จากเรื่องราวตำนานสยองขวัญของตะวันตกที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก เคาท์ แดร็คคูล่า ที่เรื่องราวราชาแวมไพร์ของเขานั้น ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และซีรีส์โทรทัศน์หลายต่อหลายเวอร์ชั่น สำหรับคน Gen นี้ส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับ แคร็คคูล่า ฉบับของ แกรี่ โอลด์แมนใน Dracula (1992) และ เวอร์ชั่นของ ลุ้ค อีวานส์ใน Dracula Untold (2014) ซึ่งล่าสุด Netflix และ BBC ก็ได้ร่วมกันปลุกชีพราขาแวมไพร์ขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบทีวีซีรีส์ พร้อมเรื่องราวการตีความที่แปลกใหม่กว่าเวอร์ชั่นก่อน ๆโดยซีรีส์จะเล่าเรื่องราวของ เคาท์ แดร็คคูล่า(เคลส แบงก์) ราชาแวมไพร์ ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ในทรานซิเวเนีย ที่คอยจับคนมาดื่มเลือดเพื่อคืนความหนุ่มของตัวเอง จนกระทั่งเขาได้ดื่มเลือดของ โจนาธาน ฮาร์เกอร์(จอห์น เฮเฟอร์นาน) ทนายความหนุ่มจากอังกฤษ จนทำให้แดร็คคูล่ากลับคืนสู่วัยหนุ่มอีกครั้ง แต่เขาก็ดันปล่อยให้ ฮาร์กเกอร์หนีออกจากคฤหาสน์ไปได้ ทำให้ แดร็คคูล่าต้องออกเดินทางไปยังลอนดอน เพื่อตามหาฮาร์เกอร์ที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่สำนักชี และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แวน เฮลซิง(ดอลลี่ เวลส์) ด้วยความที่ซีรีส์เป็นผลงานของ มาร์ค แกติส และสตีเวน มอฟเฟท ที่เคยสร้างชื่อมาจากซีรีส์ Sherlock ทำให้ Dracula เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่มาพร้อมความยาวเพียง 3 Ep. เท่านั้น โดยจะยาว Ep. ละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเหมือนกันที่ BBC เคยทำมาแล้วในซีรีส์ Sherlock แต่ละซีซั่น โดยในแต่ละ Ep. ของซีรีส์จะมีเนื้อหาที่เส้นเรื่องหลักที่จะเล่าต่อเนื่องกัน และมีเส้นเรื่องรอง ที่จะมีเนื้อหาที่จบในตอน ซึ่งด้วยความยาวของทั้งซีซั่น และเนื้อหาแต่ละ EP. นี้เองที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เยิ่นเย้อ และยาวนานเกินไป โดยเราสามารถชมแบบทีละตอน ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังสยองขวัญสั้น ๆ 3 เรื่อง หรือจะดูแบบมาราธอน ในความยาวเพียง 4 ชั่วโมงครึ่ง ก็ทำให้ได้อารมณ์ที่เหมือนดูหนังสยองขวัญระดับมหากาพย์ระดับคุณภาพเรื่องหนึ่งได้เช่นกันในผลงานครั้งนี้ ท้ังแกติส และมอฟเฟท ยังคงสามารถหยิบเรื่องราวตำนาน คลาสสิก มาเล่าให้ร่วมสมัย และน่าสนใจได้เหมือนเดิม โดยในครั้งนี้พวกเขาได้หยิบตำนานปรัมปรา และความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ของแดร็คคูล่า มาต่อยอด พร้อมเน้นไปด้านความสยดสยองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน Ep.1-2 ที่การเล่าเรื่องเน้นนำเสนอผ่านมุมมองของเหยื่อ แทนที่จะถ่ายทอดมุมมองของแดร็คคูล่าเอง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดบรรยากาศของคฤหาสน์ออกมาได้น่าขนลุก การสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ แดร็คคูล่าออกมาได้น่ากลัว และทรงพลัง พร้อมทั้งการใส่จัมป์แสคร์ เพื่อเพิ่มสีสันความตื่นเต้น ทำให้ตลอดการดูซีรีส์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนดูกำลังเล่นเกมสยองขวัญ ที่ค่อย ๆ พาเราไปผจญภัย และเผชิญเรื่องราวลี้ลับ สยดสยอง ที่เดาไม่ถูกว่ากำลังจะเผชิญกับอะไรบ้างในฉากต่อไปในขณะที่ Ep.3 ที่ถือว่ามีความต่างจาก 2 Ep. ก่อนหน้าไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการนำตำนาน แดร็คคูล่ามาเล่าให้ดูร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ทำให้ Ep. สุดท้าย เต็มไปด้วยมุกตลกร้าย และความแปลกใหม่ต่าง ๆ ที่เราจะไม่เห็นจาก Dracula เวอร์ชั่นไหน ๆ อย่างแน่นอน นอกจากนี้ใน Ep. สุดท้ายซีรีส์ก็ยังได้ถ่ายทอดบทสรุปจากเรื่องราวใน Ep. ก่อน ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะซีเควนซ์สุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้ ทั้งสองผู้สร้างได้สรุปนิยามของ แดร็คคูล่าในแบบของพวกเขา ให้ออกมาชัดเจน เป็นรูปธรรมได้อย่างไร้ข้อกังขา อีกหนึ่งความพิเศษของ Dracula คือการเล่นกับความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่าง แดร็คคูล่า และแวนเฮลซิง ที่ทำออกมาได้เข้มข้น และชวนติดตาม จนทำให้ชวนนึกถึงความสัมพันธ์ของ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ และเจมส์ มอริอาตี้ จาก Sherlock โดยการแสดงของ เคลส แบงก์ และดอลลี่ เวลส์ ต่างก็สามารถรับส่งบทบาทได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้การต่อสู้ระหว่าง แม่ชีกับแวมไพร์ในเรื่องนี้สนุกกว่าเรื่องอื่น คือการที่ซีรีส์ไม่ขายความแฟนตาซีมากเกินไป แต่เลือกที่จะถ่ายทอดความสัมพันธ์แบบสงครามจิตวิทยาแทน มันเลยทำให้ทั้งสองตัวละครออกมาลึกลับซับซ้อน และมีชั้นเชิงกว่าหนังต่อสู้แวมไพร์เรื่องอื่น ๆด้าน แบงก์ เจ้าของบท แดร็คคิวล่า ก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ทั้งน่ากลัว และเปี่ยมเสน่ห์ และทรงพลัง อย่างน่าชื่นชม โดยเขาสามารถถ่ายทอดให้เราทั้งรู้สึกกลัว และชื่นชอบตัวละครตัวนี้ไปในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ต้องชื่นชมบทซีรีส์ ที่ไม่ดูเป็นการทำให้ แวมไพร์ผู้นี้ดูกระหายเลือด และบ้าคลั่งมากเกินไป แต่ซีรีส์ยังถ่ายทอดบท แดร็คคิวล่าให้ออกมาเป็นวายร้ายผู้ชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับผู้คน การรับมือด้วยสติปัญญา มากกว่าความสามารถ ทำให้ แดร็คคูล่าในเรื่องนี้ ดูมีความเป็นคนธรรมดา สามัญชนมากกว่าแค่สัตว์ประหลาด หรืออสูรกาย ในภาพจำหลาย ๆ คนโดยรวม Dracula ถือว่าเป็นซีรีส์คุณภาพอีกเรื่องจาก Netflix ที่ประเดิมต้นปี 2020 ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ตัวซีรีส์ไม่สั้น ไม่ยาวเกินไป สาามารถดูภายในรวดเดียวจบ แบบที่ไม่ต้องอดหลับอดนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอหนังสยองขวัญ ที่อยากสัมผัสความหลอนแบบคลาสสิก หรือใครที่เคยติดใจอารมณ์ซีรีส์บทเข้มข้นอย่าง Sherlock เรื่องนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง Cr. รูปภาพจากค่ายหนัง Netflix