ผลงานซีรีส์ใหม่บนแพลตฟอร์ม Netflix ในช่วงนี้มีออกมาหลากหลายเรื่องทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์เอเชีย ซีรีส์ฝรั่ง ก็มีให้เลือกชมอย่างจุใจ และมีอีกหนึ่งซีรีส์ที่อยากจะแนะนำให้ดูกัน โดยเรื่องนี้มันเคยถูกทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี 2013 จากฝีมือคุณ Bong Joon-ho หรือเราอาจจะรู้จักเขาในนามผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Parasite และซีรีส์นี้ก็จะกลับมาอีกครั้งกับชื่อเดิมคือ Snowpiercerการนำ Snowpiercer มาสร้างอีกครั้งในรูปแบบซีรีส์ครั้งนี้ ฟังดูอาจจะเป็นการทำซ้ำของเดิมหรือหมดไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ แล้ว แต่ทว่าการมาครั้งนี้มันแตกต่างจากฉบับภาพยนตร์พอสมควร แถมยังมีความน่าดูน่าติดตามไม่แพ้กัน แม้ว่าเรื่องราวจะยังคงอยู่ในขบวนรถไฟท่ามกลางโลกแช่แข็งอีนหนาวเหน็บก็ตาม ส่วนที่ว่ามันน่าสนใจอย่างไร ลองมาดูกันครับกับเหตุผลที่ต้องดู Snowpiercer ฉบับซีรีส์1. ซีรีส์ภายใต้การดูแลของ Boog Joon-hoถึงแม้ว่าตำแหน่งผู้กำกับและทีมงานสร้างหลักจะไม่ใช่ผู้กำกับคนเก่งชาวเกาหลีแล้ว แต่ว่าเขาก็จะยังนั่งแท่นอำนวยการสร้างคอยดูแลภาพรวมของซีรีส์ให้มีความเข้มข้น เทียบเท่ากับฉบับภาพยนตร์ครับ ซึ่งการที่คุณ Boog Joon-ho อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างแบบนี้ เชื่อว่าเราจะได้เห็นมุมมองเรื่องชนชั้น การต่อสู้จากการกดขี่อย่างชัดเจนขึ้นแน่นอน บาทีเราอาจจะได้เห็นกิมมิกบางอย่างที่เคยใช้ในภาพยนตร์ก็ได้ฉาก "โปรตีนอัดแท่ง" อาจจะโผล่ในซีรีส์ก็ได้ใครจะรู้ครับ2. เนื้อเรื่อง 7 ปีหลังเหตุการณ์โลกล่มสลายสำหรับซีรีส์ Snowpiercer จะเรียกว่ารีเมคก็ไม่ถูกนักครับ เนื่องจากเนื้อหาของซีรีส์จะดำเนินเรื่องในช่วง 7 ปีหลังจากเกิดเหตุการณ์โลกถูกแช่แข็ง ขณะที่เนื้อหาในฉบับภาพยนตร์จะเกิดขึ้น 15 ปีหลังจากโลกถูกแช่แข็ง ดังนั้นแล้ว Snowpiercer ซีรีส์จะเกิดเรื่องราวก่อนครับ ซึ่งมันก็เป็นช่องว่างที่น่าสนใจว่าในช่วงเหตุการณ์ 7 ปีซึ่งค่อนข้างใหม่ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีเราอาจจะได้รับรู้เรื่องราววันที่โลกถูกแช่แข็งมากขึ้นก็ได้3. อุดมไปด้วยนักแสดงระดับคุณภาพนอกจากเนื้อหาและผู้สร้างแล้ว ทางด้านนักแสดงก็เป็นส่วนสำคัญในการตรึงผู้ชมให้สนใจตลอดจนจบเรื่อง โดยจะได้ Jennifer Connelly จาก Alita: Battle Angel ดาราสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ มารับบทเป็นผู้คุมขบวนรถไฟ, Daveed Diggs จาก Hamilton และ Blindspotting นักแสดงเจ้าของรางวัล Hamptons International Film Festival ปี 2017 ทั้งสองจะรับบทนำของเรื่องนอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบมากมายได้แก่ Mickey Summer จาก American Made, Annalise Basso จาก Slender Man, Steven Ogg จาก The Walking Dead และ Timothy V. Murphy จาก Sons of Anarchy ด้วยดารานักแสดงที่ขนกันมาเพียบก็พอจะการันถึงคุณภาพของซีรีส์ได้เลยว่าไม่ธรรมดาครับ4. งานสร้างอลังการถึงจะถูกทำให้เป็นซีรีส์ 10 ตอนแต่ว่างานสร้างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าภพายนตร์ฉายในโรงเลยครับ สังเกตได้จากตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา บรรยากาศของรถไฟหรือสภาพอากาศอันเลวร้ายข้างนอก หากดูผิวเผินมันก็เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งทีเดียว รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของตัวละครก็ดูสมจริงสมจังกับเนื้อเรื่อง รวมไปถึงกราฟิก CGI ต่าง ๆ ก็ทำได้ดีดูไม่หลอกตามากนักการที่ได้งานสร้างอลังการก็แสดงให้เห็นว่าการผลิตซีรีส์ในปัจจุบันเริ่มมีเงินทุนมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะคนส่วนใหญ่หันมาดูซีรีส์มากกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นผู้ผลิตจึงกล้าเสี่ยงที่จะลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนมหาศาล อย่างใน Game of Thrones หรือ Westworld ก็เป็นตัวอย่างซีรีส์ที่ทุ่มทุนมหาศาลและได้เสียงตอบรับในแง่บวกสูงมาก ๆ5. การต่อสู้ทางชนชั้นก็เฉกเช่นเดียวกับฉบับภาพยนตร์ แก่นของ Snowpiercer ก็คงไม่พ้นเรื่องของการแบ่งชนชั้นครับ จากเนื้อเรื่องที่ผู้คนต้องอยู่บนขบวนรถไฟ มีการแบ่งลำดับฐานะ คนที่อยู่หัวขบวนจะเป็นคนรวยอยู่ดีกินดี ขณะที่กลุ่มท้ายขบวนจะเป็นพวกแรงงานชนชั้นล่าง ที่ต้องทำงานให้พวกหัวขบวน ตรงจุดนี้ก็จะเป็นประเด็นที่ขับเคลื่อน ชวนให้ตั้งคำถามว่าทำไมชนชั้นสูงมีสิทธิอะไรถึงได้อยู่หัวขบวนและทำไมชนชั้นล่างถึงไม่อาจมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ทั้ง 5 เหตุผลนี้ก็จะทำให้ซีรีส์ Snowpiercer มีความน่าสนใจขึ้นมากทีเดียว เพราะมันไม่ใช่การรีเมคทั่วไปแต่เป็นการเล่าเรื่องราวปลีกย่อยมากขึ้น โดยตอนนี้ทาง Netflix มีให้รับชมแล้วครับ ใครที่สนใจก็สามารถใช้กล่อง TrueIDTV รับชมได้เหมือนกัน ร่วมลุ้นกับการต่อสู้เอาตัวรอดจากภัยพิบัติจากภายนอกได้ใน Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็งที่มารูปภาพ: รูปภาพปก / รูปภาพ 1 / รูปภาพ 2 / รูปภาพ 3 / รูปภาพ 4 / รูปภาพ 5