รีวิวหนัง "Mickey 17 มิคกี้ 17" ต้นตำหรับ ผนงรจตกม. ฉบับขบขันพิลึกของพี่บงจุนโฮ

เขาคือผู้กำกับชาวเกาหลีที่สร้างประวัติศาสตร์พาหนังไปคว้ารางวัลออสการ์ได้อย่างเกรียงไกร และบัดนี้เขากลับมาพร้อมกับหนังฮอลลีวูด..ที่ไม่ใช่เรื่องแรก แต่เป็นหนังฮอลลีวูดบ็อกซ์บัสเตอร์จากสตูดิโอใหญ่เรื่องแรกใน "Mickey 17 มิคกี้ 17" เขาคนนั้นก็คือ "บงจุนโฮ" ที่สร้างตำนานชนชั้นปรสิตฟีเวอร์ไปทั่วโลก

มิคกี้ บาร์นส์ เขาเหมือนจะฮีโร่จำเป็น เพราะต้องการหลีกหนีจากโลกใบเดิมออกไปสู่โลกใบใหม่ ที่ดันสมัครเข้าโครงการมนุษย์ใช้แล้วทิ้งที่ทุก ๆ ฝ่ายต่างหากันคันค้าน ก่อนจะพบว่าตอนนี้ตัวของเขาเองกำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติในการร่วมงานกับนายจ้าง ซึ่งเขาต้องรับงานที่.. ยอมเสียสละชีวิตเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ

นี่คือผลงานที่ผู้กำกับ บงจุนโฮ ลงแรงดูแลในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นกำกับเอง เขียนบทหนังเอง และร่วมอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้เอง โดยเป็นการใช้ทีมงานแบบลูกผสมระหว่างฮอลลีวูดกับเกาหลีได้อย่างลงตัว โดยหนังเรื่องนี้ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายไซไฟของ "เอ็ดเวิร์ด แอชตัน" เล่มที่ชื่อว่า Mickey7 ที่เพิ่งจะตีพิมพ์ขายไปเมื่อช่วงหนังเริ่มเปิดกล้อง

Mickey 17 เรื่องนี้จึงมาพร้อมกับกลิ่นอายและเอกลักษณ์ความเป็นหนังเฮียบงมาอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นหนังที่จะต้องมีประเด็นสอดเสียดและเสียดสีสังคมกับการเมืองอย่างแสบสันต์ หรือจะเป็นการแต่งเติมจินตนาการสุดจะเหลือเชื่อผนวกเข้ามาในท้องเรื่องด้วย รวมทั้งอารมณ์ขบขับคมคายชวนประหลาดเบา ๆ แต่กลับมอบผลลัพธ์ที่เต็มอรรสรถได้อย่างคาดไม่ถึง ทุก ๆ ส่วนผสมเหล่านี้มีปะปนอยู่ในหนังเรื่องนี้ทั้งหมด

เอาจริง ๆ ในแง่ของพล็อตหนังที่มีความเป็นแนวไซไฟจิกกัดสังคมอะไรทำนองนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเท่าไหร่ แต่บงจุนโฮก็สามารถสาธยายและใส่อรรถรสให้มันออกมาเต็มไปด้วยสีสันและกิมมิกที่ชวนเหวอพิลึกจนนำไปสู่ความตลกในแนวคิดของตัวละคร และบทหนังก็ยังค่อนข้างโดดเด่นในการสร้างมิติให้กับตัวละครที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวหลักหรือตัวรอง ทุกตัวละครได้รับความสำคัญเกลี่ยกันได้อย่างทั่วถึง

"ดาเรียส คอนจิ" ผู้กำกับภาพเชื้อสายอิหร่าน-ฝรั่งเศสคนดังได้ถูกเรียกตัวกลับมาร่วมงานกับบงจุนโฮอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่เคยทำงานด้วยกันในหนัง Okja ของเน็ตฟลิกซ์เมื่อหลายปีก่อน ทำให้งานภาพค่อนข้างโฟลว์ด้วยดี เช่นเดียวกับการเรียกตัว "ยางจินโม" มือตัดต่อเบอร์ต้น ๆ ของเกาหลีมาทำงานให้อีกครั้ง เขาคนนี้ก็ถือว่าแจ้งเกิดมาจากมาจาก Snowpiercer ของบงจุนโฮนั่นเอง

อีกหนึ่งเสน่ห์ใน Mickey 17 ก็น่าจะเป็นงานออกแบบโปรดักชัน ที่เห็นแล้วบอกได้ว่าสเกลงานเรื่องนี้น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เฮียบงเคยสร้างหนังมาแล้ว เพราะสตูดิโอทุ่มทุนให้อย่างเต็มที่ เนรมิตฉากต่าง ๆ ออกมาได้ไม่ต่างกับพวกหนังอวกาศไซไฟเลย พร้อมกับยังได้ "จองแจอิล" คอมโพสเซอร์หนุ่มฝั่งเกาหลีมาทำเพลงประกอบให้อีกครั้ง เขาก็คือคนที่สร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงบรรยายใน Parasite มาได้สุดจึ้งนั่นเอง

และแน่นอนว่าไฮไลต์ที่เด็ดดวงสุด ๆ ของ Mickey 17 ก็คือแคสติ้งทีมนักแสดง "โรเบิร์ต แพททินสัน" ทำการปล่อยของและพ่นไฟทางการแสดงอีกครั้ง กลายเป็นว่ามาดนิ่งดูอินดี้ของเขา กลับไปได้ด้วยกับหนังแนวตลกร้ายที่ไม่ต้องตลกแบบเปิดเผยอะไร เป็นคารมนุ่มลึกที่เขาละเลงมันออกมาได้อย่างมีกึ๋น แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นบทบาทที่เขาต้องสวมคาแรกเตอร์เป็นหลายตัวละครมาก ๆ นับตั้งแต่เข้าวงการมา แต่เขาก็นำให้อินเนอร์แต่บุคคลออกมาได้ชัดเจนเด่นชัดดี

ขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็คือสุดไปหมด "นาโอมิ แอ็คกี" เหมือนจ้างร้อยเล่นล้าน เพราะเธอใส่เต็มกับบทบาทนี้ เช่นเดียวกับ "มาร์ค รัฟฟาโล" กับ "โทนี คอลเล็ตต์" กลายเป็นคาแรกเตอร์ที่มาเพื่อขโมยซีนทุกซีนที่ปรากฏตัว เหมาะเจาะกับระดับมืออาชีพเขาถ่ายทอดการแสดงออกมา และยัง "สตีเฟน ยอน" กับบทบาทที่น่าจิกหัวกะบาลยิ่งหนัก เขาทำการแสดงออกมาได้น่าหมั่นไส้ดีจริง ๆ

สรุปในภาพรวมแล้วนั้น Mickey 17 ก็นับว่าเป็นการยกระดับงานหนังฉบับบงจุนโฮให้มีสเกลที่ยิ่งใหญ่ขึ้นตามทุนสร้างมหึมา หนังเฮียบงก็ยังคงเอกลักษณ์และลายเส้นของเขาเอาไว้ได้อย่างชัดเจนดีอย่างสัตย์จริง หยอดประเด็นการเสียดสีสังคมเอาได้แสบสันต์ กลายเป็นความพิลึกพิลั่นที่ชวนขบขันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถึงจะน่าเสียดายหน่อย ๆ ที่ทิศทางหน้าของหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยชัดมากนัก ทำให้คนดูน่าจะสับสนและลังเลไม่น้อยว่ามันคือหนังอะไร แต่บอกได้เลยว่า..ถ้าคุณเคยชอบปมการจิกกัดสังคมเจ็บจี๊ด ๆ แบบในหนัง Parasite มาก่อนผลงานเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากกัน เพียงแค่นำมาละเลงใหม่และปรับโทนบรรยากาศไปเท่านั้นเอง เรื่องนี้ทีเด็ดอยู่นะ