ถ้าพูดถึงหนังอินดี้ แหวกกระแส มีแนวทางเฉพาะตัว จะไปโทนแนวไหนในหนังกี่เรื่องก็โดดเด่นเอาอยู่ในกระแสตลอด คงไม่มีใครไม่รู้จักค่าย A24 โดยแนวอีกแนวของค่ายที่สร้างความฮือฮามาตลอดบนในกระแสของคนชอบดูหนัง ก็คือแนความสยองขวัญที่ทำผ่านตัวหนังคุณภาพมาแล้วนักต่อนัก โดยมีผลงานประจักษ์ขึ้นหิ้งระดับต้น ๆ คงหนีไม่พ้นหนังสยองขวัญประเด็นเนื้อหาสะท้อนสังคมที่ทันสมัย อย่าง Talk to Me โดยฝีมือผู้กำกับฝาแฝด Danny และ Michael Philippou เขาสองคนก็กลับมาจับมือร่วมมือการกำกับหนังใหม่อีกครั้งในปี 2025 กับผลงานใหม่ที่ยังอยู่ในสายสยองขวัญเหมือนเช่นเดิม แต่คราวนี้มาในชื่อ Bring Her Back ซึ่งแค่ชื่อก็น่าสนใจแต่พล็อตน่าสนใจไม่แพ้ลายเดิม รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! Bring Her Back เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “ลอร่า” หญิงสาวที่ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูกสาวไปตลอดกาล เธอจึงรับเลี้ยงเด็กกำพร้าสองคน "แอนดี้" กับ "ไพเพอร์" เข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับไพเพอร์ เด็กหญิงที่ดูเหมือนจะมีบางอย่างคล้ายกับลูกสาวของลอร่าแบบผิดปกติ ความอบอุ่นในบ้านจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวแบบที่อธิบายไม่ได้พร้อมกับบางสิ่งที่ซ่อนไว้กำลังถูกเปิดเผยฟังดูอาจจะคล้ายกับ Talk to Me ที่เป็นหนังมีประเด็นแน่นสะท้อนสงัคมผสมผสานกับความสยองขวัญคลาสสิกที่ซ่อนไว้อยู่ ความรู้สึกหลังดู Bring Her Back จบ ตัวหนังไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องแนวจิตๆ เท่านั้น แต่หนังยังเก่งในการสร้าง “บรรยากาศ” ที่ดูไม่น่าไว้วางใจไปซะทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ใช้วิดีโอ VHS เก่าๆ กับเสียงประหลาดๆ ทำให้รู้สึกหลอนตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเรื่องหลัก ตัวหนังไม่ได้เล่นผีตุ้งแช่แบบทั่วไป แต่ใช้วิธีเล่าแบบค่อยๆ สะสมความรู้สึกกดดัน ใช้ความวังเวงของตัวบ้านที่ไม่น่าไว้วางใจ ความไม่ชอบมาพากลของตัวละครหลัก จนสุดท้ายเมื่อเมล็ดที่ค่อย ๆ หยอดไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องทีละเล็กละน้อยก็ค่อย ๆ ออกผลซ่องแตกในช่วงท้ายเรื่อง ดึงเสน่ห์ความวังเวงให้กลับมาหลอนเย็นชาขึ้นมาได้อย่างดี ด้วยการประคับประคองมูดไม่น่าไว้วางใจและรู้สึกเสียวหวาบระแวงไปหมดด้วยการแสดงของ Sally Hawkins ในบทนำคือหนึ่งในจุดแข็งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เธอเล่นเป็นแม่ที่กำลังแตกสลายได้อย่างน่าเชื่อมากๆ และทำให้เรารู้สึกเข้าใจตัวละครนี้แบบไม่ต้องมีบทพูดเยอะ น้องเด็กๆ ที่เล่นเป็นแอนดี้กับไพเพอร์ก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ Jonah Wren Phillips ที่ถ่ายทอดความหลอนออกมาได้แบบนิ่งๆ แต่สั่นประสาทสุดๆ เช่นเดียวกับน้อง Sora Wong กับการเดบิวต์การแสดงแรกของเธอก็แสดงออกมาได้ดี และสามารถนำสถานการณ์อันน่ากลัวของหนังส่งออกมาให้คนดูได้รู้สึกกลัวและระแวงได้ดีมาก ๆ อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการออกแบบภาพและเสียง หนังมีหลายฉากที่ดูแปลกแต่กลับติดตาขนหัวลุกไม่ถูก แต่กลับทำให้รู้สึกไม่โอเคแบบอธิบายไม่ถูก เทคนิคการใช้แสงเงาและเสียงประกอบก็เสริมให้หนังน่ากลัวโดยไม่ต้องพึ่งฉากโหดๆ มากมายเลยพร้อมใช้สัญญะที่น่าสนใจตลอดทั้งหนังไม่ทิ้งลายเซนต์เก่าของผู้กำกับรวมถึงการหยิบประเด็นหลักสะท้อนสังคมมาเล่าตีแผ่ออกมาลงน้ำหนักได้อย่างดีและเหมาะสมกับพื้นที่ที่กำลังจะเล่าได้เหมาะสมทำเอานึกถึงผลงานเก่าก่อนหน้าเพิ่มแต่เรื่องนี้เพิ่มเลเวลความคมของดราม่าที่กลมกล่อมขึ้น แต่ถ้าจะพูดแบบแฟร์ๆ Bring Her Back ก็มีจุดที่อาจไม่ใช่สำหรับทุกคน หนังมีจังหวะที่เดินเรื่องช้าอยู่บ้าง และยังเล่าเนื้อเรื่องบางจุดยังไม่กระจ่างชัดหรืออธิบายไม่ครบทุกอย่าง แต่ถ้าใครชอบหนังที่ให้ตีความเยอะๆ คงจะชอบแนวนี้มากกว่านั่งดูแบบสำเร็จรูปย่อยง่าย หนังเรื่องนี้ยังคงความเป็น “A24” ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเฉพาะ ทั้งในเรื่องสไตล์ภาพ การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร และความกล้าที่จะเล่าประเด็นยากๆ แบบไม่ประนีประนอม ภาพรวมแล้ว Bring Her Back คือหนึ่งในหนังสยองขวัญปี 2025 ที่น่าจับตามองที่สุดอีกเรื่อง ด้วยบรรยากาศที่หลอนแบบนิ่มๆ การแสดงที่แข็งแรง และการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง ที่ไม่ได้เร็วติดจรวดหรือเสิร์ฟเอนเตอร์เทนเมนท์แบบทำถึงเครื่องและไม่ใช่หนังผีที่มีผีวิ่งออกมาให้ตกใจง่าย ๆ แต่มันเป็นการหยิบองค์ประกอบหนังที่ใช้บรรยากาศ ความสูญเสีย และความหลอนแบบค่อยๆ สะสม และความติสท์ของเฉพาะตัวในแบบ A24 มาใส่และผสมได้พอดี ใครที่ชอบหนังสยองขวัญที่มีชั้นเชิง ค่อยๆ บีบหัวใจทีละนิด หนังเรื่องนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ห้ามพลาดของปี 2025 ขอบคุณแหล่งที่มาของภาพ ภาพหน้าปก 1 จาก Facebook : Sony Pictures ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Facebook : Sony Pictures จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !