Kim Tae-ri และ Hong Kyung นักแสดงแถวหน้าของวงการเกาหลีที่กำลังมาแรงมากหลังจากทั้งคู่ได้เล่นซีรีส์คู่กันจาก Revenant ในปี 2023 ที่ต่างได้โชว์ศักยภาพการแสดงของทั้งคู่ให้คนดูน่าจดจำและเคมีบัดดี้การแสดงที่น่าสนใจ จนไม่นานจากหลังซีรีส์ออนจบ Netflix เกาหลีก็จับทั้งคู่ได้มาโคตรพบกันอีกครั้งในผลงานพากย์เสียงในภาพยนตร์แอนิเมชันเกาหลีเรื่องใหม่ Lost in Starlight: เลือนหายในแสงดาว ที่มีฤกษ์สร้างตั้งแต่ปี 20204 จนบัดนี้ก็ได้เวลาที่เพิ่งเข้าฉายบน Netflix ไปถือเป็นผลงานที่น่าสนใจและมีความแตกต่างจากแอนิเมชันทั่วไป ด้วยการผสมผสานเรื่องราวระหว่างวิทยาศาสตร์ ความรัก และความหวังในอนาคตอันใกล้ ที่เริ่มต้นจาก Nan-young (พากย์เสียงโดย Kim Tae-ri) นักวิทยาศาสตร์สาวที่มีความฝันอยากเป็นนักบินอวกาศสักครั้งในชีวิต หลังต้องเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องหลุดจากความฝันนั้นไปตั้งตัวใหม่อีกรอบบวกกับเพื่อค้นหามแม่ของเธอที่หายตัวไประหว่างภารกิจสำรวจดาวอังคาร ในขณะที่ Jay (พากย์เสียงโดย Hong Kyung) ชายหนุ่มนักดนตรีที่หลงรัก Nan-young ได้พบกับเธอผ่านแผ่นเสียงเก่าที่เป็นของที่ระลึกจากแม่ของเธอ ทั้งคู่เริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแม้จะอยู่ห่างไกลกันและความฝันของเธอเองก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องระยะทาง ความฝัน และรักแท้ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ความรู้สึกหลังดูจบการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์นี้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระยะไกลที่เกิดขึ้นระหว่างโลกและอวกาศ ซึ่งมาด้วยมูดโทนที่ทั้งเหงาและแฟนตาซี มีกลิ่นอายคล้ายอนิเมะฝั่งญี่ปุ่น อย่าง Your Name หรือ 5 Centimeters per Second เพียงแต่ตีความในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่ชวนเล่นกับความรู้สึกได้ดี แม้จะมีระยะทางที่ห่างไกลเป็นแกนกลาง แต่ยังสามารถดูเพลิดเพลินและซึมซับมูดที่ตัวหนังมอบได้อย่างดี หนึ่งในจุดที่โดดเด่นที่สุดหลังดูจบ คือการที่หนังพาเราไปรับรู้ถึง “ความสัมพันธ์ระยะไกล” ในระดับที่ลึกกว่าคำว่าไกลหลายพันกิโลเมตร เพราะนี่คือความสัมพันธ์ระหว่าง “คนบนโลก” กับ “คนที่อยู่ในอวกาศ” ซึ่งไม่ได้มีแค่ความคิดถึงหรือการสื่อสารที่ยากลำบากเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคำถามของเวลา ชีวิต และความจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละมุมมอง หนังค่อย ๆ ปูเรื่องด้วยจังหวะที่นิ่งในตอนต้น แต่ค่อย ๆ ขยับอารมณ์ให้ลึกขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนุ่มนวล การเขียนบทที่ใส่ใจรายละเอียดช่วยทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองค่อย ๆ มีความหมายขึ้นในสายตาของผู้ชม โดยไม่จำเป็นต้องพูดคำว่ารักออกมาตรง ๆ ในด้านการพากย์เสียง Kim Tae-ri และ Hong Kyung ซึ่งให้เสียงพากย์ตัวละครหลักในเรื่อง ล้วนต่างทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และส่งอารมณ์ผ่านเสียงได้ดีมาก แม้จะไม่ใช่เสียงจริงของตัวละครแบบไลฟ์แอ็กชัน แต่การพากย์ของทั้งคู่กลับทำให้ผู้ชมรู้สึก “เชื่อ” ได้ว่าพวกเขารู้สึกจริง ๆ กับสิ่งที่ตัวละครเผชิญอยู่ ทั้งความเปลี่ยวเหงา ความคาดหวัง และความทรงจำที่คลุมเครือ เสียงของ Kim Tae-ri ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่ก็อ่อนไหวในขณะเดียวกัน เช่นเดียวกับที่เสียงของ Hong Kyung มีความอบอุ่นและจริงใจ เสริมให้เคมีของทั้งสองคนลงตัว สามารถประคับประคองความรู้สึกให้คนดูอินตามไปได้ทั้งเรื่องได้ดี ด้านงานภาพ ถ้าใครชอบแอนิเมชันที่เน้นความสวยงามแบบมีความหมาย ซีนในเรื่องนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง การออกแบบตัวละครมาในแนวเรียบง่ายแต่มีรายละเอียด เช่น การเลือกใช้แสงกับเงาในการถ่ายทอดสภาพจิตใจของตัวละคร หรือการจัดวางองค์ประกอบฉากที่ให้ความรู้สึก “เวิ้งว้างแต่ไม่ว่างเปล่า” ทั้งภาพของเมืองที่มืดสลัวในเวลากลางคืน ห้องทดลองอวกาศที่ไร้แรงโน้มถ่วง ไปจนถึงภาพท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ทุกอย่างดูผ่านการคิดมาอย่างละเอียด โดยไม่เวอร์วังเกินไปจนขัดกับอารมณ์ของหนัง เเละมูดที่เข้าแม้จะคล้ายกับผลงานอนิเมะที่เคยเห็นมาแล้วหลายเรื่องอย่างความเหงา ว่างเปล่า ก็ดูมีมิติสวยงามชัดเจนสื่ออารมณ์นำได้ เพลงประกอบก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยส่งอารมณ์ได้ดีมาก หนังเลือกใช้ดนตรีที่ออกแนวอินดี้ โฟล์คป็อป ไปจนถึงซาวด์ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เบา ๆ ที่พอดีกับความลอย ๆ ของเนื้อเรื่อง เพลงไม่ได้มีมาก แต่ทุกครั้งที่โผล่มา กลับทำให้ซีนมีพลังมากขึ้นอย่างชัดเจนแถมืส่อถึงเรื่องราวความรักทั้งคู่ได้อินดีเช่นกันและใช้อย่างถูกจังหวะ ทั้งฉากที่ตัวละครนั่งฟังเสียงจากอีกฟากหนึ่งของโลก หรือช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยว เสียงดนตรีช่วยเป็นสะพานระหว่างผู้ชมกับตัวละครโดยไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ภาพรวมแล้ว Lost in Starlight: เลือนหายในแสงดาว เป็นแอนิเมชันที่น่าประทับใจในแง่ของการเล่าเรื่องและอารมณ์ มันไม่ได้หวือหวา ไม่เน้นความตื่นเต้น หรือพล็อตหักมุมแบบไซไฟทั่วไป แต่กลับเลือกเล่าเรื่องเล็ก ๆ อย่างความคิดถึง ความทรงจำ และความรักที่ไม่ต้องการคำตอบ ผ่านโลกอนาคตที่ไร้ขอบเขต หากคุณเป็นคนที่ชอบหนังที่ค่อย ๆ พาคุณเข้าไปสำรวจความรู้สึกของตัวละครแอนิเมชันเรื่องนี้จะตอบโจทย์มาก ๆ ยิ่งถ้าคุณอินกับเรื่องราวความสัมพันธ์ที่อยู่ไกลเกินคว้า แต่ยังรู้สึกได้อยู่เสมอ Lost in Starlight คือหนึ่งในผลงานที่ควรค่าแก่การใช้เวลาเงียบ ๆ ดูคนเดียวในคืนที่คุณอยากเข้าใจ “หัวใจตัวเอง” มากขึ้นอีกนิดหนึ่งสุด ๆ ขอบคุณแหล่งที่มาของภาพ ภาพหน้าปก 1 จาก Facebook : Netflix ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Netflix และ Netflix Korea เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !