Shot CommentTurn to me Mukai-kun (2023)เล่าเรื่องหนักหนาให้ดูซอฟต์และสนุกอย่างเหนือๆด้วยการเปรียบเทียบและโยนคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดูไปบ่นไปชอบหนังและซีรีส์ญี่ปุ่นอาจเพราะเสน่ห์ของความเป็นญี่ปุ่นในหนังและซีรีส์ ที่จะเหมือนยึดติดดังหยุดเวลาไว้ไม่สนใจว่าโลกนอกเกาะญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนถ้าว่ากันในด้านสื่อความบันเทิงอันนี้ว่ากันที่งานญี่ปุ่นแท้ๆ คำถามต่อมาคือแล้วเสน่ห์ที่ว่าคืออะไรแรกเลยคือการเล่าเรื่องที่เรียบเรื่อยไม่มีดราม่าหนักมาเร่งเร้าปล่อยใจถูกพัดพาไปตามสายลมที่เรื่อยเอื่อยนั้น ทว่าสายลมที่เรื่อยเอื่อยกลับเป็นความสบายเรือนกายไม่หนาวเกินไปและคลายร้อนอบอ้าวได้นั่นคือดูสบายตาสบายใจ จนเมื่อถึงเวลาสิ่งที่ต้องการจากคนดูจะจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างคือความเป็นศิลปะในการเล่าเรื่องที่เหมือนจะมีความหมายระหว่าบรรทัดให้ขบคิดมีช่องว่างให้จินตนาการปานอ่านบทกวีหรือนิยายหนักเข้าไปอีกคือการดูงานศิลปะสักชิ้นที่แต่ละสายตาอาจตีความไม่เหมือนกัน นั่นหมายความว่าหนึ่งบวกหนึ่งอาจไม่เท่ากับสองซึ่งงานจากที่อื่นก็มีแต่จากญี่ปุ่นถ้ามองให้ดีจะเป็นแบบนี้เยอะ แล้วซีรีส์ที่เรื่องนี้ก็เป็นแบบนี้ที่เหมือนเล่าเรื่องที่ชัดในสิ่งที่ต้องการสื่อแต่กลับต้องตีความเพราะชุดความคิดของคนไม่เหมือนกันมูไก ซาโตรุ (อาคาโสะ เออิจิ) หนุ่มโสดวัยสามสิบสามที่เลิกกับแฟนมาสิบปีโดยเป็นสิบปีที่ว่างเปล่าร้างคู่ตุนาหงัน ทั้งที่เขาเป็นคนดีทำงานดีเพื่อนร่วมงานชอบเขาแต่เหตุใดจึงร้างคู่มาถึงสิบปี จนเมื่อเขาก็ตระหนักได้ว่ารอบตัวเขาเหลือเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังโสดไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเคียงคู่โดยที่เพื่อนของเขาเพิ่งจะกลายเป็นพ่อคนและน้องสาวของเขาก็แต่งงานแล้ว นั่นทำให้มูไกคุงของทุกคนอยากมีความสัมพันธ์โรแมนติกกับคนอื่นเขาบ้างและมองหาคนที่เหมาะสมมาเป็นแฟนแต่เขาก็เชื่อว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความสัมพันธ์ก็ดาหน้าเข้ามาท้าทายแต่ก็ต้องจบลงไปทุกครั้งแล้วทุกครั้งเขาก็อยู่ในสายตาของซาไกโดะ โกคิ (ฮารุ) หญิงสาวที่ปากตรงกับใจคล้ายขวานผ่าซากซึ่งซาไกโดะก็อาสาชำแหละทุกความผิดพลาดในความสัมพันธ์ที่สิ้นสุดของมูไกกับสาวๆจนทั้งคู่สนิทกัน กระนั้นซาไกโดะก็มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับผู้ชายคนหนึ่งในที่ทำงานแล้วดูเหมือนทัศนคติในด้านความรักและความสัมพันธ์ของมูไกกับซาไกโดะจะอยู่คนละด้าน แล้วมูไกคุงจะมีแฟนได้อีกครั้งหรือไม่เมื่อมีที่ปรึกษาปากร้ายอย่างซาไกโดะเล่าเรื่องซ้อนเรื่องหลากหลายมิติแต่พัวพันกันลึกซึ่งในเรื่องง่ายๆที่ไม่เคยง่าย สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างแรกเลยคือการผูกเรื่องของการพยายามมีแฟนโดยที่มองข้ามความรักได้อย่างดีทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องความรัก ด้วยการแบ่งภารกิจพิชิตใจสาวและให้สาวมาพิชิตใจมูไกคุงทำให้ความสนุกคือลุ้นว่ามูไกคุงจะจบความสัมพันธ์กับสาวคนปัจจุบันแบบไหนไม่ใช่ลงเอยแบบไหน ต่อมาคือลุ้นว่ามูไกคุงจะได้มีแฟนหรือไม่เพราะโหยหาปานนั้นซึ่งก็ขยันมาท้าทายด้วยการเล่าถึงความรู้สึกและถ่านไฟเก่าที่ยังเร่าร้อนแต่ทุกครั้งความสัมพันธ์จะต้องลงเอยในแบบที่รู้กันว่าต้องจบ นั่นหมายความว่าเรื่องที่เหมือนง่ายด้วยการหาแฟนสักคนของมูไกคุงที่ก็หล่อนิสัยดีแต่กลับไม่ง่ายเพราะการคบกันเป็นแฟนมันมีอะไรมากกว่านั้นที่ชัดมากคือเรื่องของการตั้งเป้าไว้ที่การแต่งงานโดยไม่โหยหาความรัก และความฉลาดคือการซ่อนพัฒนาการความรักไว้หลังการอยากมีแฟนของมูไกคุงที่เชื่อเถอะว่าคนดูก็รู้ว่าจะลงเอยแบบไหนแต่ก็ลุ้นว่ารายละเอียดจะไปถึงตรงนั้นได้ยังไง ที่สำคัญเรื่องที่เล่าในแต่ละช่วงกับสาวแต่ละคนสามารถเชื่อมโยงกับความเป็นมูไกคุงได้อย่างดีทำให้เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องย่อยกลับเนียนตาดูเพลินทั้งลุ้นทั้งขำทั้งพลันได้คิดชั้นเชิงเหนือๆเล่าเรื่องหนักหนาให้ดูซอฟต์ลงด้วยด้วยการเปรียบเทียบและโยนความถามที่ไม่ต้องการคำตอบ นอกจากการลุ้นเรื่องของมูไกคุงกับการมีแฟนสักคนเรื่องรองที่ใส่มาคือเรื่องชีวิตคู่ของน้องสาวที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนของการใช้ชีวิตคู่ในทัศนคติของคนยุคใหม่ เมื่อการแต่งงานไม่ใช่สัญลักษณ์ของความรักอีกต่อไปเรื่องจึงออกมาสนุกด้วยเรื่องรองของคู่แต่งงานของน้องสาวที่ง่อนแง่นเพราะการปะทะกันเชิงทัศนคติ นั่นคือไม่ใช่ไม่รักแต่ไม่ต้องการแบบนี้คือต้องการจะอยู่คู่กันไปโดยไม่ต้องมีการแต่งงานมากำหนดหรือตีกรอบ ซึ่งก็การการเล่าเรื่องเชิงเปรียบเทียบที่ว่ากันที่ชีวิตคู่ที่ง่อนแง่นทั้งที่รักกันกับชีวิตคู่ที่มูไกคุงถวิลหาและชีวิตคู่ของแม่กับพ่อที่ต้องผ่านเวลาทั้งสุขทุกข์คละเคล้า ซึ่งก็คือการเปรียบเทียบการค้นหาชีวิตคู่กับความต้องการชีวิตคู่ที่ไม่ติดกับกรอบทางสังคมหรือการแต่งงานแล้วยังตอกย้ำกับการใช้ชีวิตคู่แบบคู่ชีวิตของแม่ ซึ่งความจริงเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาแต่เล่าออกมาได้ซอฟต์และสมูธพร้อมกับโยนคำถามว่าแบบไหนกันแน่ที่ใช่ ซึ่งคำตอบก็อยู่ในใจคนดูที่ไม่มีผิดไม่มีถูกเพราะอยู่ที่ทัศนคติของใครของมันในการมองชีวิตคู่และไม่จำเป็นต้องมีคำตอบคนดูก็รู้คำตอบในมุมตนเอง อาจเหมือนคลุมเครือให้ต้องตีความเรื่องความรักและชีวิตคู่ที่ฉายให้เห็นภาพและท้าทายขนบ เพราะกรอบทางสังคมที่ตีไว้ว่าการแต่งงานคือสัญลักษณ์แห่งความรักมนุษย์เมื่อถึงวัยหนึ่งต้องแต่งงานมีลูกสร้างครอบครัวใหม่มีปัจจัยสี่ซึ่งมันคือขนบ แต่เรื่องนี้กลับกล้าท้าทายขนบนั้นด้วยการฉายภาพอีกด้านเรื่องของความรักที่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานถ้าการแต่งงานคือกรอบที่กักขังทำให้สูญเสียตัวตนไป ทั้งยังออกแบบตัวละครฝ่ายหญิงให้ไม่อยู่ในกรอบของสังคมคือไม่ยึดติดกับการแต่งงานแต่ยึดติดกับหัวใจว่าการอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายคือความสุข กระนั้นตัวละครฝ่ายชายยังยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆคือการคบกันต้องสิ้นสุดที่การแต่งงานซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดเหมือนกับที่มูไกคุงลองคบกับชิกะที่ต้องการแต่งงานโดยไม่สนความรัก เปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างจากเสียงของผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่น (คนเขียนบทคือมาโกะ วาทานาเบะที่เป็นผู้หญิง) เพราะคำถามแรกเลยคือผู้ชายรับปากจะปกป้องแต่ผู้หญิงถามกลับว่าจะปกป้องเธอจากอะไร อาจเป็นเรื่องง่ายๆที่ผู้ชายไม่รู้ว่าผู้หญิงก็สามารถดูแลตัวเองได้ไม่จำเป็นให้ใครมาปกป้องไม่ต้องการทัศนคติเชิงผู้ชายเป็นใหญ่ ทำให้บทสนทนาเต็มไปด้วยความคมคายแต่คลุมเครือท้าทายให้ตึความเพราะความที่พยายามท้าทายขนบทางสังคมที่คมกริบการเล่าเรื่องที่ดูจริงมาพร้อมการแสดงที่เหมือนชีวิตจริงทำให้เรื่องที่เล่าเข้าใกล้ประหนึ่งชีวิตจริง เพราะนี่คือเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้การเล่าเรื่องจึงดูจริงและสื่อออกมาผ่านความคิดอ่านในใจตัวละครบ่อยๆ เมื่อเล่าเรื่องที่ดูจริงการแสดงก็ต้องดูจริงและที่ต้องชื่นชมคืออาคาเสะ เออิจิที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องได้อย่างดูเพลินสามารถสร้างความสนุกผ่านรูปลักษณ์ที่ดูเพลินตา ที่สำคัญการแสดงก็ยังดูเนียนตาในบทมูไกคุงจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่แสดงใน Pending Train ซีรีส์ปี 2023 เหมือนกันซึ่งก็หมายความว่าถ้าได้บทที่ดีพอบทที่หลากหลายบทที่มีมิติให้เล่นเขาก็เล่นได้ดีนี่นา อีกคนที่เนียนมากคือฮารุนักแสดงและนางแบบที่รับบทซาไกโดะที่ปรึกษาขวานผ่าซากได้อย่างเข้ากันดี ที่สำคัญเมื่อเวลาผ่านไปเคมีของทั้งคู่ยังทำให้รู้อะไรที่ควรรู้เพราะการแสดงสร้างพัฒนาการคู่กันจนรู้ทั้งรู้ว่าบทสรุปจะต้องออกมาแบบนั้นแต่ยังไม่วายลุ้นสนุกว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร และที่ต้องชื่นชมคือนักแสดงสมทบที่มาสร้างความเพลินตาเพลินใจได้ทุกคนกับสาวๆของมูไกคุงแม้ว่าจะมีบ้างบางคนที่น่ารำคาญบ้างก็ช่างมันปะไร ทั้งยังมาพร้อมภาพที่สวยคมชัดกับเพลงที่ไม่ได้มาพลิ้วแผ่วอีกต่อไปแต่ขับส่งสถานการณ์ให้ลื่นไหลดูสนุกขึ้นได้อีกเป็นกองเป็นงานที่ดูสนุกแม้จะมาในเชิงเบาสมองแต่ก็หนักพอให้ได้คิดและตระหนักว่าโลกพัฒนาทัศนคติเชิงชีวิตคู่ก็พัฒนา ถ้าย้อนกลับไปนึกถึงซีรีส์ญี่ปุ่นสักสามสี่ปีก่อนทัศนคติที่มีต่อการแต่งงานแบบที่เห็นในเรื่องนี้ไม่มีให้เห็นเลย ซึ่งจะว่าไปเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเรื่องเชิงทัศนคติแบบนี้ได้พัฒนาไปมากในญี่ปุ่นประเทศที่บริบททางสังคมมีความนิยมชายอยู่ไม่น้อย ยิ่งการเล่าเรื่องผ่านปัญหาของการหาคู่การใช้ชีวิตคู่และการประคับประคองชีวิตคู่โดยที่ทิ้งความรักไว้ข้างหลังไกลๆแบบนี้แทบมองไม่เห็นเลยซึ่งความจริงมิตินี้ถ้าจะเล่าให้หนักก็ดราม่าจัดเลย แต่เรื่องนี้กลับหยิบมาเล่าแบบสบายๆดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอเพราะชีวิตคู่อาจไม่ใช่มาจากการแต่งงานเสมอไป การอยู่ด้วยกันด้วยความรักและความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้ชีวิตคู่ได้ถูกประคับประคองไปได้ด้วยการรู้ธาตุแท้ เป็นไอศครีมวะนิลาซันเดที่แม้ท็อปปิ้งจะสวยงามแต่แก่นแท้ของไอศครีมก็ต้องเป็นไอศครีมและความอร่อยก็อยู่ที่ไอศครีม ทำให้ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยบทสนทนาที่อ้อมค้อมแฝงความหมายตลอดกลายเป็นดูไม่ยากแต่ยังไม่ละทั้งการจุดประกายทางความคิด ที่สำคัญการพัฒนาเชิงทัศนคติชีวิตคู่ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่มาเร็วปานนี้กลายเป็นความคมคายแบบเนียนๆแต่ก็ดูสนุกดูแล้วหยุดไม่ได้เช่นกันดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram mukaikun_ntv ถ้าคุณชอบซีรีส์ญี่ปุ่น คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/oPVG6V4lbKdLhttps://entertainment.trueid.net/detail/JpRBDYMad8Ephttps://entertainment.trueid.net/detail/grW2lRvGMmgJhttps://entertainment.trueid.net/detail/NMLQL1LEBRkjhttps://entertainment.trueid.net/detail/8M3kOq90OKJM ติดตามข่าวสาร คอนเทนต์เด็ด ๆ ก่อนใคร อย่าช้า โหลดเลยที่ TrueID !!