หลิน มชณต สวยแพรวพราว กับบทสาวนกต่อล่อ “เสือ” เพื่อมาปราบจอมพล
นางแบบและนักแสดงสาวน่าจับตา “หลิน-มชณต สุวรรณมาศ” เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยความสามารถในการเป็นนางแบบทรงสูงเพรียวที่มาพร้อมใบหน้าสวย เท่ มีเสน่ห์ ที่สามารถเข้ากับทุกสไตล์ ทุกลุค และทุกเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากนั้นจึงมีผลงานการแสดงตามมาทั้งซีรีส์ ละครทีวี และมิวสิกวิดีโอของหลากหลายศิลปิน อาทิ “เซียนตัดเซียน” (วง Jetset’er), “คุกเข่า” (วง Cocktail), “ไหนบอกเลิกแล้ว” (วง Three Man Down) ก่อนโด่งดังจนเป็นไวรัลไปทั่วประเทศจากการรับบท “อีกี้” สก๊อยสาวเต้นแซ่บบนหน้ารถในเอ็มวีเพลง “ธาตุทองซาวด์” (Youngohm ft. Sonofo) นอกจากนี้ยังมีผลงานภาพยนตร์ เช่น “มิสเตอร์เฮิร์ท มือวางอันดับเจ็บ” (2560) และ “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” (2567)
ล่าสุด เธอทุ่มทั้งตัวและหัวใจก้าวเข้ามารับบทนำเต็มตัวในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มใหญ่เรื่อง “เสือ” (2568) กับบท “รสริน” ซูเปอร์สตาร์สาวพราวเสน่ห์แห่งยุคที่ใช้ความสวยพิฆาตเป็นลูกล่อลูกชนและอาวุธร้ายในการดีลลับจับเหล่า “เสือ” ตัวฉกาจมาปะทะและปราบรัฐบาลฉ้อฉลของ “ท่านจอมพล” ได้อย่างเหนือชั้น ถือเป็นบทบาทที่เข้ากับรูปลักษณ์และความสามารถทางการแสดงของเธอที่ไม่เคยเห็นจากเรื่องไหนมาก่อน
ก่อนหน้าจะมาเล่น “เสือ” เคยดู “ขุนพันธ์” มาก่อนบ้างไหม
“หลิน” เคยดู “ขุนพันธ์ 1-2” มาก่อนค่ะ ตอนเด็กเราเป็นแฟนคลับของ “พี่อนันดา” เราจะคอยตามดูหนังที่พี่เขาเล่น พอได้มาดูขุนพันธ์ก็รู้สึกว่านี่มันคือหนังจักรวาลฝั่งไทยเลยนะ มันเจ๋งมาก ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้บ่อยๆ ในหนังไทยบ้านเราที่จะมีแอ็กชัน คาถา อาคม ต่อสู้กันสนุกสนานกันแบบนี้
ก้าวเข้าสู่จักรวาล “ขุนพันธ์” ได้ยังไง
จริงๆ “หลิน” มีไปโผล่ในเรื่องอื่นของ “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ - ผู้กำกับ) มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้ววันหนึ่งพี่โขมชวนมาคุยบอกว่ามีโปรเจกต์เรื่อง “เสือ” นะสนใจไหม สนใจสิคะพี่ สนใจมาก เป็นจักรวาลที่เราเคยดูแต่ในโรง เคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราได้มาเล่นสักบทในหนังแบบนี้บ้างคงดีมากๆ ซึ่งตัวของหลินเองเป็นคนชอบการ์ตูนสายลับ ชอบหนังเรื่อง “เจมส์บอนด์” อยู่แล้ว เพราะมันสนุกตื่นเต้น มีการปลอมตัว ใช้อาวุธ เป็นเหมือนสาวบอนด์ แต่งตัวสวยๆ มีมาดเท่ เฟียร์ซ เย็นชา ลึกลับ ซ่อนเร้น ทักษะ Martial Art ชอบมาก หลินอยากได้คาแร็กเตอร์แบบนี้บ้าง พอพี่โขมชวนมา นี่คิดว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม เวลาหลินเจอพี่โขม หลินจะถามตลอด ชัวร์ใช่ไหมพี่ ยังเป็นหลินใช่ไหมคะ ตื่นเต้นมาก ตั้งหน้าตั้งตารอเวลา ดีใจมากค่ะ
บทบาท-คาแร็กเตอร์
เรื่องนี้ “หลิน” รับบทเป็น “รสริน” เป็นคนที่มีแบ็กกราวด์ชีวิตลึกลับซับซ้อนประมาณหนึ่ง ตัวรสรินเองเป็นเด็กกำพร้า เขาเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิต แต่ก็อยากจะมีอิสระ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่รู้อย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วอิสระหมายถึงอะไรกันแน่ แต่มีจุดหักเหในชีวิตที่ทำให้เขาเข้ามาสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทุกคนชื่นชอบและมีเบื้องหลังอาชีพที่เป็นความลับของเขา ทุกอย่างเพื่อการเอาตัวรอด เขารู้ว่าตัวเขาเป็นผู้หญิงที่สวย มีเสน่ห์ สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดได้ ระหว่างทางที่เขาค้นหาว่าอิสระคืออะไร ก็ทำภารกิจบางอย่างไปด้วย เขาต้องการให้อยู่เหนือทุกคนได้ อยู่เหนือผู้ชายได้ เขามีมิชชันที่อยากจะทำให้สำเร็จ โดยการเป็นคนเข้าหา “เสือ” ทุกคนที่เขารู้ว่าเก่งที่สุดในยุคนั้น เอามาเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขาได้บรรลุเป้าหมาย
นิยามความเป็นตัวตนของ “รสริน”
ถ้าให้นิยามความเป็นรสรินก็คือ สวยอันตราย หลินคิดว่าเสน่ห์ของรสรินคือจริตความเป็นผู้หญิง เสน่ห์ในการเข้าหาคนอื่นในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนที่มองคนออกว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง แล้วเราต้องเข้าหาคนอื่นยังไงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการค่ะ
ความน่าสนใจของคาแร็กเตอร์นี้
หลินเห็นความสนุกของการเป็น “รสริน” ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านบท ผู้หญิงคนนี้เขาเก่งรอบด้าน มีความสวย มีความสามารถ เป็นคนร้อยหน้ากาก จิ้งจอกเก้าหาง หลินต้องไปเรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย เช่น ไปเรียนบู๊ ไปเรียนเต้น และการฝึกสกิลในคาแร็กเตอร์นี้ เพราะว่ารสรินเป็นคนที่อ่านคนเก่ง รู้ว่าต้องเข้าหาคนยังไง จัดการคนรอบข้างตัวเองได้เก่งมากๆ ตัวหลินเองอาจจะไม่ได้รอบด้านเท่ารสริน อาจจะต้องไปเพิ่มความแกลม ความเป็นผู้หญิง ความสาว เพราะว่าหลินในพาร์ตของการเป็นนางแบบมันก็จะเป็นอีกเฉดหนึ่ง เฉดที่คนเคยเห็นแล้ว แต่ความเป็นรสรินมันมีความเป็นมิวสิคัลสูง ถ้าสมมติเขาเป็นสี รสรินเป็นคนที่มีประมาณร้อยเฉดสีในตัวเขาเอง ฉะนั้นต้องศึกษา ดูหนัง ปรึกษาแอ็กติงโคช ทำหลายอย่างเพื่อให้คาแร็กเตอร์นี้ออกมาชัดที่สุดค่ะ
แต่สิ่งที่หลินใฝ่ฝันและตี่นเต้นมาตลอดที่จะมาร่วมโปรเจกต์นี้คือการทำซีนแอ็กชัน แต่เราไม่ได้มีพื้นฐานมาก่อน เคยเรียนมวยคอร์สเล็กๆ เคยเรียนเทควันโด คาราเต้ ตอนเด็ก แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้อยู่ในท่าทางที่มันสวยงามแล้วพร้อมเอามาใช้งานในการถ่ายทำได้เลย เลยต้องมีการไปเรียนคิวบู๊เพิ่ม แล้วมันจะมีซีนบู๊ในพื้นที่จำกัด หลินก็ต้องแบบมีการไปฝึกซ้อมเพื่อซีนนี้ก่อนที่จะมาเข้าฉากจริง
บทบาทนี้มีความเหมือนหรือต่างจากตัว “หลิน” ยังไงบ้าง
คาแร็กเตอร์ของ “รสริน” กับ “หลิน” มีความใกล้เคียงกันนิดหน่อย ในกองชอบเรียกแซวหลินกันว่า “รสหลิน” แต่ที่แตกต่างกันชัดๆ เลยคือยุคสมัยของเขากับเรา สมัยก่อนมันให้มี “เฟมินิสม์” (Feminism) ที่สามารถเฉิดฉายออกมาได้เยอะกว่าคนสมัยนี้ ยุคของหลินมันจะเป็นการผสมผสาน มีความทะมัดทะแมงมากขึ้น แต่ความเฉิดฉายไม่เท่า คนสมัยก่อนจะเปล่งประกายได้ชัด โดยเฉพาะรสรินที่เขาเป็นดาราที่ต้องอยู่ใต้สปอตไลต์อยู่ตลอด เขาเป็นคนที่สามารถเปิดไฟพรึ่บ! แสงทุกดวงต้องส่องมาที่เขาได้ทันที ไม่ว่าตอนไหน เวลาไหน
มีคนแซวว่าคิวบู๊โหดเพราะ “หลิน” ขายาว
จริงๆ หลินและนักแสดงนำทุกคนมีความสูงไล่เลี่ยกันหมดนะคะ แต่พื้นที่ในคิวบู๊ที่หลินเล่น มันเป็นพื้นที่จำกัด เช่นฉากที่ต้องสู้กับ “เสือมเหศวร” (มาริโอ้ เมาเร่อ) พวกเรามีไปซ้อมกันก่อนล่วงหน้า ต้องมาแกะกันทีละท่า Step by Step ต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน เพื่อให้วันถ่ายได้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีไปฝึกโยคะ ยืดตัว อยากให้คิวบู๊ของเราออกมาเท่
มีผิดคิวบ้างไหม
มีค่ะ ด้วยความที่พื้นที่จำกัด แขนขาเราก็ยาว มันจะมีศอกโดนกัน บางทีเราต้องการความสมจริง จะกั๊กเบาๆ ไว้ก็ไม่ได้ มีเตะต่อยกันมันก็ต้องมีหลุดคิวกันบ้าง แต่ไม่ถึงกับแรงจนบาดเจ็บ จะนิดๆ หน่อยๆ “คุณรสริน” เขามีภาพความเป็นคุณรสรินที่สวยทุกย่างก้าวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาบู๊ ต่อสู้ ขี่ม้า ยิงปืน แอ็กชัน ทุกอย่างมันต้องอยู่ในภายใต้ความสวยงาม มีเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องจัดเต็มตลอดเวลา มีความวุ่นวายในการวางลักษณะท่าทาง คือมันเป็นความเหนื่อยที่มันสนุกค่ะ เรารู้สึกว่าอยากให้มันสวยที่สุดในภาพที่ออกไป เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีสติมากๆ ในการถ่ายทำ แล้วการซักซ้อมทุกอย่าง พี่ๆ แต่ละคนก็โอเคไม่เป็นไร ต้องยอมรับว่าหนูเองก็ใหม่กับฉากแอ็กชัน ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
มีคนแซวว่าค่าใช้จ่ายกองถ่ายครึ่งหนึ่งคือค่าเสื้อผ้าของ “รสริน”
ไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ แต่ทุกวันที่เข้าฉากเรียกว่าจัดเต็มทุกรอบ แต่ละชุดของ “รสริน” จะใกล้เคียงกันเพราะเป็นยุคสมัยนั้น รสรินจะมีผมที่เป๊ะ หน้าต้องแต่ง ต้องสวยตลอดเวลา มีพร็อป พัด กระโปรงบานยุค 50-60 ใส่ส้นสูง รองเท้านี่แหละค่ะที่เป็นอุปสรรค เพราะต้องใส่ส้นสูงไปบู๊ไปด้วย แล้วอย่างที่บอกเขาคือดาวเด่นของยุคนั้น การขี่ม้า การเดิน การวิ่ง ในทุกภารกิจ ทุกการก้าวออกไปต้องเป็นแก้วเป็นแสงเปล่งประกาย สปอตไลต์ต้องส่องที่รสริน จะเข้าป่าหรือที่ไหน หน้าผมต้องเป๊ะ ชุดต้องเป๊ะ
ในฐานะที่หลินเป็นนางแบบด้วยนะ มาทำงานกองนี้ เหมือนมางานแคตวอล์ก ฝ่ายเสื้อผ้าในกองนี้ อลังการมาก เหมือนยกงานแฟชั่นโชว์มาเลย รองเท้าเรียงกันเป็นร้อยคู่ เสื้อผ้าเรียงกันเป็นร้อยตัว มีราวแขวนเป็นสิบๆ ราว ทีมหน้า ทีมผม ทีมสัก ทีมเอฟเฟกต์แน่นกองถ่าย มันสมศักดิ์ศรีของ “ขุนพันธ์” และ “เสือ” ทุกอย่างเต็มออปชัน แล้วไม่ใช่แค่เสื้อผ้าของหลินนะ นักแสดงร่วมในฉากเพียงฉากเดียว มีคนกว่าสองสามร้อยชีวิต เพราะฉะนั้นมันจะมีเสื้อผ้าเยอะมาก มากที่สุดที่หลินเคยเห็นเลย
ต้องไปฝึกอะไรมาบ้างสำหรับเรื่องนี้
มีฝึกซ้อมการขี่ม้า ไปฝึกมาประมาณหนึ่งและคุยกับครูที่สอนหน้าเซตอีกทีหนึ่ง เรียนรู้วิธีการทีต้องดีลกับม้า อะไรควรทำไม่ควรทำ แล้วเราเป็นผู้หญิง ใส่กระโปรงขยับตัวก็ยาก มีกำไล ต่างหู มีเสียงกุ๊งกิ๊ง ม้าจะตื่นหรือเปล่า ไหนจะส้นสูงที่เราใส่อีก ต้องระวังกับเขาให้มากกว่าเดิม
มีไปซ้อมเต้น ตัวหลินไม่ค่อยสนิทกับร่างกายตัวเองเท่าไหร่ มีซีนหนึ่งที่ต้องเต้นประมาณ “Moulin Rouge” นักแสดงหลัก เสือทุกคน และสมทบ ทหาร เซตคนเยอะมากๆ อีกเซตหนึ่งเลยที่จะต้องมาอยู่ในโรงละครแห่งนี้ ตื่นเต้นที่สุด เพราะเราต้องเป็นเซ็นเตอร์ของวง ไม่ได้เต้นคนเดียว มีพร็อป มีแดนเซอร์หญิง แดนเซอร์ชาย มีแบรนด์ไลฟ์สดในนั้น เหมือนเป็นมิวสิคัลบนเทียเตอร์เลย แล้วเราก็ต้องเพอร์ฟอร์มสิ่งนั้นออกมา
เพราะรสรินเขาเป็นคนที่ทำสิ่งนี้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ได้ครู “พี่เอ” (นัฐพงศ์ วงษ์กวีไพโรจน์ - แอ็กติงโคช) คอยช่วย ครั้งแรกที่เจอกันหลินก็บอกพี่เอเลยว่าช่วยหนูด้วยนะคะ เราพยายามบอกจุดที่เรามีปัญหา ที่เราอยากให้ครูประคับประคอง ฟูมฟักคาแร็กเตอร์ของ “รสริน” ให้ได้ ทั้งในการเต้น ในซีนอารมณ์ พี่เอก็จะช่วยเข้ามาซัปพอร์ตตรงนี้ให้หลินเสมอ
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลินได้บอกกับทีมงานไปตั้งแต่ต้นเลย เป็นสิ่งที่หลินซีเรียสที่สุดกับซีนที่ต้องเต้น เราแสดงความกังวลออกมาในหน้าตาและร่างกายไม่ได้ เพราะนี่คือสเตจของรสริน เป็นความธรรมดาในอาชีพของเขา สิ่งสำคัญของรสรินในวันนี้ ต้องดึงความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่เรา อยู่ที่เวที เพราะมีภารกิจบางอย่างแอบซ่อนอยู่ในงานรื่นเริงนี้ มี “พี่เป้” ที่เป็น “เสือใบ” มาเล่นอยู่บนเวทีกับเราด้วย
มันยากมากเพราะหลินไม่ได้ถนัดขนาดนั้น หลินเป็นนางแบบ มันแค่เดินเฉยๆ แต่นี่ต้องมีมูฟเมนต์ หน้าตา ท่าทางที่ทุกอย่างต้องออกมาอย่างมั่นใจ ไม่ใช่ทำหน้านิ่ง อิโมชันไม่มี เรียกว่าเล่นทั้งร่างกาย ความรู้สึก เป็นฉากที่เครียดกว่าคิวแอ็กชันเยอะเลยค่ะ แล้วทั้งวันจริงๆ กับฉากนี้จำได้ว่าเข้าไปถ่ายกันในโรงละครตอนสว่างๆ ออกมาอีกทีมืดแล้ว
แต่พอเรามีการซ้อมมาก่อนล่วงหน้า และเริ่มสนิทกับทีมงาน กับพี่ที่มาฟอร์มวงเต้นด้วยกัน ทุกอย่างก็ออกมาสนุกมากกว่าที่คิดเอาไว้ หลินถ่ายเสร็จยังเดินเล่นอยู่แถวนั้นไม่ยอมเปลี่ยนชุด แล้วก็เต้นอยู่แถวนั้น มันเหมือนปลดล็อกสิ่งที่เรากดดันมาตลอด แต่กลับกลายเป็นเราสนุกกับมัน ทุกคนเอนจอย แฮปปี้ร่วมไปด้วยกัน ภูมิใจมากค่ะ ที่มีโอกาสได้เปิดอีกด้านในการแสดงของหลิน
ซีนไหนอีกบ้างที่รู้สึกกดดันในการทำงานครั้งนี้
“ซีนห้องสมุด” เป็นอีกซีนที่หลินกังวล มันเป็นซีนที่ต้องสู้กับ “พี่นุ้ย เกศริน” (รับบท “ลินดา”) เป็นซีนแรกที่หลินต้องเข้ากับพี่นุ้ย ซึ่งเราก็เคยรู้อยู่แล้วว่าพี่นุ้ยเขาเป็นซูเปอร์ของสายบู๊ผู้หญิง แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว ตอนที่เล่นซีนบู๊ในรถกับ “พี่โอ้” มันยังมีพื้นที่จำกัดว่าเล่นได้แค่ไหน เราสามารถคอนโทรลอะไรได้หลายอย่าง แต่ซีนบู๊ในห้องสมุดเป็นกึ่งประชิดตัว สู้กันตัวต่อตัว เหวี่ยงกัน รุกรับกันชนิดห้ามคลาดสายตา มียิงกันใกล้ๆ แล้วมีเอฟเฟกต์เต็มไปหมด หลินไม่เคยเข้าซีนแอ็กชันแล้วมันมีเอฟเฟกต์เยอะขนาดนี้ มันตกใจ เราเองก็ซุ่มซ่ามด้วย ใจมันคิดไปหมด เราจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า หลินก็คุยกับทีมงาน ทีมสตันต์ พี่เขาก็ให้ความมั่นใจ แต่สำหรับหลินมันก็ยากอยู่ดี ไหนจะต้องจำคิวบู๊ที่เยอะมากๆ จำด้วยว่าเอฟเฟกต์อยู่ตรงไหน ปืนมันจะระเบิดเมื่อไหร่ กล้องอยู่ตรงไหนอีก มีตั้ง 2-3 ตัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกดดัน แต่พอถ่ายเสร็จ พี่ๆ เขาก็ตัดกันหน้าเซตให้ดูเลยว่าภาพที่ได้จะออกมาแนวไหน พอเห็นแล้วดีใจ หายวิตกกังวล เพราะภาพมันสวยมาก หลินกับพี่นุ้ยดูเท่มากเลย ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานกับคิวบู๊ต่อ
แล้วคนที่ดีไซน์คิวแอ็กชันจะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือ “พี่ท็อป” (วีระพล ภูมาตย์ฝน - ออกแบบคิวบู๊) ซึ่งเป็นแนวหน้าของเมืองไทยที่ทำงานด้านนี้มาตั้งแต่ “จา พนม”, “จีจ้า” เราเป็นแฟนหนังพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เราต้องไปซ้อมกับทีมสตันต์พี่ท็อป พี่เขาจะเก็บทุกรายละเอียด บอดี้ของเรา ท่าทาง ความมั่นใจ การลุยในทุกรูปแบบของรสรินต้องออกมาเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับเขา หนูสนุกและน้อมรับทุกความรู้ และยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับทีมระดับประเทศขนาดนี้ในเรื่องนี้ค่ะ
ต้องเข้าฉากกับเหล่า “เสือ” ทั้งหลายด้วย เป็นยังไงบ้าง
อย่างที่บอกคือ “รสริน” ต้องมีการเข้าหา “เสือ” ทุกคนในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน รสรินเป็นคนรอบรู้ รู้จักที่จะหาเทคนิคที่จะใช้กับคนอื่น อย่างเข้าหา “เสือใบ” จะมีวิธีการพูด การขยับ มูฟเมนต์ร่างกายเป็นอีกแบบ การเข้าหา “จอมพล” (ต้อม พลวัฒน์) จะใช้อีกรูปแบบหนึ่ง กับ “เสือดำ” (โตโน่ ภาคิน) เราก็จะเป็นอีกแบบ กับ “พี่โอ้” ที่เป็น “เสือมเหศวร” ก็จะมีการเจรจาในการดีลอีกแบบหนึ่ง หรือแม้แต่กับ “เสือฝ้าย” (เวียร์ ศุกลวัฒน์) ซึ่งแต่ละคนเรามีเป้าหมายไม่เหมือนกัน สิ่งที่ท้าทายหลินคือการทำให้รสรินใช้เสน่ห์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
แต่ด้วยความที่เหมือนพี่ๆ ทุกคนเป็นกันเอง แล้วก็สนุก คือเรามีการพูดคุยกันในกอง บางคนก็รู้จักกันมาอยู่แล้ว อย่างหลินรู้จักพี่เป้มาอยู่แล้ว ก็เลยทำให้การร่วมซีนกันมันง่ายขึ้น มันชิลขึ้น แล้วก็ไม่ได้กดดันเท่าที่มีภาพไว้ตอนแรก
“เวียร์ - โอ้ - เป้ - โน่” มาอยู่ด้วยกันเป็นยังไงบ้าง
สี่คนนี้มาอยู่รวมกันเหมือนเราอยู่โรงเรียนชายล้วน คือมันมีความสนุก มีความเหนื่อย มีสิ่งที่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในกอง เพราะพี่ๆ แทบทุกคนเขาเล่นกันมาก่อนแล้วตั้งแต่ “ขุนพันธ์” เขารู้จักกันอยู่แล้ว แล้วเราเหมือนเป็นน้องใหม่ที่เข้าไปในกองถ่ายนี้ แต่โชคดีที่พวกพี่ๆ เขาเป็นกันเอง เวลาเข้าฉากด้วยกันเลยมีแต่ความสนุก ไม่กดดันที่จะอยู่กับทุกคน มันทำให้การทำงานง่ายขึ้น
อย่างที่เล่า “หลิน” กับ “พี่เป้” เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อน พี่เป้ก็จะเข้ามาแซวขู่เล่นๆ ตบไหล่เราแล้วบอกว่าเหนื่อยนะเรื่องนี้ รู้ปะเนี่ย เหนื่อยเลยนะ พี่เม้งก็มาทัก ออกกำลังกายเยอะๆ นะ ต้องใช้พลังงานเยอะมาก แล้วนึกว่าหลอก ที่จริงแล้วก็คือเรื่องจริงที่ว่าเหนื่อย (หัวเราะ) หยอกกันเล่นจนกลายเป็นมุกขำๆ กันในกอง ไปถึงหลินก็จะขอกล้วยหอม ทางกองก็จะมีกล้วยเอาไว้ซัปพอร์ต เขาเตรียมไว้ให้เพราะต้องใช้พลังเยอะแน่นอน
ร่วมงานกับ “เสือ” แต่ละคนเป็นยังไงบ้าง
ต้องเล่าก่อนว่าก่อนจะมาถ่ายทำจริงมีการได้เวิร์กชอปเดี่ยวกับแต่ละคนมาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราได้เห็นวิธีการแสดงของพี่ๆ แต่ละคน จะได้ปรับด้วยว่าพลังเรามีพอหรือเปล่าที่จะร่วมซีนกัน แต่ละเสือเขามีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนมากอยู่แล้ว ส่วนเราเป็นคนที่เข้าไปเพื่อเติมสีสัน ต้องหาวิธีการดีลให้แตกต่างกันออกไป
อย่าง “พี่โอ้” (เสือมเหศวร) หลินเคยร่วมงานด้วยกันมาบ้างเล็กน้อยในงานอื่น แต่ไม่เคยที่จะเข้าซีนด้วยกันเลย แล้วยิ่งบทบู๊ไม่เคยมีมาก่อน หลินบอกพี่โอ้ช่วยด้วยนะคะ หลินต้องทำยังไง ผิดตรงไหนพี่บอกได้เลย พี่โอ้จะเป็นกันเอง ชิลๆ และคอยถามหลินว่าโอเคไหม ไหวเปล่า ถ้าทำแบบนี้ได้ไหม มันทำให้เวลาทำงานเหมือนมันไม่ได้เหนื่อยอยู่คนเดียว มันเหมือนเราช่วยกัน สู้ไปด้วยกันจนกว่าจะได้คิวที่ดูโอเค
กับ “พี่โน่” (เสือดำ) ในคาแร็กเตอร์อาจจะไม่ค่อยได้มีมุมที่ต้องเข้าซีนที่ยากๆ แต่จะได้เห็นมุมสบายๆ ระหว่าง “รสริน” กับ “เสือดำ” มากกว่า เป็นสีสันส่วนหนึ่งของเรื่อง ส่วนตัวพี่โน่เวลาอยู่ในกองเขาจะคีปคาแร็กเตอร์เสือดำไว้เสมอ ไม่ค่อยพูด ซึ่งก็จะเป็นเหมือนรสรินที่ต้องเข้าหาเสือดำเพื่อแงะให้เขาได้เผยมุมที่มีความซอฟต์ในตัวเสือดำออกมา เวลาที่ต้องเข้าซีนด้วยกัน ก็สบายๆ ค่ะ
“พี่เป้” (เสือใบ) ในเรื่องระหว่าง “เสือใบ” กับ “รสริน” จะเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน มีพื้นความคิดเหมือนกัน มีอดีตที่เหมือนกัน และเหมือนเสือใบจะรู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นคนยังไง แต่ต้องอยู่ในจุดที่ต้องมาทำงานร่วมกัน พี่เป้เป็นคนตลก เวลาที่เข้าฉากกับแก๊งเสือต่างๆ แก๊งของเสือใบจะเป็นแก๊งที่ตลกสนุกสนานเฮฮา แม้กระทั้งเบื้องหลังกอง พี่ๆ ที่เป็นวงดนตรีที่เป็นสมาชิกวงใบไม้ จะคุยกับสนุกสนาน เวลาอยู่กองก็จะรู้สึกอยากอยู่กับทีมนี้นานๆ มียิงมุกใส่กัน ตัวพี่เป้เองก็สบายง่ายๆ
“พี่เวียร์” (เสือฝ้าย) คนนี้กดดันที่สุด ก่อนเข้าฉากด้วยหลินมีความกดดันมาก เพราะเราเคยเห็นพี่เวียร์ในทีวีมาตลอด เขาดูเป็นพี่ใหญ่จริงๆ สมกับบทของ “เสือฝ้าย” ในเรื่อง “รสริน” กับเสือฝ้ายเองจะมีฮินต์ (Hint) บางอย่างกันมาก่อน ฉะนั้นความมีชั้นเชิงในตัวละครของรสรินกับตัวเสือฝ้าย มันมีเยอะหลายมิติ มันก็จะเป็นพาร์ตซีเรียสของตัวละครสองตัวนี้มากกว่า มีทั้งอารมณ์เจ็บปวด มีทั้งความสุข แต่ว่าไม่สามารถแสดงออกมาได้ มันจะมีความลึกของตัวละครทั้งสองตัวนี้มาก เวลาเข้าหาซีนร่วมกันมันจะมีพลังงานอะไรบางอย่างที่เหมือนเมฆดำครอบเอาไว้ พี่เวียร์เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว หลินก็คิดว่าก็ดีแล้วตัวคาแร็กเตอร์จะได้มีเรสเปก (Respect) ตัวเสือฝ้ายมากขึ้น
หนังฟอร์มใหญ่เรื่องนี้จัดหนักเลย
เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ได้มาเล่นเต็มๆ เรื่องแรกแลยค่ะ เป็นการถ่ายแบบฟูลออปชันเลย สำหรับหลินเองเป็นคนที่บ้าพลังอยู่แล้ว ไปเจอ “พี่โขม” เวลาทำงานในกองถ่ายก็บ้าพลังเหมือนกัน หลินรู้สึกว่าสนุก ทำงานเหมือนมาเข้าค่าย รด. เข้าค่ายลูกเสือ กิจกรรมที่มันต้องใช้แรงใช้พลังงานทั้งวัน มันมีความเหนื่อย แต่กลับมาบ้านก็ยังมีความสนุกอยู่ เวลาขับรถกลับบ้านหลินก็จะคุยกับผู้ช่วย วันนี้สนุกจังเลย ได้ทำอันนั้นอันนี้ ตื่นเต้น
ตอนแรกรู้สึกว่ากลัวพี่โขมจะเป็นคนดุ มีคนเคยขู่ว่าระวังนะพี่โขมดุนะ แต่พอได้มาทำงานร่วมกันแล้ว พี่โขมเป็นคนที่บ้าการทำงาน แต่สำหรับหลินมันกลายเป็นว่าสนุกดี การที่เราได้เห็นคนหนึ่งมีแพสชันในการทำงาน มันทำให้เรารู้สึกมีพลังไปด้วย มันรู้สึกดี
ฝากผลงานเรื่องนี้
หลินคิดว่า “เสือ” มันเป็นจักรวาลที่มีสีสัน เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วตั้งแต่เรื่อง “ขุนพันธ์” ทีมงานทุกคน นักแสดงทุกคน ตั้งใจทำงานและเต็มที่กับมัน พวกเราออกกล้องเหนื่อย ตากแดด ตากลม ขี่ม้า บู๊ มีเรื่องราวที่ครบทุกรสชาติ เราอยากให้ทุกคนเห็นความสนุกในกองออกมาผ่านหน้าจอนี้ อยากให้มันส่งถึงทุกๆ คน มันเป็นโปรเจกต์ออฟเดอะเยียร์ อยากให้ทุกคนได้ชมกัน 23 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa