ในโลกของซีรีส์ที่เต็มไปด้วยฆาตกรและเรื่องราวโรแมนติก twisted drama ไม่มีตัวละครใดจะขัดแย้งในตัวเองได้เท่า โจ โกลด์เบิร์ก (Joe Goldberg) จาก ซีรีส์ you อีกแล้ว เขาคือชายหนุ่มผู้รักหนังสือ ชอบวิเคราะห์คนอื่นอย่างแยบคาย และดูเหมือนจะรักใครรักจริง — แต่เบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงพากย์อันนุ่มนวลนั้น กลับแฝงไว้ด้วยความรุนแรง การล่า และการหลอกตัวเองอย่างสุดขั้ว รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เมื่อซีซั่นที่ 5 กำลังจะมาถึง นี่คือโอกาสดีที่เราจะชำแหละจิตใจของโจอีกครั้ง พร้อมตั้งคำถามว่า... เขาคือเหยื่อของความรัก หรือผู้สร้างวังวนอันอันตรายด้วยตัวเองกันแน่? https://www.youtube.com/watch?v=Qt4rC14vzao 🧠 Recap: YOU Season 1 – จุดเริ่มต้นของ "ความรัก" ที่บิดเบี้ยว พล็อตหลัก: โจ พบกับ เบ็ค นักเขียนสาวที่ดูเหมือนเป็นรักแท้ แต่ความรักของเขาเริ่มจาก “แค่แอบส่อง” แล้วก็พัฒนาไปสู่การ “ควบคุม” ชีวิตเธอทุกฝีก้าว ความวุ่นวาย: โจ เริ่มกำจัด “สิ่งกีดขวาง” รอบตัวเบ็คทีละคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท แฟนเก่า หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน จุดจบ: ความลับของโจค่อยๆ ถูกเปิดเผย และจบลงที่ โจฆ่าเบ็ค เอง แล้วหนีไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในเมืองใหม่ ในซีซั่นแรก เราพบว่าโจดูเหมือนผู้ชายอบอุ่น ที่อินกับความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ตามมาคือการสอดแนม ขโมยโทรศัพท์ และสุดท้ายก็การฆาตกรรม ภายใต้ข้ออ้างว่า "เขาทำเพื่อความรัก" นั่นคือจุดเริ่มต้นของ ความโรแมนติกที่ผิดรูป (distorted romance) หรืออีกนัยหนึ่งคือ toxic love — โจไม่ได้รักเพื่อเห็นคนรักมีความสุข แต่รักเพื่อตัวเองจะได้รู้สึก "เป็นคนสำคัญ" โจ มีแนวโน้มของผู้ที่ ขาด object constancy หรือความสามารถในการรับรู้ว่าคนรักยังรักเขา แม้ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา ทำให้เขาต้องควบคุมและจับจ้องเป้าหมายเสมอ เพื่อเติมเต็มความไม่มั่นคงภายในใจ https://www.youtube.com/watch?v=v99ooSjCVhg&t=3s 🔥 Recap: YOU Season 2 – หนีอดีต สู่เหยื่อรายใหม่ (เลิฟ) พล็อตหลัก: โจ หนีมาลอสแองเจลิส ใช้ชื่อปลอมว่า “Will” และตกหลุมรัก เลิฟ ควินน์ (Love Quinn) หญิงสาวผู้ดูอบอุ่น ความวุ่นวาย: โจ พยายามเป็นคนดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังต้อง “กำจัด” คนที่อาจทำลายความรักนี้อยู่ดี จุดจบ: พลิกล็อก! เลิฟ ก็มีด้านมืดเหมือนกัน—เธอเคยฆ่าคน และไม่ลังเลที่จะฆ่าเพื่อปกป้องความรักของตัวเอง คู่กันแบบดาร์กๆ ไปเลย 🏡 Recap: YOU Season 3 – ชีวิตครอบครัวจอมปลอมและความปรารถนาที่จะ "ดีขึ้น" พล็อตหลัก: โจและเลิฟแต่งงาน มีลูกชาย และย้ายไปใช้ชีวิตครอบครัวในเมืองชานเมือง ความวุ่นวาย: โจ “เบื่อเลิฟ” และตกหลุมรักเพื่อนบ้าน! ในขณะที่เลิฟก็หึงหวง ควบคุม และพร้อมฆ่า จุดจบ: ความสัมพันธ์แตกหักสุดขีด โจฆ่าเลิฟ แล้วเผาบ้านแกล้งตาย ทิ้งลูกไว้กับครอบครัวคนอื่น แล้วบินไปยุโรปเริ่มใหม่อีกครั้ง... ในซีซั่น 2-3 เราเริ่มเห็นโจพยายาม "ควบคุมตัวเอง" มากขึ้น เขาไม่อยากฆ่า แต่กลับต้องฆ่าเพื่อปกป้องความลับหรือคนที่เขารัก เขาเชื่อว่า "ตัวเองเป็นคนดีในโลกที่เต็มไปด้วยคนเลวกว่า" ซึ่งเป็นกลไกป้องกันจิตใจที่เรียกว่า moral rationalization หรือการหาข้ออ้างทางศีลธรรมให้กับการกระทำที่ผิด การที่เขา "ฆ่าเพื่อรัก" จึงไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่เป็น การเบี่ยงเบนความผิดพลาดของตัวเองไปสู่สิ่งที่ดูดีในจินตนาการ — เป็นการหลอกตัวเอง (self-deception) ในรูปแบบที่ซับซ้อน https://www.youtube.com/watch?v=uG1kSICJ6n4&t=1s 🎭 Recap: YOU Season 4 – ความขัดแย้งภายใน: โจ VS ตัวเอง หลังจาก “รีเซ็ตชีวิต” หนีจากอเมริกา โจใช้ชื่อใหม่ว่า โจนาธาน มัวร์ (Jonathan Moore) ทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในลอนดอนและพยายามใช้ชีวิตเงียบๆ — แต่เหมือนกรรมจะไม่ปล่อยเขาง่ายๆ… 💼 ช่วงครึ่งแรกของซีซั่น: โจเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงของอังกฤษที่เต็มไปด้วย คนรวย-หลงตัวเอง-มีความลับดำมืด มีฆาตกรปริศนาไล่ฆ่าคนในกลุ่มเพื่อนของโจ → และพยายามใส่ร้ายว่า “โจคือคนทำ” โจตกเป็น เหยื่อของเกม “แมวไล่หนู” และต้องสืบหาว่าใครคือฆาตกรตัวจริงในกลุ่ม แต่เขาก็ยังคง...แอบสะกดรอย/เก็บข้อมูล/และหลงใหลผู้หญิงคนใหม่ชื่อ เคท (Kate) 🧠 จุดหักมุมกลางซีซั่น: เมื่อพบว่า “ฆาตกรตัวจริง...ก็คือโจเอง” แต่เขา แยกตัวตนด้านมืดของตัวเองออกมา จนลืมไปว่าเขาเป็นคนลงมือฆ่า โจ สร้างภาพลวงตาในหัวตัวเอง ว่ามีฆาตกรอีกคนคอยควบคุมเขา นี่คืออาการ “หลอกตัวเองระดับสุด” เพราะ โจ ไม่อยากเผชิญความจริงว่าตัวเองยังเป็นคนเดิม 🔥 ช่วงท้ายซีซั่น: โจ พยายามฆ่าตัวตายเพื่อล้างบาป แต่สุดท้ายรอดมา และที่น่ากลัวที่สุดคือ…เขา กลับมายอมรับตัวตนด้านมืดของตัวเองอย่างเต็มใจ ปิดท้ายด้วยการกลับไปนิวยอร์กพร้อม เคท และใช้เงิน/อำนาจของเธอรีแบรนด์ตัวเองใหม่อีกครั้ง ซีซั่นจบด้วย โจ ที่ “เป็นอิสระ” ทั้งภายนอกและในใจ…พร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป 💭 Key takeaway จากซีซั่น 4: จากคนที่เคยพยายามแถว่าตัวเองเป็น "คนดีที่ทำผิด" → กลายเป็นคนที่ยอมรับว่า "ฉันเป็นปีศาจ และฉันโอเคกับมันแล้ว" ซีซั่น 4 คือจุดสูงสุดของด้านมืดในจิตใจโจ เมื่อเขาเริ่มแยกตัวเองออกเป็น 2 บุคลิก ทำในสิ่งที่เขา "เชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำ" นี่คือลักษณะของ dissociation หรือภาวะการแยกขาดออกจากความเป็นจริง เพื่อเอาตัวรอดทางจิตใจ โจไม่ยอมรับว่าเขาคือ "ปัญหา" ของทุกความสัมพันธ์ เขาคิดว่าเขาคือพระเอกในเรื่องนี้เสมอ ทั้งที่จริงแล้ว เขาอาจเป็นตัวร้ายที่อันตรายที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเขาเชื่อว่าเขากำลังทำดีอยู่ https://www.youtube.com/watch?v=XrbG_a7TqgQ แม้ว่า YOU จะดูเหมือนเป็นแค่เรื่องของผู้ชายโรคจิตที่ “รักเป็นพิษ” ฆ่าคนไปเรื่อย — แต่ โจ โกลด์เบิร์ก (Joe Goldberg) ก็เป็นตัวละครที่ซับซ้อนและ “หลอกทั้งคนรอบตัวและหลอกตัวเอง” อย่างแนบเนียน เรามาเจาะดู “จุดเปลี่ยน” ของโจในแต่ละซีซั่น กันดีกว่าค่ะ เพื่อเข้าใจว่าเขา “เคยคิดจะเปลี่ยนไหม?” และ “เคยยอมรับความจริงไหม?” — ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของซีซั่น 5 ด้วยเช่นกัน 🔍 Season 1: จุดเปลี่ยนแรก – รักคือข้ออ้างของการควบคุม โจเริ่มจากการเชื่อว่า “ฉันแค่อยากปกป้องเธอ” → แต่พอทุกอย่างพัง เขาฆ่าเบ็คโดยเชื่อว่าเธอ ทำให้เขาต้องทำแบบนั้น โจ มี “Justification Bias” หรือความเชื่อว่าตัวเองทำผิดเพื่อสิ่งดีๆ เช่น ความรัก, ความปลอดภัย, หรือ “ฉันไม่ใช่คนเลว” 🎭 จุดเปลี่ยน: ครั้งแรกที่เรารู้ว่าเขา ไม่สำนึก เลยจริงๆ แต่กลับ แถ กับตัวเองอย่างแนบเนียน 🔍 Season 2: จุดเปลี่ยนที่เขา “พยายามเป็นคนดี” โจพยายามเปลี่ยน ใช้ชื่อใหม่ หลีกเลี่ยงความรุนแรง แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เขาก็หวนกลับไปใช้ “วิธีเดิม” เลิฟกลายเป็นกระจกสะท้อนด้านมืดของเขา → เขาเกลียดเธอ เพราะเธอทำให้เขาเห็นความจริงของตัวเอง เรียกว่า Cognitive Dissonance — เมื่อความจริงกับภาพในหัวไม่ตรงกัน → โจจึงเลือกปฏิเสธความจริง (ว่าเขาก็โรคจิตเหมือนเลิฟ) 🎭 จุดเปลี่ยน: โจเริ่มเห็นเงาของตัวเองในคนอื่น... แต่ยังไม่ยอมรับว่าตัวเอง “ก็เป็นปีศาจเหมือนกัน” 🔍 Season 3: จุดเปลี่ยนสำคัญ – เมื่อคนเลวอยากเป็นพ่อที่ดี โจมีลูก ทำให้เขา “อยากดีขึ้น” แต่ในใจลึกๆ ก็ยัง เบื่อ, ขัดใจ, หลงรักคนอื่น การฆ่าเลิฟไม่ใช่เพราะเขาจำเป็น...แต่เพราะเขารับไม่ได้กับ “ชีวิตครอบครัวแบบที่มีเธอ” โจ เข้าสู่ขั้น “Disassociation” — แยกภาพของตัวเองออกจากความผิดที่ก่อ เช่น “ฉันไม่ใช่พ่อที่เลว ฉันแค่ต้องรอด” 🎭 จุดเปลี่ยน: ความรับผิดชอบต่ออีกชีวิต (ลูก) ไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้จริง — แต่แค่ “ทำให้เขาเล่นบทคนดีเก่งขึ้น” 🔍 Season 4: จุดเปลี่ยนใหญ่สุด – เมื่อหน้ากากเริ่มหลุด โจถูกจับโยนเข้าสู่ “เกมแมวไล่หนู” กับฆาตกรปริศนา → และสุดท้ายค้นพบว่าทุกอย่าง คือด้านมืดในตัวเอง เขาเริ่มคุยกับ “ภาพในหัว” ของตัวเอง → เหมือนสมองแยกออกเป็นสองคน: คนดี-คนเลว เป็นการหลอกตัวเองขั้นสุด เพื่อให้ไม่ต้องรับผิดชอบ 🎭 จุดเปลี่ยน: ตอนจบเขา ยอมรับว่าตัวเองเป็น "สัตว์ประหลาด" และเลือกจะ “อยู่กับความมืดนั้น” อย่างเต็มใจ https://www.youtube.com/watch?v=k1zaWdcxH5U 🧩 พร้อมเข้าสู่ Season 5 – The Final Chapter? เรากำลังเข้าสู่เฟสสุดท้ายที่ โจ ไม่ซ่อนอีกต่อไป ไม่หนีอีกต่อไป โจ ในตอนนี้คือคนที่ “รู้ตัวเต็มที่ว่าตัวเองเป็นใคร” และ “เลือกจะใช้สิ่งนั้นเป็นพลัง” แต่คำถามสำคัญคือ...เมื่อคนอย่างโจเป็นอิสระทั้งภายนอกและในใจ — เขาจะไปไกลแค่ไหน? ในซีซั่นสุดท้ายที่กำลังจะมา โจ มีทุกอย่างในมืออีกครั้ง สถานะ ฐานะ และอำนาจในการควบคุมโลกของเขาเอง แต่คำถามคือ... เขาจะหลอกตัวเองได้อีกนานแค่ไหน? บางที ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของ โจ อาจไม่ใช่การถูกจับ แต่คือการถูกเปิดโปงว่า "ตัวเขาเอง" คือสัตว์ประหลาดที่เขาเคยสาบานว่าจะไม่มีวันเป็น YOU: กระจกสะท้อนผู้ชม สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ชมหลายคนยังเอาใจช่วยโจอยู่ ทั้งที่รู้ว่าเขาฆ่าคนมากี่ศพแล้ว นั่นเพราะซีรีส์ YOU ไม่เพียงเล่าเรื่องของฆาตกร แต่สะท้อนกลไกทางจิตที่ซับซ้อนของมนุษย์ทุกคน เราอาจไม่ได้ฆ่าใคร แต่เราเคยบอกตัวเองว่า "เราทำแบบนี้เพราะจำเป็น" หรือ "เราก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด" หรือไม่? และนั่นแหละ... คือพลังที่ทำให้ YOU เป็นมากกว่าซีรีส์ฆาตกรรม แต่เป็นบทเรียนของการกล้าส่องกระจก และถามตัวเองว่า... เรากำลังหลอกใครอยู่กันแน่? เครดิตรูปภาพ: ปก: ภาพที่ 1 / Instagram: younetflix ภาพที่ 1 / Youtube: @NetflixThailand ภาพที่ 2 / Youtube: @Netflix ภาพที่ 3 / Youtube: @NetflixThailand ภาพที่ 4 / Youtube: @NetflixThailand ภาพที่ 5 / Youtube: @Netflix เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !