อดีตผู้จัดการเผยทำไม "พอล วอล์กเกอร์" ปฏิเสธบท Superman และดีลค่าตัว 10 ล้านเหรียญ
หลายคนยังคงระลึกถึง พอล วอล์กเกอร์ (Paul Walker) จากบทบาท ไบรอัน โอคอนเนอร์ (Brian O’Conner) แฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ ที่จากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 2013 ในช่วงระหว่างการถ่ายทำ ‘Furious 7’ (2015) แต่นอกจากผลงานการแสดงบทบาทนักซิ่งของเขา หลายคนที่ติดตามการแสดงก็น่าจะเคยเห็นเขาในบทบาทอื่น ๆ ที่แตกต่างกันออกไป แต่บทบาทที่เราคงไม่มีวันจะได้เห็นแล้วแน่ ๆ ก็คือการแสดงของเขาในบทซูเปอร์ฮีโร เพราะครั้งหนึ่งเขาเองเคยปฏิเสธต่าตัวก้อนใหญ่มาแล้ว
ประเด็นนี้ได้มีการเปิดเผยใน ‘I Am Paul Walker’ (2018) ภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติของวอล์กเกอร์ ที่เปิดเผยผ่านบทสัมภาษณ์ของครอบครัว เพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมงานของเขาในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเป็นดารา การเป็นพ่อคน และการทำงานช่วยเหลือสังคม ซึ่งตอนนี้ในสหรัฐอเมริกามีการนำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ The CW (ส่วนในไทยอาจจะหาชมยากสักหน่อย) เรื่องหนึ่งที่มีการเปิดเผยออกมาก็คือ การบอกปัดค่าตัว 10 ล้านเหรียญ จากการปฏิเสธบทบาทซูเปอร์แมน (Superman) ใน ‘Superman Returns’ (2006) แบบไม่ใยดี
แมตต์ ลูเบอร์ (Matt Luber) อดีตผู้จัดการของวอล์กเกอร์ ได้เปิดเผยเรื่องดังกล่าวกับสารคดีเรื่องนี้ โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการออดิชันบท คลาร์ก เคนต์ (Clark Kent) หรือบทบาทซูเปอร์แมนของนักแสดงผู้ล่วงลับ เพื่อรับบทเป็นซูเปอร์แมนคนใหม่ในยุค 2000 แม้ว่าวอล์กเกอร์เองจะถือเป็นนักแสดงอันดับ 1 ที่ทีมงานตั้งใจอยากให้มารับบทนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องฝันสลาย เมื่อวอล์กเกอร์ได้ลองสวมชุดซูเปอร์แมนตอนทำ Screen Test
“ตอนนั้นเขา (วอล์กเกอร์) กำลังทำ Screen Test สำหรับหนัง Superman ซึ่งผมคิดว่าข้อตกลงค่าตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญ และเขาเองก็เป็นตัวเต็งด้วย”
นอกจากนี้ ลูเบอร์เล่าอ้างถึงคำพูดของวอล์กเกอร์ในเวลานั้นว่า “‘ผมจะต้องมีตัว S บนหน้าอก ผมต้องใส่เสื้อคลุม สวมรองเท้า สวมถุงน่อง… นี่มันไม่ใช่ตัวผมเลยว่ะ เหี้-แม่- ผมไม่อยากเล่นบทเชี่-นี่เลยว่ะ’ แล้วจากนั้นเขาก็ไม่สนหินสนแดดอีกเลย”
อีกคนที่ยืนยันถึงเจตนาของนักแสดงที่ไม่ต้องการเป็นซูเปอร์แมนก็คือ โอคลีย์ เลห์แมน (Oakley Lehman) สตันต์แมน และเพื่อนสนิทสมัยเด็กของวอล์กเกอร์ ที่ยืนยันว่า แม้เขาเองจะเตรียมพร้อม แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เขาอยากติดภาพเดิม ๆ ไปตลอดชีวิต
“ผมว่าเขาเองก็คงพร้อมนะ และเขาเองก็มีความตั้งใจแหละ แต่ผมรู้ดีว่าเขาไม่ต้องการเล่นหนัง Superman ติดกัน 3-4 เรื่อง แล้วก็เป็นซูเปอร์แมนไปตลอดชีวิต”
โปรเจกต์ ‘Superman Returns’ เกิดขึ้นหลังจากที่ Warner Bros. เว้นว่างจากการสร้างหนังซูเปอร์แมนไปตั้งแต่ภาคสุดท้าย ‘Superman IV: The Quest for Peace’ (1987) ที่รับบทโดย คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) โดยในภาคใหม่นี้ได้ ไบรอัน ซิงเกอร์ (Bryan Singer) ผู้กำกับ ‘X-Men’ (2000) และ ‘X2’ (2003) ในตอนแรก จิม คาวิเซล (Jim Caviezel) เองก็สนใจที่อยากได้บทนี้ รวมทั้งวอล์กเกอร์ที่ปฏิเสธบทบาทนี้ไป จนในที่สุดก็ได้ แบรนดอน รูธ (Brandon Routh) มารับบท คลาร์ก เคนต์
การมาของ ‘Superman Returns’ ทำให้โปรเจกต์ ‘Superman: Flyby’ ที่เขียนบทโดย เจ.เจ. แอบรัมส์ (J.J. Abrams) และวางตัวนักแสดงที่จะมารับบทบุรุษเหล็ก ทั้ง เบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser), จูด ลอว์ (Jude Law) ฯลฯ รวมทั้งวอล์กเกอร์ ต้องถูกระงับ แต่สุดท้าย ‘Superman Returns’ ก็ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ด้วยตัวเลข 391 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 270 ล้านเหรียญ ก็เลยทำให้แผนการสร้างภาค 2 ต้องถูกระงับ
ส่วนรูธก็ได้กลับมารับบทนี้อีกเพียงครั้งเดียวในซีรีส์ครอสโอเวอร์ ‘Crisis on Infinite Earths’ (2019) ของจักรวาล Arrowverse ก่อนจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค DCEU เปิดฉากด้วย ‘Man of Steel’ (2013) ที่ได้ เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavil) มารับบทเป็นบุรุษเหล็ก ก่อนจะก้าวเข้าสู่เข้าสู่ยุค ‘Chapter 1’ ของจักรวาลใหม่ DC Universe หรือ DCU ที่มี ‘Superman: Legacy’ ฉบับรีบูตที่จะเข้าฉายในปี 2025 เป็นหนังเปิดจักรวาล และได้ เดวิด คอเรนสเว็ต (David Corenswet) มารับบทเป็นบุรุษเหล็กคนล่าสุดแทน
วอล์กเกอร์เคยกล่าวถึงการปฏิเสธบทบาท Superman ในบทสัมภาษณ์ของ Chicago Sun-Times ในปี 2013 ถึงเหตุผลที่แท้จริงของเขาในการปฏิเสธบทบาทนี้ ในห้วงยามที่เขาเองประสบความสำเร็จอย่างสูงจากแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’
“ใช่ ผมสามารถทำเงินได้หลายพันล้านเหรียญจากแฟรนไชส์นั้น ผมอาจจะซื้อฝูงบินไอพ่น หรือเกาะส่วนตัวของตัวเองก็ได้ แต่คุณรู้อะไรไหม ผมไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้นน่ะ รองเท้าวิ่งยี่ห้อโปรดผมราคาแค่ 23 เหรียญเอง ผมไม่เคยซื้อกางเกงยีนส์ราคาเกิน 40 เหรียญ ผมใส่เสื้อยืดราคา 20 เหรียญ หรือถ้าซื้อที่ริมชายหาดก็ 10 เหรียญ ผมไม่ได้ต้องการเงินถึงระดับ 1,000 ล้านเหรียญเพื่อให้ได้มีวิถีชีวิตแบบนั้น”