เครดิตภาพ Facebook Official มาถึงภาค 2 กันแล้วครับสำหรับสไปเดอร์แมนภาคใหม่ หลังจากที่ภาคที่แล้วเน้นดราม่าซะส่วนมาก แต่กลับมาภาคนี้หนังแก้ตัวใหม่ด้วยความมันส์ที่มากกว่าเดิมลุ้นระทึกกว่าเก่าหนังเล่าถึงเรื่องของสไปเดอร์แมนหรือ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Andrew Garfield) เมื่อเขามีพลังพิเศษที่จะสามารถปกป้องผู้คนจากเหล่าปิศาจร้าย และเขาก็ต้องการจะมีคนรักอยู่ในชีวิตด้วย แม้รู้ว่าจะทำให้ชีวิตเธอไม่ปลอดภัย เมื่อกำลังจะสงบสุขและไปได้ด้วยดีก็มีศัตรูร้ายเข้ามาใหม่ คือ อิเล็คโทร(Jamie Foxx) ศัตรูตัวร้ายที่มีพลังในการควบคุมกระแสไฟฟ้า ในขณะที่ได้พบกับอดีตเพื่อรักอย่างแฮร์รี่ ออสบอร์น (Dane DeHaan) ซึ่งกำลังจะเปิดเผยความจริงที่เกี่ยวกับครอบครัวของปีเตอร์เครดิตภาพ Facebook Officialขอย้อนกลับไปในภาคแรก ต้องบอกว่ามันสนุกดี แต่มันยังไม่สุด ยังไม่ดีเท่าที่ควร งั้นเรากลับมาที่ภาค 2 ถามว่าสนุกไหม สนุกครับ แต่สุดไหม ไม่สุดแน่นอนโดยเฉพาะในแง่ของอารมณ์ แต่ดีกว่าภาคแรกในแง่ของความแอ็คชั่น ข้อดีของหนังภาคต่อ คือไม่ต้องมาย้อนเวลาหาอดีต เล่าถึงจุดกำเนิดของเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว เรื่องที่เป็นสาระสำคัญของภาคนี้ สามารถยัดเข้ามาได้เต็มที่ และธีมหลักของภาคนี้ ก็จะใช้ตัวร้ายที่มีพลังไฟฟ้า ซึ่งแน่นอนว่า ชุดของพระเอกไม่สามารถกันไฟได้ แต่หนังมีประเด็นที่ต้องการจะเล่าและสื่อเยอะมาก บางทีก็เยอะมากไปจนเกินความจำเป็น ยกตัวอย่างพาร์ทเรื่องพ่อของปีเตอร์ที่เหมือนจะหยิบยกมาเป็นประเด็นสำคัญ แต่เมื่อจบเรื่องมาเฉลย คือก็ไม่ได้ว๊าวอะไรขนาดนั้น และมีคำถามในใจว่า แค่เนี้ยอ่ะหรอเรื่องของฉากกุ๊กกิ๊กที่หนังพยายามจะใส่มาให้มีในหนัง ทั้งคู่มีความน่ารัก เข้ากันได้ดี ดูไปเราก็ยิ้มไปเขิลไป แต่มันกลับสั้นเหลือเกิน ว่ากันตรง ๆ เหมือนแค่ใส่เรื่องราวความรักมาแค่พอหยุมหยิม แต่หนังกลับไปเน้นเรื่องของการต่อสู้ผู้ร้ายมากกว่า คือมันสามารถเล่าไปในทิศทางเดียวกันได้ และทำให้มันสนุกได้ เหมือนคนเรียงบทยังไม่แน่ใจว่าจะเอาไรมาก่อนหลังมากกว่าเครดิตภาพ Facebook Officialเล่าแต่ประเด็นฝั่งพระเอก มาที่ฝั่งผู้ร้ายกันบ้าง ซึ่งเริ่มแรกเค้าเป็นแฟนคลับของของสไปเดอร์แมน แต่ก็มีเหตุพลิกผันมาทำให้เค้าต้องเกลียดสไปเดอร์แมน ด้วยเหตุผลบางประการ หนังปูเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า จากที่ชอบกลายเป็นเกลียด การที่มีแรงจูงใจให้เกลียดแบบนี้ อาจจะเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวก็เป็นได้ กลับกลายเป็น ตัวร้ายที่น่าผิดหวัง ไม่มีความน่าสนใจเท่าไหร่เลย แต่ว่าไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดีเลยนะครับ อย่างน้อยในภาคนี้ ก็มีเอฟเฟคต์สวย ๆ เวลาต่อสู้กับพระเอกอยู่เหมือนกันเมื่อเนื้อเรื่องมันไม่ค่อยดีละ เราก็มาดูที่องค์ประกอบกันด้านอื่นกันดีกว่า คุณภาพเอฟเฟคต์ของหนังรวมถึงซาวน์ประกอบจะช่วยตราตรึงอารมณ์ได้ไม่น้อย ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่หนังเรื่องนี้หยิบยกElectro มาเป็นวายร้าย เพื่อให้แมตช์กับ Effect ที่เหมาะสมกับวายร้าย มันเลยกลายเป็นภาพเอฟเฟคต์แฟนตาซีที่สมบูรณ์ใช้ได้เครดิตภาพ Facebook Officialคะแนนเนื้อเรื่อง 7/10 ถึงแม้ว่าหนังจะเป็นภาคต่อ และไม่จำเป็นต้องเกริ่นเรื่องให้เสียเวลาอีกต่อไป แต่หนังกลับปนเป ใส่รายละเอียดที่ไม่จำเป็นมาเยอะมาก ทำให้ความสนุกของหนังลดลงไปแยะ แต่ว่าระหว่างสู้กับตัวร้าย ในเหตุการณ์ที่ไฟดับทั้งเมือง นั่นเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะว่าเมื่อเหตุเกิดขึ้น ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นทั้งเมือง การคมนาคมทางอากาศก็เกือบจะเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนกันกลางอากาศ เพราะหอสั่งการภาคพื้นดินไม่สามารถสื่อสารกับเครื่องบินได้คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 ต้องยกความดีความชอบให้กับตัวร้ายของภาคเลยดีกว่าครับ เพราะมนุษย์ไฟฟ้า ถูกใส่เอฟเฟคต์ให้ดูสวยงามและดูมีพลัง ผสมผสานกับชุดสไปเดอร์แมนที่ดูเฉียบคมมากกว่าเก่าเดิม เมื่อทั้งคู่ต่อสู้กัน จึงผสมผสานความสวยงามของเอฟเฟคต์ให้ทวีคูณไปอีกครับ ต้องยอมรับว่าเค้าออกแบบตัวร้ายมาลงตัวกับการใส่เอฟเฟคต์จริง ๆเครดิตภาพ Facebook Officialข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. ไฟดับทั้งเมืองคือวิกฤต ในเหตุตอนท้ายที่เจ้าตัวร้ายทำให้ไฟดับทั้งเมือง ทำให้รู้ว่าไฟฟ้านี่สุดยอดแห่งความสำคัญเลย เพราะว่าเมื่อไร้ไฟฟ้า การสื่อสารทั้งหมดก็แทบจะถูกตัดขาด หอบังคับการภาคพื้นดินไม่สามารถชี้แจงหรือสื่นสารกับเครื่องบินที่กำลังลอยอยู่บนอากาศได้ ทำให้เกือบเกิดอุบัติเหตุหมู่บนท้องฟ้า2. จากความชอบกลายเป็นความเกลียดชัง ตัวร้ายในตอนแรกที่ชื่นชอบพระเอก ปลาบปลื้มมาก แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าต้องโกรธแค้นสไปเดอร์แมน การที่เกิดศึกระหว่างสไปเดอร์แมนและ Electro ทำให้ตัวร้ายยิ่งแค้นสไปเดอร์แมนมากกว่าเดิม เหมือนคนเรา ถ้าเคยรักหรือชอบใครแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นความเกลียดชัง พลังของความแค้นย่อมมากกว่าเก่า ก็ยังประทับใจไม่เพียงพอครับสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะว่าการจัดการบทบาท การวางบทบาทมันยังไม่สนุกมากพอ แต่ก็สามารถชดเชยได้ด้วยเอฟเฟคต์ที่สวยงามเครดิตภาพ Facebook Official