รีเซต

เปิดใจ "วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์" เล่าจุดเริ่มต้นก่อนมาเป็นเจ้าพ่อรายการทอล์กโชว์

เปิดใจ "วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์" เล่าจุดเริ่มต้นก่อนมาเป็นเจ้าพ่อรายการทอล์กโชว์
EntertainmentReport2
5 พฤษภาคม 2566 ( 11:25 )
222

เปิดใจพิธีกรระดับตำนานของประเทศไทย วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ กับการเปิดเผยเส้นทางโทรทัศน์ไทยกว่า 40 ปี และจุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นเจ้าพ่อแห่งรายการทอล์กโชว์ พร้อมเปิดชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ในรายการคุยแซ่บShow Special ทางช่องOne31 ที่มี ชมพู่ ธัณย์สิตา และ เป็กกี้ ศรีธัญญา

เปิดใจ "วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์" เล่าจุดเริ่มต้นก่อนมาเป็นเจ้าพ่อรายการทอล์กโชว์

 เริ่มตั้งแต่คุณอายังเป็นเด็ก ๆ เลย คุณอาเป็นคนจังหวัดอะไรคะ ?
วิทวัจน์ : เป็นคนยะลา อยู่ยะลาถึงอายุ 17 ปี เกิดที่นั่น คลอดที่นั่น โตที่นั่น เรียนที่นั่นแล้วก็เรียนที่กรุงเทพฯ มศ.4 เรียนอยู่ 2 ปีกว่าๆ พอจบ มศ.4-มศ.5 ก็สอบเอนทรานซ์เลือกแบบไม่ดูเงาหัวตัวเอง เลือกจุฬาฯ ศิลปากร ชอบศิลปะ อันดับ 1 เลือกศิลปศาสตร์ จุฬาฯ ชอบภาษา ไม่ติดซักคณะเลย พ่อเลยบอกให้ไปเรียนรามฯ แต่รู้สึกตัวเองชอบภาษาเลยอยากไปเมืองนอก แต่ที่บ้านไม่ให้ไป ไม่มีตังค์

 แล้วที่ทำยังไงถึงได้ไป ?

วิทวัจน์ : พี่ชายคนที่สองชื่อคุณอรรถพล เค้าก็ภาคภูมิใจจนทุกวันนี้ เค้าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว ถ้าจะกลับให้หาซื้อตั๋วกลับมาเอง ออสเตรเลียยุคนั้นค่าเรียนฟรี เราชอบศิลปะเลยเลือกคณะศิลปะศาสตร์ เรียนอยู่ 4 ปี

 หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทยมั้ย?

วิทวัจน์ : ได้ทำงานเลย ได้งานแรกเลยที่กระทรวงศึกษาธิการของซิดนีย์ ออสเตรเลีย ทำไปได้พักนึงพอดีหนังสือพิมพ์ลงประกาศต้องการอาร์ต ไดเร็คเตอร์ให้เกมส์โชว์เด็ก เราก็หิ้วพอร์ตโฟลิโอไป

 

ตอนเค้าเห็นใบสมัครเราเค้าสนใจรับเราเลยมั้ย ?

วิทวัจน์ : เค้าดูงานพอร์ตโฟลิโอที่ว่าคือเนื้องานของเรา ดูงานศิลปะ

เห็นว่าทำไปทำมารายการโดนยุบ ?

วิทวัจน์ : รายการเด็กของทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้เป็นรายการที่หาสปอนเซอร์ยาก รายการอยู่ได้ซัก 2 ปี มีลูกน้อง 2 คนที่เป็นฝรั่งก็โดนไล่ออก เค้าเก็บหน้าจีนคนนี้ไว้ เค้าให้เราย้ายไปอยู่แผนกข่าว เป็นแผนกใหญ่ขึ้นรายการเกมส์โชว์เด็กมีอาทิตย์ละครั้ง แต่แผนกข่าวมีทุกวัน แต่ไม่ได้เป็นอาร์ต ไดเร็คเตอร์แล้วเป็นกราฟฟิก ทำไตเติ้ล ออกแบบฉาก ทำอยู่ได้ประมาณ 3 ปี

ขอบคุณคลิปจากรายการ คุยแซ่บ Show

เห็นว่าผลงานคุณอาก็ดีจะโดนเลื่อนขั้นแต่ก็ไม่โดนซักทีเกิดอะไรขึ้น ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเรารู้สึกว่าความเป็นซีเนียร์ ถ้ามีคนออกก็จะได้รับการไต่เต้าขึ้นไป แต่พอถึงเรา เราก็อายุมากที่สุดน่าจะถึงเราบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ หาคนใหม่เข้ามา เป็นอยู่อย่างนั้นซักครั้งสองครั้ง จนมีรายการนึงที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้วก็น่าจะถึงตาเราแล้ว แต่ก็ไม่ ข้ามเราไปอีกแล้ว ไอ้หน้าจีนคนนี้ก็นั่งรอไป มีความรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าตาเราไม่เป็นสีฟ้า ผมไม่เป็นสีบลอนด์ ผิวเราเหลืองกว่าชาวบ้านหน่อย เหยียดผิวแล้ว ถ้าเพียงแค่เรากลับบ้านแล้วเราทำงานโดยที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษไม่แน่ชีวิตเราอาจจะรุ่งเรืองกว่านี้

แต่การกลับก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะระหว่างนั้นคุณอาก็มีครอบครัว ?

วิทวัจน์ : ใช่ ตอนนั้นมีลูกแล้วยังเล็กอยู่เลย

 ไปเจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไหน ?

วิทวัจน์ :  เจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไปไปปีแรกเลย ตอนไปปีแรกต้องไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน 3 เดือน ก็เจอภรรยาที่นั่น ภรรยาเป็นคนไทยด้วยกัน

 แล้วทำไมปิ๊งเลย ตอนนั้นเราเจอคนเอเชียกี่คน ?

วิทวัจน์ : ในโรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษก็แปลว่าเป็นนักเรียนที่มาจากประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ตอนนั้นอายุ 17 เป็นป๊อปปี้เลิฟก็คุยกันรู้เรื่องดี

 แสดงว่าเห็นแล้วรักแรกพบเลยหรือเปล่า ?

วิทวัจน์ : อาจจะประมาณนั้น เป็นคนที่ชอบคนผมยาว

 
เราเข้าไปจีบแล้วตอบรับเลยมั้ย ?

วิทวัจน์ : คนไทยในซิดนีย์ ออสเตรเลีย ตอนนั้นไม่ได้มีเยอะ จับกลุ่มรวมกันคุยกันเองก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจน เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกัน
 
ณ ตอนนั้นที่จะย้ายมาเมืองไทยมีลูกหรือยัง ?
วิทวัจน์ : คนโต 3 ขวบ คนที่สอง 3 เดือน


ก่อนจะย้ายมาเมืองไทยเห็นว่าคิดแล้วคิดอีกตั้งแต่ลูกคนที่สองยังอยู่ในท้อง ?

วิทวัจน์ : ถูก ใช้เวลาในการตกลงกับภรรยา เค้าไม่ยอมกลับ คือวันแรกที่คุยกันเราบอกว่าไม่อยากทำแล้ว เบื่อพูดภาษาอังกฤษแล้ว อยากมาเมืองไทยพูดภาษาไทย ทำงานภาษาไทย คุยกับคนไทย มีลูกน้องคนไทย มีเจ้านายคนไทย เค้าก็ไม่เอา เวลาก็ผ่านไปเราก็ทำงานไป เงินก็ดีใช้ได้ สถานะทางสังคมก็ดี ตอนนั้นเท่นะเวลาคนถามทำงานที่ไหน เราบอกไอทำงาน แชนแนล ไนน์ อาเป็นคนเอเชียคนเดียวในจำนวนพนักงานตอนนั้นคิดว่าน่าจะซักพันคน

 
ต้องใช้วิธีไหนเค้าถึงจะยอม ?

วิทวัจน์ : อาพูดอยู่คำนึง เราตกลงกันซักระยะนึง ขอ 5 ปี ถ้าไม่เวิร์คไม่รวยขึ้นกว่านี้ ซึ่งโคตรยากเลยนั่นมันเงินดอลล่าร์แล้วเรากลับมาหาเงินบาท เลยขอ 5 ปีถ้าไม่รอดก็กลับ


หลังจากออกจากงานแรกมาถึงเมืองไทยเล็งอะไรเป็นงานต่อไป ?

วิทวัจน์ : นั่งอยู่บ้านแล้วก็ดูทีวี เห็นมีผู้ชายผมหยิกๆคนนึงนั่งอ่านข่าว เค้าจะทำแบบที่เราเคยทำตอนอยู่ออสเตรเลีย คนนั้นชื่อ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อ่านข่าวช่อง9 อสมท ยังมีไอ้นี่ต้องทำ ไอ้นี่ก็ยังต้องเปลี่ยน ฉากตรงนี้ก็ไม่ค่อยดี เรารู้เลยว่าเค้าต้องการทำอะไรและกำลังจะไปสู่จุดไหน มันเป็นการเสนอข่าวแบบฝรั่งแนว CNN

แล้วคุณอาทำยังไง ?

วิทวัจน์ : เดินเข้าไปเลย สวัสดีครับอาจารย์ครับ ผมมาสมัครงานครับ สมัครอะไรฉันไม่ได้ประกาศ ไปดักแกเพราะเรารู้ว่ามันเป็นการเสนอข่าวสด ไปเซอร์เวย์ก่อนเดินเข้าไปดูห้องข่าว ห้องอาจารย์อยู่นี่ กะเวลาเลิกรายการกว่าจะเก็บสคริปต์ถอดไมค์น่าไม่เกิน 5 นาที แกก็เดินมาจะขึ้นรถ ก็เข้าไปสวัสดีบอกว่าผมมาสมัครงาน ผมมาจากออสเตรเลีย ผมทำงานที่ฝ่ายข่าวที่ Channel 9 ของออสเตรเลีย ผมมานำเสนอในสิ่งที่อาจารย์ขาดอยู่ ก็ยืนคุยกันอาจารย์ก็บอกว่าเดี๋ยวนัดคุยกัน หลังจากนั้นพอนัดกันก็เปิดงานให้เค้าดูก็คืองานทีวีข่าว ไม่รับก็แย่แล้ว


ก็ได้ทำงานที่นี่เลย นานมั้ยคุณอา ?

วิทวัจน์ : ใช่ ก็ออกแบบฉาก ออกแบบไตเติ้ลใหม่ ข่าว 9 อสมท ที่เป็นเลข 9 หมุนๆ อันนั้นอาเป็นคนทำออกแบบคอนเซ็ปต์ ออกแบบโต๊ะ ก็ทำอยู่ประมาณปีนึง อาจารย์สมเกียรติเป็นผู้ปฎิวัติวงการข่าวของประเทศไทยเป็นประวัติศาสตร์เลย เราก็ไปทำเบื้องหลังนั่นแหละ


แต่ก็มีสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่พลิกวงการพยากรณ์อากาศ นั่นก็คือคุณอา ทำไมถึงได้ไปทำงานวงการพยากรณ์อากาศ เห็นบอกว่าเป็นคนแรกด้วย ?

วิทวัจน์ : ทำไปได้ปีนึง หลังจากนั้นก็มีกราฟฟิกรายวัน คือเวลาคนไม่เปิดเสียงก็จะเห็นตัวหนังสือ แต่ข่าวพยากรณ์อากาศอาทำอยู่ตอนอยู่ออสเตรเลีย ทำมาหมดรู้หมดแล้ว เลยถามอาจารย์ว่าทำไมอาจารย์ไม่หาคนมาอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ ผมเสนอเป็นคอนเซ็ปต์ให้เอามั้ย ผมวาดเป็นสตอรี่บอร์ดให้ ถ้าเราดู CNN ทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนี้ อาจารย์ดูแล้วก็บอกว่าใช้ได้ คอนเซ็ปต์นี้โอเค เอาเลยเอาแบบนี้

เอาสตอรี่บอร์ดเราแล้ว แล้วคนอ่านล่ะคะ ?

วิทวัจน์ : บอกอาจารย์ว่าคอนเซ็ปต์อันนี้ผมทำให้ได้ไม่มีปัญหา ฉากหลังเดี๋ยวผมออกแบบให้ แต่อาจารย์จะเอาใครมาอ่าน อาจารย์เค้าก็บอกว่าใครจะไปรู้ว่าต้องทำยังไงนอกจากคุณ คุณนั่นแหละอ่าน


พออาจารย์บอกอย่างนี้ คุณอาว่ายังไง ?

วิทวัจน์ : ผมรู้วิชาภูมิศาสตร์ตอนอยู่ ม.ต้น แรงลม เรื่องของเมฆ เรื่องของลมบก ลมทะเล ความกดอากาศ อาจารย์บอกไม่รู้ก็ไปเรียนที่กรมอุตุฯ อาจารย์ยกหูกริ๊งเดียวคงพูดประมาณว่าเราต้องการส่งคนไปเรียนเพื่อการนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศให้ดูดีขึ้นเราอยากใช้คนของเรา สมัยก่อนจะใช้เจ้าหน้าที่จากกรมอุติวิทยาเป็นผู้นำเสนอข่าว แล้วก็ไม่มีอะไรมากมายเกินไปกว่า พระอาทิตย์ขึ้นกี่โมงตกกี่โมง น้ำทะเลขึ้นสูงสุด


แล้วสไตล์ของคุณอาคืออะไร ?

วิทวัจน์ : ก็มีความรู้มาพอที่จะนำเสนอได้ เป็นรายการสดตื่นเต้นมากเพราะเราอยู่เบื้องหลังมาตลอด

แล้ววันนั้นคุณอาตายไมค์มั้ยคะ ?

วิทวัจน์ :  ตาย จะรอดหรอ มันไม่เดดแอร์แต่พูดผิด พูดผิดแล้วก็แก้ แก้แล้วก็ขออภัยครับ หลังๆมีคนบอกว่าถ้าพูดผิดไม่ต้องขออภัยเผื่อเค้าไม่รู้ ข้ามไปเลยแล้วพูดใหม่ แต่คนชอบเพราะเป็นเรื่องใหม่ รายการ 2 นาทีกว่าเองตอนจบก็มีตบมุกหน่อย ช่วงนี้ความกดอากาศสูง ไม่ทราบว่าความกดอากาศหรือความดันอาจารย์สมเกียรติไม่ทราบวันนี้สูงหรือต่ำครับ เชิญครับ ส่งไปแบบนี้ คนดูชอบ


จากสายข่าวพยากรณ์อากาศแล้วกลายมาเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการทอล์กโชว์ได้ยังไง ?

วิทวัจน์ : ทำรายการพยากรณ์อากาศอยู่สองปีก็ต้องมีมุกอย่างที่ว่าพวกนี้ ผมไปบอกอาจารย์ว่าผมหมดมุกแล้ว เพราะทำ 7 วันต่ออาทิตย์ 365 วันต่อปี อาจารย์เค้าก็ไม่มีปัญหา คุยไปคุยมาก็ถามอาจารย์ว่าเรามาทำทอล์กโชว์กันมั้ย


ตอนนั้นเมืองไทยมีหรือยัง ?

วิทวัจน์ :  ไม่มี ตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่มี ในอเมริกามีชื่อทูไนท์ โชว์ พิธีกรชื่อจอห์นนี่ คาร์สัน เป็นตำนานของวาไรตี้ ทอล์กโชว์แบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ เลยบอกอาจารย์ทำแบบนี้มั้ย ผมไม่อยากทำพยากรณ์กาศแล้ว หาคนมาแทนดีมั้ย คนที่มาแทนคือ คุณจิ๊ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ


เริ่มแรกของวาไรตี้ทอล์กโชว์คือรายการ ?

วิทวัจน์ : คืนนี้ที่ช่อง 9 เราเป็นโปรดิวเซอร์ ออแบบเหมดเลย เป็นรายการสัมภาษณ์ดาราสมัยก่อนไม่มีใครออกมาสัมภาษณ์แบบนี้เลย มีแต่สัมภาษณ์ทางนิตยสาร ดิฉัน ขวัญเรือน แต่ในทีวีไม่มี รายการคืนนี้ที่ช่อง 9 เป็นวาไรตี้ที่มีเพลงให้ฟัง 1 เพลง มีโชว์ใดๆ แต่ไข่แดงของมันคือการสัมภาษณ์ตอนนั้นเราได้อดีตนายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแขกรับเชิญ ตอนนั้นหม่อมคึกฤทธิ์เพิ่งจะผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราก็ไปเรียนเชิญถึงบ้านเลย อาเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ข้างบนเลยบอกอาจารย์ว่าขอฟังเสียงหัวใจของหม่อมคึกฤทธิ์ได้มั้ย อาจารย์ก็บอกจะบ้าหรอ อาจารย์เอาจริงถามว่า คุณชายผ่าตัดหัวใจมาแล้ว หัวใจเต้นดีมั้ยครับ ขอฟังเสียงเต้นหัวใจหน่อยครับ แต่เราไม่รู้ว่าจะฟังยังไงในที่สุดไม่มีวิธีอื่นเลยใช้ไวเลสไปแนบกับหัวใจ หม่อมคึกฤทธิ์ถามว่ามัยจะได้ยินหรอ ท่านก็เลยถอดเสื้อ แต่ก็ยังเหลือเสื้อกล้ามนะ เพื่อจะเอาไมค์ไปแนบกับเนื้อแกได้ ตอนนั้นยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของเรา นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เราก็สัมภาษณ์ ตั๊ก มยุรา ก็ได้รู้เรื่องราวตลกๆของตั๊ก และดารานีกร้องอื่นๆหลายคน ตอนนั้นเราบันทึกเทปอาทิตย์ละครั้ง จนทำเทปที่ 5 อาจารย์บอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย บอกว่าผมจะลาออก คือแกลาออกก่อน ก่อนที่จะบอก ทุก 7 วันจะหาแขกยังยากเลยนี่ต้องหาพิธีกร มีเวลา 6 วันหาพิธีกร เราติดต่อไปหลายคนปฎิเสธหมดทุกคน จนวันที่ 6 ทุกคนในที่ประชุมบอกคุณนั่นแหละ พูดทำนองที่ ดร.สมเกียรติ เคยพูดว่าก็ใครจะไปรู้ดีกว่าคุณล่ะ คุณสร้างรายการนี้ขึ้นมา แล้วก็เคยออกทีวีแล้ว เคยตายไมค์มาแล้วคงเคยชินกับความล้มเหลวมาบ้างแล้ว แต่ก็ลำบากมากแม่ว่าจะเป็นรายการบันทึกเทปแต่ก็ตื่นเต้น ถ้าพลาดเราตกเหว ถ้าตกเหวเราตาย แต่ตัดต่อได้ ใจชื้นมาหน่อย นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเป็นพิธีกร แล้วก็ทำรายการนี้มาประมาณปีครึ่งถึงสองปี


ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

 

ตอนที่ 2 

 

หลังจากรายากรที่ช่อง 9 มาเป็นอะไรต่อ ?

วิทวัจน์ : 4 ทุ่มสแควร์

มาเป็น 4 ทุ่มสแควร์ ได้ยังไง ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเกิดจากว่าเราหมดมุกอีกแล้ว ไม่รู้จะยังไงดี เริ่มรายการใหม่ดีกว่า ลาออกจากบริษัทเดิม มันไม่มตัวอย่างให้ดูในประเทศไทย เราทำด้วยการครีเอทมาจากความรู้สึกและครีเอทีฟไอเดียของเราล้วนๆ แต่ตอนนั้นจำได้ว่ามีเรื่องที่น่าสนใจในต่างประเทศก็คือโอมวีดีโอคนเค้าก็ซื้อกล้องมาถ่ายรูปถ่ายเด็ก ถ่ายภรรยา เอาลูกมาแกล้งบีบมานาวให้ลูกกิน ลูกขวบนึงกินแล้วก็เปรี้ยว น่ารัก ถ้าเราเอามาออกส่วนหนึ่งของรายการเราน่าสนใจจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ 4ทุ่มสแควร์ นอกจากสัมภาษณ์ก็มีโฮมวีดีโอเป็นพระเอกเลย คนชอบดูน่ารักมาก

 

คุณอาถือว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการทอล์กโชว์ เรตติ้งดีมาก 4ทุ่มสแควร์ยืนระยะมากี่ปี ?

วิทวัจน์ :7 ปี 7 เดือน ตอนนั้นพิธีกรมี ตุ๊ก ดวงตา กับ เด๋อ ดอกสะเดา

 

แล้วเกิดอะไรขึ้น คุณอาอย่าบอกนะว่าหมดมุก ?

วิทวัจน์ : หมดมุกอีกแล้ว แม้ว่าครีเอทีฟไอเดียจะขุดมาจากอากาศธาตุก็เหอะ บางทีที่เค้าเรียกว่าจนด้วยเกล้าก็คิดไม่ออก หมดมุกอีก

 

ทิ้งระยะนานมั้ยกว่าจะเกิดรายการใหม่อีกหนึ่งรายการที่โด่งดังมากๆเช่นกัน ?

วิทวัจน์ : หลังจากเลิก 4ทุ่มสแควร์กะไปพักยาวเลยหอบลูกกับเมียไปออสเตรเลีย ตั้งใจจะไปอยู่ระยะยาวๆซักระยะหนึ่ง มีอยู่วันนึงนั่งดูรายการทีวีอยู่ที่ออสเตรเลียมันมีรายการนึงชื่อรายการเรียลทีวี โฮมวีดีโอจะน่ารักๆ แต่อันนี้ดูแล้วมันมีภาพๆนึง เค้าบอกว่าเกิดเหตุการณ์ณ์ที่มีเด็กวัยรุ่นขโมยรถถังจากกองทัพบกของอเมริกาเอามาขับเล่นอยู่กลางถนนในลอสแอนเจอลิสกลาง LA รถถังคันนี้มีเด็กอายุประมาณ 16 อยู่ข้างในมันเอามาขับเล่น เค้าก็กลัวกันว่าจะยิงปืนใหญ่เป็น สนุกมาก นั่งดูอยู่ที่บ้านเพื่อน พอกลับมาเมืองไทย พี่อ้วน อรชร ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ บอกว่านายอยากคุยด้วย นายประวิทย์ มาลีนนท์ ตอนนั้นตบเข่าเลยได้งานแล้ว แล้วก็จริงตามที่คาดคุยไปคุยมาก็ชวนมาทำรายการ

 

และรายการที่ได้มาชื่อรายการตี 10 ?

วิทวัจน์ : ใช่ ก็นี่แหละ ตี10

 

รายการที่อยู่ในใจใครหลายๆคน เราก็ชอบด้วย เพราะเราก็เกิดจากที่นี่เหมือนกัน แล้วที่คุณอาออกไอเดียตี 10 มันเป็นแบบไหน ?

วิทวัจน์ : คุณประวิทย์ครับคิดว่าจะพร้อมได้เมื่อไหร่ ไม่ทราบ 3เดือน-4เดือน แล้วแต่ว่าฉากเราจะได้ภายในกี่เดือนแล้วก็คอนเซ็ปต์อื่นๆใดๆ  อีกเรื่องนึงคุณประวิทย์ครับผมอยากได้รายการนึงชื่อรายการเรียลทีวี ผมเอา End Title ให้ดูว่าผลิตโดยบริษัทอะไร ผมไม่มีศักยภาพในการติดต่อถ้าไปโดย Channel3  Thailand เค้าจะติดต่อได้ง่าย คุณประวิทย์ก็ติดต่อเลยจะขอซื้อรายการชื่อเรียลทีวี ขอซื้อยากมาก ผ่านไป 1เดือนก็แล้ว 2 เดือนก็แล้ว ฝ่ายจัดซื้อก็ยังจัดซื้อไม่ได้ เราก็บอกว่าถ้ายังไม่มีผมขอเลื่อนจนกว่าจะซื้อได้ มันซื้อได้ใช่มั้ยครับ เค้าบอกว่าซื้อได้แต่ยังไม่ตอบมาซักที หลังจากตอบแล้วก็ต้องมีส่งฟุตเทจมาให้เรามีเซ็นสัญญา

 

กว่าจะได้เรียลทีวีมาใช้เวลาทั้งหมด ?

วิทวัจน์ :  7 เดือน ก็รอไม่งั้นไม่ขึ้นรายการ

 

สุดท้ายก็ได้เรียลทีวีมาจึงเกิดเป็น ตี10 เรตติ้งดีมาก ?

วิทวัจน์ : เรียลทีวีตอนนั้นอาจะเป็นคนพากย์เอามาเรียลเรียงใหม่แล้วก็พากย์ให้เป็นไทยๆใหม่ แต่เรียลทีวีถ้าตอยสุดท้ายมีการตายเค้าจะตัดทิ้ง เค้าจะเอาแต่เรื่องที่ไม่มีความตาย ในที่สุดมันก็มีคำว่า “เดชะบุญ” อาเป็นคนพากย์ “แต่เดชะบุญผู้ชายคนนี้ไม่เป็นอะไรหลังจากรักษาตัวอยู่ 2 เดือนก็ออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ” โน้ส อุดม เอาเรื่องนี้ไปแซวบนเวทีเป็นเรื่องเป็นราว อายมาก(ยิ้ม) เอาเรียลทีวีไปแซวรู้สึกจะเดี่ยว 4

 

นอกจากรายการของคุณอาดังแล้วศึกชิงเรตติ้งก็เกิดขึ้น เพราะเค้ามีอีกหนึ่งรายการเหมือนกันที่เป็นเกมส์โชว์มีเรตติ้งเหมือนกันแล้วเค้าก็จับมาชนกันในยุคนั้น เป็นยังไงความเข้มข้นที่เกิดขึ้น ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเครียดมาก หนักหนาสาหัสมาก ตอนนั้นการวัดด้วยเรตติ้งจุดต่อจุดเลย ถ้าแข่งขันวิ่งคือวินาทีต่อวินาทีแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องทำไป

 

ย้อนบรรยากาศตี 10 หน่อยตอนนั้นมีกี่ช่วง ?

วิทวัจน์ : มีทอล์กโชว์ , เรียลทีวี , มีช่วงคล้ายๆดันดารา มีร้องเพลง

 

สุดท้ายก็มีช่วงดันดารามาเพิ่ม ที่ทำให้คนรู้สึกว่าช่วงนี้แหละที่ทำให้คนรอดูความสามารถจากคนทางบ้าน ต้องยอมรับว่าดันดาราปั้นคนมาประดับคนบันเทิงเยอะมาก หนึ่งในนั้นก็มีเป็กด้วย แล้วคอมเม้นท์เตเตอร์ภาพจำเลย อาโน๊ต,ครูอ้วน,อาจารย์เชน จุดเริ่มต้นดันดารามายังไง ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าบ้านเรารายการที่เรียกว่า Talent Quest ก็คือคนทางบ้านมาแข่งขันความสามารถกันมันไม่มีเลย เราเชิญคนทางบ้านมาแสดงในรายการดีกว่า มีแต่คนสมัครเข้ามาร้องเพลง ตอนนั้นเราต้องการอื่นๆใดๆ แปลกๆ จะทำต่อดีมั้ยเนี่ย มีแต่คนร้องเพลง ทีมงานบอกว่าเอาคนร้องเพลงเนี่ยแหละ เพราะตอนนี้คนร้องเพลงเก่งๆเยอะมาก ไปดูตามคาราโอเกะซิ ก็เอาเลยรับคนร้องเพลงเข้ามาดันทุรังเลิกเพราะว่าคนร้องเพลงเยอะมาก เสียงดีๆทั้งนั้นเลย หนึ่งในนั้นคือคนนี้ (ผายมือทางเป็กกี้)

 

ตอนเป็กกี้มาพู่ยังไม่มาเนอะ แล้วคนมาชวนคุณจำได้มั้ย ?

เป็กกี้ : ตอนนั้นคุณอาให้โอกาสหลายครั้ง ถือว่าแจ้งเกิดกันเยอะมากคุณอา มีดาราหลายๆคนแจ้งเกิดในรายการของคุณอาด้วย คุณอาพอจำได้มั้ยว่ามีใครบ้าง ?

วิทวัจน์ : อี๊ด โปงลางสะออน สุดยอดการแจ้งเกิดในดันดารา แล้วอี๊ดก็ไปโด่งดังสร้างชื่อเสียงมากมาย เป็กกี้ ศรีธัญญาอีกคนนึง แล้วก็มียายแหวว ท๊อฟฟี่ สามบาทห้าสิบ ก๊อปปี้โชว์ทั้งหลาย

เป็กกี้ :  และอีกคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์สายดีว่าของประเทศไทย เป็นสตาร์อยู่ทุกวันนี้คือคุณแก้ม วิชญาณี น้องสาวด้วย

ชมพ่ : ในรายการนี้พู่ภูมิใจนะได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรในช่วงนึงด้วย ตอนนั้นโทรบอก “คุณอาหนูได้โฆษณาอีกแล้วนะ คุณอาหนูซื้อบ้านแล้วนะ”

เป็กกี้ :  มีอีกคนนึง นนท์ ธนนท์ ทุกคนเคยมารายการตี10 ทั้งหมดเลย

 

ตี10 ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดการรายการคอมเมนต์มั้ย ถือว่าเป็นรายการแรกที่มีคอมเมนเตเตอร์ ทำให้ประเทศไทยรู้จักว่าคอมเมนเตเตอร์คืออะไร ?

วิทวัจน์ : ใช่ครับ ได้รับอินสไปร์เรชั่นมาจากรายการของประเทศออสเตรเลียชื่อรายการ New Faces รายการนี้อยู่ในความทรงจำของอาอยู่ตลอดเวลาเพราะว่าชอบมากแล้วก็มีคอมเมนเตเตอร์แบบนี้แล้วก็ให้รางวัลฟีลนี้เลย อินสไปร์มาจากรายการนั้น

 

มียุคนึงที่เหมือนฟ้าผ่า ยุคเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลมันยากลำบากเป็นยังไงบ้าง ?

วิทวัจน์ : ยากมาก เมื่อก่อนมันก็แค่ 3 5 7 9 11 ตอนนี้มันมีเป็น 20 30 ช่อง คนดูก็ย้ายจากพฤติกรรมในการดูทีวีจอใหญ่อุตส่าห์ไปซื้อมา 60 นิ้ว แล้วในที่สุดก็มาดู 4นิ้วครึ่ง เราคนผลิตก็ตาย คนดูถูกแย่งเงินโฆษณาถูกแชร์ เงินโฆษณาก็หายไป ตอนนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค ยูทูป ผู้ผลิตโทรทัศน์แย่กันมากในช่วงปีสองปีแรกแต่ช่องก็ทุ่มเทกัน แล้วก็มีผู้ยอมแพ้ก็มี เลิกช่องกันไป

 

อันนั้นว่าโหดแล้วมีอีกระลอกนึงเค้าบอกว่าตายซ้ำซ้อนพิการซ้ำซากทีวีดิจิตอลกำลังแย่งชิงสื่อแย่งชิงโฆษณาก็มีโควิดเข้ามาทุบเราอีก ?

วิทวัจน์ : ยังไม่ทันฟื้นดีเลย คิดว่าจะหายใจหายคอได้จะลุกขึ้นมาได้โดนเปรี้ยงขึ้นมาอีก ตายไปอีกรอบนึง ตายซ้ำตายซ้อน

 

ตอนนั้นเสียหายอะไรยังไงบ้าง ?

วิทวัจน์ : ก็ขาดทุน แม้แต่ดันดาราก็ขาดทุนก็เป็นธรรมชาติมีขึ้นก็ต้องมีลง เจอโควิดไปอีกก็ค่อนข้างจะหนักแม้ว่าจะดูทีวีอยู่ที่บ้านแต่ไม่ออกไปซื้อของ ดูทีวีอยู่ที่บ้านเรตติ้งทีวีดีขึ้นมาหน่อยก็จริงแต่คนขายโฆษณาหรือว่าคนซื้อโฆษณาจากเราขายของในรายการของเราไม่มีคนไปซื้อ เซเว่นปิด ล็อคดาวน์กี่เดือนล่ะ จบ

 

คุณอาเลือกแก้ไขอันดับแรกเลยคือลดเงินเดือนตัวเองก่อนเลย ?

วิทวัจน์ : ใช่ ลดเงินเดือนตัวเอง 60%

 

แต่รายการก็ฝ่าวิกฤตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ตี 10 มีอายุเท่าไหร่ ?

วิทวัจน์ : 4 ทุ่มสแควร์ 7 ปี 7 เดือน ตี 10 26ปี

 

เคล็ดลับการอยู่ยงคงกระพันของตี 10 คืออะไร ?

วิทวัจน์ : เค้าเรียกทนมือทนตีนครับ มันก็ต้องทนต้องสู้ไป แล้วก็แก้ไขปัญหาไปเป็นเรื่องปกติ หัวแข็งๆเข้าไว้ทุบไม่แตกทุบไม่ตาย การทำธุรกิจก็ลดค่าใช้จ่ายแล้วก็เพิ่มรายได้พยายามทำให้ได้มากที่สุด

 

อยากบอกอะไรกับกลุ่มที่เป็นรักและเป็นกำลังใจ

วิทวัจน์ : ต้องขอบคุณแฟนๆที่ติดตามผมมายาวนาน วันก่อนก็ไปเจอคุณยายยืนอยู่ข้างหน้าซุปเปอร์แล้วเราก็จ่ายของอยู่ด้านหน้า พอจ่ายเสร็จเค้าคงได้ยินเสียงแล้วจำได้ แต่เค้าไม่เห็นหน้าอาเพราะเค้ายืนอยู่ข้างหลัง แล้วเค้าก็มาขอถ่ายรูป อายุซัก 70 ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับผู้ที่ติดตามและยังจำหน้าได้

 

ณ ช่วงเวลาขาขึ้นบางคนจะเอาตรงโน้นตรงนี้อีก แต่คุณอาเล่ามาไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรืออะไรก็ตาม คุณอาจะทำเพียงหนึ่งรายการเท่านั้นในมือ เพราะว่าอะไร ?

วิทวัจน์ : เพราะมีความรู้สึกว่าการทำรายการโทรทัศน์ไม่ใช่เรื่องง่าย ยากมากที่สุดก็คือการทำโทรทัศน์ให้ดี การทำโทรทัศน์อาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่จะทำให้ดีโคตรยาก เราเลยรู้สึกว่าเราคิดอะไรได้เราก็ทุ่มลงไปในนั้นหมดเลย เอาเฉพาะดันดาราไอเดียของดันดาราที่มาร้องรู้หน้าไม่รู้ใจ รู้ใครไม่รู้คุณ เราเคยนับประมาณ 200 ไอเดีย คอนเซ็ปต์ย่อยของดันดาราประมาณ 200 ไอเดียเล็กๆน้อยๆที่เราแยกกันไป ไอเดียเล็กๆพวกนั้นออกมาทำรายการได้เลย แต่เมื่อทำไปแล้วซ้ำอยู่อย่างนั้นคนดูก็เบื่อ เพราะฉะนั้นอาคิดอะไรได้ก็ใส่เข้าไป มันจึงเป็นรายการที่เรียกว่าวาไรตี้คนจีนเค้าเรียกจับฉ่าย

 

เคยคิดจะวางมือบ้างมั้ย ?

วิทวัจน์ : เคย ทำไมจะไม่เคย เคยแทบทุกวันโดยเฉพาะหลังๆอายุปูนนี้ มีความรู้สึกว่าหมดภูมิแล้วหมดไอเดียแล้ว มันอาจจะหมดยุคของเราแล้ว คิดทุกวัน

 

คุณอาวางเป้ามั้ยว่าจะเกษียณตอนไหน ?

วิทวัจน์ : อยากจะเลิกซักอายุ 120 (หัวเราะ)

 

คุณอาบอกว่าที่ยังไม่อยากหยุดเพราะว่าไม่อยากอยู่เฉยๆ ยังอยากทำอะไรเป็นประโยชน์อยู่ กลัวอัลไซเมอร์ ?

วิทวัจน์ : ถูกต้อง ข้อมูลวิชาการทางการแพทย์เค้าบอกว่าสมองต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเค้าบอกว่าถ้าเมื่อไหร่สมองหยุดคิดร่างกายของเราจะโรยราเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้อามีความรู้สึกว่าก็ทำไปเรื่อยๆ ตราบใดที่แรงยังมี ตราบใดที่สมองยังคิดได้ อยากคิดเป็นคนชอบคิด

 

สุดท้ายแล้วอยากได้มุมมองในการทำงาน ?

วิทวัจน์ : ธุรกิจชนิดอื่นไม่ทราบแต่ถ้าทำทีวีก็ความคิดสร้างสรรค์ครีเอทีฟไอเดีย ถ้าทำรายการโทรทัศน์ครีเอทีฟโปรดิวเซอร์ต้องดี สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เรียนวารสาร เรียนนิเทศฯมา ถ้าอยากรายการโทรทัศน์ ทำคอนเท้นท์ใดๆ ในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นคอนเท้นท์ในโซเชียลมีเดียก็ตามครีเอทีฟไอเดียเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งหลายๆคนก็คงจะนั่งคิดคอนเท้นท์ทุกวัน

 

เป็กกี้ : ในส่วนของเป็กนะ เป็กภูมิใจมากตั้งแต่ออกจากบ้านคุยกับสามีว่าวันนี้เป็นวันเกียรติยศของเป็ก เป็กแตะรายการบันเทิงทีวีรายการแรกก็คือรายการตี 10 ช่วงดันดารา เป็กภูมิใจมากหลังจากที่เป็นคนธรรมดาเลยแล้ววันนี้เป็กได้นั่งตรงนี้สัมภาษณ์ คุณวิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ เรียกได้ว่านี่คืออีกหนึ่งเกียรติยศของเป็ก วันนี้กราบขอบพระคุณคุณอาที่มานั่งให้เป็กได้สัมภาษณ์ กราบขอบพระคุณจริงๆ

วิทวัจน์ : ในส่วนของเป็กคือความสามารถของเค้าล้วนเพียงแต่ว่ามันมีโอกาสนิดนึงตรงนั้นช่วงดันดาราที่เป็กมาแล้วฟูลมาก สนุกมากเทปนั้น แล้วเห็นเลยว่าคนคนนี้ไปไกลแน่ สวย ฮา ไม่ห่วงสวย

 

ชมพู่ : ความในใจของชมพู่นะคะ ต้องขอบคุณคุณอามากๆที่เห็นแววในเด็กผู้หญิงคนนี้ทั้งที่ไม่รู้ว่าใครจะมองเห็นความสามารถอะไรในตัวเราบ้างแต่คุณอาเล็งเห็นและให้โอกาสในการมาเป็นพิธีกรในช่วงนึงของรายการดันดารา เป็นงานที่เปลี่ยนชีวิตมากๆ ทำให้มีชื่อเสียงมีเงินทอง มีคนรู้จักและมีคนยอมรับเราในฐานะพิธีกรมากขึ้น ขอบคุณคุณอามากๆที่ให้โอกาสหนู

 

วิทวัจน์ : ขอบคุณที่รู้คุณค่าของโอกาส คนนี้อีกคนที่ไม่ห่วงสวย ตอนนั้นอาพูดกับชมพู่ว่าชมพู่เป็นแบบนี้เลยเป็นแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องห่วงสวย ทั้งคู่เป็นคนที่มีความสามารถสมแล้วที่ชีวิตเค้ารุ่งเรืองแบบนี้