกยังไงเพื่อให้ Rishu หลุดพ้นไปได้เพราะบางทีสิ่งที่ตาเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดยังคงใช้วิธีการเดิมจากภาคที่แล้วทำให้คนดูเตรียมใจมาแล้วว่าจะพบกับอะไรแต่สุดท้ายยังกลายเป็นความเหนือชั้นอยู่ดี ที่ว่าวิธีการเดิมคือการวางจุดศูนย์กลางของเรื่องเป็นนิยายฆาตกรรมที่มาเป็นโครงเรื่องแต่หาญกล้าท้าทายคนดูให้คิดตามและเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่คราวนี้ไอ้ที่ว่าเชื่อไม่ได้เชื่อในตัวละครอย่างภาคที่แล้วแต่โยนมาให้คนดูเต็มที่ว่าจะเลือกเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือไม่ เพราะหนังชัดเจนมาเพื่อสับขาหลอกความรู้สึกที่ต่างไปจากภาคที่แล้วที่เป็นความซื่อตรงในการท้าทายความเชื่อในตัวละครของคนดู แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอยู่อย่างคือเมื่อเป็นการขึ้นจอเป็นครั้งที่สองสิ่งที่ตามมาคือคนดูจะเตรียมใจไว้แล้วว่าจะมาพบกับอะไรหนังจะมาไม้ไหน แถมยังเริ่มต้นด้วยวิธีการเดิมแต่เปลี่ยนโฟกัสไปที่ตัวบุคคลที่หลากหลายขึ้นไม่ใช่ที่ตัวของ Rani เต็มที่อย่างภาคที่แล้วทำให้เปิดช่องให้สามารถใส่อะไรที่พาให้คิดไปอีกทางเข้ามามากมาย ซึ่งก็คือการหลอกให้คิดหรือชี้ชวนให้ตัดสินจากภายนอกที่เห็นด้วยตาก่อนที่จะใส่ความพลิกผันเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่น่าทึ่งคือการเล่าเรื่องไม่ได้เล่าแบบย้อนเวลาเหมือนการให้ปากคำเหมือนเดิมแต่เล่าตรงๆทว่าก็ยังเดินหน้าไปอย่างเหนือชั้นเมื่อคนดูเตรียมพร้อมมาแล้วจากการดูภาคแรกทำให้สามารถใส่ความพลิกผันลูกล่อลูกชนตลบหลังหลายชั้นจึงเข้มข้นสุดบันเทิง แน่นอนเมื่อเป็นการสานต่อเรื่องราวจึงมีการเท้าความกันแบบพอดีๆซึ่งกับการสานต่อครั้งนี้ก็มีพัฒนาการไปข้างหน้าแต่ว่าไม่ลืมหลัง และนั่นยิ่งทำให้คนดูเตรียมพร้อมมาล่วงหน้าแล้วว่าหนังจะมาหักหลังกันจนอ้าปากหวอเหมือนในภาคที่แล้วแต่คราวนี้เล่นหนักเล่นบ่อยผ่านการเล่าเรื่องที่ลื่นไหลทำให้มีความเข้มข้น เพราะสามารถเก็บรายละเอียดที่จงใจซ่อนไว้เพื่อมาเฉลยในเวลาที่เหมาะสมและนั่นคือการใส่ความพลิกผันยากแท้หยั่งถึงเข้ามา และที่เป็นคือมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรหลอกเพราะเหมือนกับทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่ได้ถูกวางแผนไว้แต่ก็ยังไม่วายคิดเอาไว้ว่าใช่ต้องใช่แน่ๆว่าจะมีการซ้อนแผน จนเมื่อผ่านไปก็กลายเป็นเรื่องเหนือคาดที่มาบ่อยจนแทบไม่กล้าจะเดาอีกแล้วและถ้าว่ากันตรงนี้ภาคนี้จัดเต็มกว่าภาคที่แล้วเพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น ดังนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดว่าไอ้ที่คิดมันจะเป็นอย่างที่คิดจนถึงบทสรุปที่เล่นเอาเหวอหนักอีกแล้ว เพราะหนังมีลูกล่อลูกชนหลายชั้นแถมยังมาอย่างเหนือๆที่เหลือก็คือความบันเทิงเห็นๆยังคงเน้นเสน่ห์มาเป็นตัวขับเคลื่อนที่คราวนี้มีปัจจัยแห่งความพลิกผันที่ร้ายลึกและซ่อนได้เข้าขั้น เมื่อสิ่งที่ Rani ต้องเผชิญในครั้งนี้คือการที่ตัวเองมีเสน่ห์ดึงดูดใจสิ่งที่ยังมาเต็มที่คือเสน่ห์ที่เกินห้ามใจของ Taapsee Pannu ที่ภาคนี้ดูสวยกว่าภาคที่แล้วด้วยซ้ำ แน่นอนเธอยังคงมีเสน่ห์ที่เย้ายวนเพียงแต่คราวนี้มิติตัวละครอาจลดลงบ้างไม่ต้องซ่อนอะไรเหมือนภาคที่แล้ว แต่เมื่อเป็นการขึ้นจอครั้งที่สองในบทตัวละครเดิมสิ่งที่ตามมาคือความน่าเชื่อถือที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการกลายมาเป็นคู่ตุนาหงันกันกับฝ่าย Rishu ทำให้เคมีระหว่าง Taapsee Pannu กับ Vikrant Massey ดูดีขึ้นเยอะจนกลายเป็นว่ารู้ทั้งรู้ว่าสองคนนี้ทำอะไรมาเมื่อภาคที่แล้วแต่ก็ยังเอาใจช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมายอยู่ดี ส่วนที่สามารถส่งเสริมเรื่องราวให้เข้มข้นเร้าใจคือการแสดงที่ซ่อนบางอย่างไว้หลังความเป็นชายแสนดีที่คลั่งรักของ Sunny Kaushal ในบท Abhimanyu ผู้มาแทรกกลางในฐานะตัวแปร ทำให้ในส่วนของการแสดงสามารถรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีส่วนที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษคือเพลงประกอบที่มีสัมผัสของความคลาสสิคของหนังอินเดียยุคเก่าที่เข้ากันดีกับทิวทัศน์ที่งดงามเป็นงานที่ดูสนุกเลยแม้จะเอาไปเทียบกับภาคแรกก็ยังสนุกและอาจสนุกกว่าด้วยซ้ำเพราะแพรวพราวกว่าจนเหวอซ้ำเหวอซ้อน ถ้าท่านดูภาคแรกมาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูภาคสองนี้เพราะเรื่องราวต่อกันแถมยังมีมิติเชิงความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งสิ่งที่ไม่มีทางเลี่ยงคือการเอาไปเทียบกับภาคแรกแล้วในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคือภาคนี้สนุกกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ เพราะภาคแรกอาจหักมุมเละเทะในตอนท้ายแต่ก็มีจุดนั้นเป็นเป้าหมายอย่างซื่อตรงความพลิกผันรายทางก็คือความพลิกผันไม่ใช่การหักมุม แต่กับภาคนี้มิติตัวละครที่มาแทรกกลางซับซ้อนกว่าผิดกับภาคที่แล้วที่ตัวละคร Neel เป็นตัวละครหน้าเดียวทำให้สามารถใส่ความพลิกผันหนักๆมาครั้งแล้วครั้งเล่าที่อาจเรียกได้ว่าหักมุมแล้วหักมุมอีกคือเดาจนท้อ นั่นหมายความว่าภาคนี้เป็นความแพรวพราวกว่าทำให้คนดูเหวอซ้ำเหวอซ้อนก่อนที่จะไปเหวอหนักๆในบทสรุปที่อาจไม่เกินคาดแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะออกมาเวย์นี้ แถมท้ายด้วยการทิ้งเชื้อไว้เพื่อมีภาคต่อซึ่งถ้านับถึงการดูสองภาคนี้ก็คือถ้ามีมาอีกก็ดูอีกดูซิว่าจะเอาอะไรมาล่อลวงล่อหลอกคนดูได้อีกดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram netflix_in อ่ามนบทความรีวิวภาคแรกได้ที่นี่ https://intrend.trueid.net/post/459143เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !