รีเซต

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6
22 มกราคม 2557 ( 10:52 )
6.7K

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6

บทประพันธ์ดัดแปลงจากบทประพันธ์ เรื่อง คุ้มนางครวญ ของ สรรัตน์ จิรบวรสุทธิ์

บทโทรทัศน์วิสุทธิชัย บุณยะกาญจน


ยอดหล้ายืนนิ่งเหนือผาน้ำตก ใบหน้าขาวซีด ดวงตาสับสน ลมพัดผ้าคล้องคอปลิวตกลงในธารน้ำเบื้องล่าง
ผ้านั้นถูกน้ำวนดูดวูบหายไป ยอดหล้ายิ้มเยาะตนเองแล้วขยับเท้าก้าวไป ร่างหล่นวูบลงจากผา ดวงหน้า
ขมขื่นรวดร้าว เคียดแค้น ระคนกัน ผมสยายไปในอากาศ ยอดหล้าหวนนึกถึงตอนที่ หลวงเทพประคองตน
ที่น้ำตกแล้วได้แต่ยิ้มเศร้า ภาพในเรือบนแม่น้ำปิง หลวงเทพพูดบทกลอนย้อนกลับมาให้เห็น ยอดหล้ายิ้ม
ขมขื่น ครั้นหวนคิดถึงตอนเล่นซึงกล่อมหอ หลวงเทพ ดารารายตระกองกอดกัน ยอดหล้าก็พลันเคียดแค้น
แสนสาหัส


ร่างยอดหล้าร่วงลงไปกึ่งกลางความสูงของผา ใกล้จะตกกระแทกในวังน้ำและโขดหินเบื้องล่าง ทันใดมีกระแส
พลังหนึ่งแผ่มาจากผาน้ำตก เข้าปะทะยอดหล้า ยอดหล้าผวา พบว่าตนเองลอยอยู่กลางอากาศ เสียงกังวาน
เปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นจากผาน้ำตก

“ชีวิตเป็นของมีค่ายิ่ง เจ้านางน้อย”

ยอดหล้าพิศวงงงงวย “นี่อะไร ผู้ใดกลั่นแกล้งข้า”

“เจ้าต่างหากที่กลั่นแกล้งทำร้ายตนเอง”

“ท่านเป็นใคร ท่านอยู่ตรงไหนกัน”

“ข้าอยู่นี่ เจ้านางน้อย”


ยอดหล้ามองไปแล้วตกตะลึง เมื่อสายน้ำตกตรงหน้า คล้ายมีร่างหนึ่งอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นคล้ายก้าวมาจากม่าน
น้ำตก จนพ้นสายน้ำออกมา ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม สูงใหญ่ ดวงตาเจิดจ้า แต่เปี่ยมด้วยเมตตา ท่อนล่าง
นุ่งผ้าคล้ายหยักรั้งสีขาว แต่คลุมร่างด้วยผ้าขาวผืนใหญ่คล้ายนักบวช ทั้งร่างนั้นแห้งสนิท ไม่เปียกน้ำแม้แต่น้อย


ยอดหล้าเบิกตากว้าง นักบวชรูปงามนั้นยิ้มอย่างการุณย์ ยื่นมือมา ยอดหล้าลังเลนิดหนึ่ง แล้ววางมือลงในมือ
ชายผู้นั้น นักบวชกุมมือยอดหล้าไว้ แล้วหมุนกายดึงยอดหล้าเข้าสู่สายน้ำตก ร่างทั้งคู่กลืนหายไปในสายน้ำ

 

หลังม่านน้ำตกเป็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก เถรกระอำจูงมือยอดหล้าก้าวผ่านสายน้ำเข้ามา แต่ร่างของทั้งคู่กลับ
แห้งสนิท เถรกระอำพายอดหล้าก้าวลงบนพื้นหิน แล้วก้าวนำไป ยอดหล้ายังคงพิศวงมองดูรอบกาย เอามือ
ยื่นระสายน้ำ มือก็เปียกปอน เถรกระอำลงนั่งขัดสมาธิบนแท่น ยอดหล้าทรุดลงกราบกับพื้น แล้วเงยหน้าขึ้น
น้ำตาริน “ท่านอาจารย์ ท่านขัดขวางข้าทำไมเจ้า”

“ชีวิตนี้สั้นนัก ใยต้องตัดรอนมันอีกเล่า”

“แต่ชีวิตข้าไม่เหลือแล้ว คนที่ข้ารักยิ่งชีวิตกลับทอดทิ้ง แปรใจไปจากข้า”

เถรกระอำยิ้มนิดหนึ่ง “คู่หมั้นของเจ้าหาได้แปรใจไปจากเจ้าไม่ จงดูเองเถิด”

เถรกระอำ ยื่นมือมาโบกเหนือกระถางไฟที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ไฟที่ลุกโพลงอยู่พลันเปลี่ยนสี ยอดหล้าตกตะลึง 


ในเปลวไฟ ปรากฏภาพครูบาสรีร่ายเวทย์ แล้วเลื่อนไปเป็นภาพดารารายอาบน้ำมันว่าน แล้วเลือนเป็นภาพ
หลวงเทพถูกสะกดลุกขึ้น ยอดหล้าเบิกตากว้างผงะ ไฟนั้นเปลี่ยนเป็นปกติ 

“น้องข้าให้ครูบาสรีทำเสน่ห์อย่างงั้นหรือ”

“อำนาจอาคมนั้น ครอบคลุมทั้งกายและจิตของคู่หมั้นเจ้า”

ยอดหล้าหายขมขื่น ใจชื้นขึ้นเมื่อรู้ว่าหลวงเทพไม่ได้สิ้นรัก

“พี่เทพ พี่ไม่ได้หมดรักข้า”

“แต่สิ่งหนึ่งที่แม้แต่น้องเจ้าก็ไม่รู้คือ อำนาจมนต์เสน่ห์นั้นแรงกล้า หลวงเทพจักหมกมุ่นเมามัวอยู่ในกามคุณ”


เถรกระอำโบกมืออีก ไฟนั้นพลันเปลี่ยนสี ภาพในเปลวไฟ เป็นภาพเตียงในเรือน หลวงเทพกอดจูบซุกไซ้
ดาราราย ดารารายแหงนเงยหน้า หัวเราะระริก หลวงเทพเงยหน้าขึ้นมองดารารายอย่างลุ่มหลง เห็นใบหน้า
ที่ทรุดโทรมขอบตาคล้ำ แก้มตอบ แล้วมีใบหน้าปีศาจร้ายซ้อนวูบขึ้น


ยอดหล้าผงะ เถรกระอำถอนใจ ยอดหล้ามองต่อไป ภาพในเปลวไฟ กลายเป็นภาพของหลวงเทพนอนอยู่
คนเดียวบนพื้นเรือน ใบหน้าผอมซูบจนเหลือแต่หนังหุ้มกะโหลก ตัวผอมบางแทบติดกระดาน แต่ยังกระสับ
กระส่าย ปากเรียกชื่อดารารายอยู่ตลอดเวลา ดารารายก้าวมามองดูหลวงเทพอย่างขยะแขยง หลวงเทพเห็น
ก็ไขว่คว้า ดารารายขยับหนี หลวงเทพคว้า กอดเท้าไว้ ร่ำร้องเรียกชื่อ พร่ำบอกรัก ดารารายชักเท้าหนี

หลวงเทพไขว่คว้า ดารารายสะบัด หลวงเทพผงะหงายไปชนตั่ง เลือดไหลพรูจากปาก จมูก แล้วภาพเลือน
ไปในเปลวไฟ ยอดหล้ายกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง ตัวสั่นเทา แล้วเงยหน้ามองเถรกระอำ

“พี่เทพ พี่เทพ ข้าจะไปช่วยพี่เทพ”

“เจ้ายังมีเวลาถึง 12 ดวงเดือน ภาพที่เจ้าเห็นยังไม่ได้เกิดขึ้น”

“แต่ข้ารอไม่ได้”

เถรกระอำดวงตาเป็นประกาย

“ผู้จะทำการใดให้สำเร็จ ผู้นั้นต้องรู้จักรอ รอจนกว่าจะพร้อม รอจนกว่าการณ์นั้นจะสุกงอม”

“ท่านให้ข้ารออันใด”

“อาคมของครูบาสรีแรงกล้าอำมหิต เจ้าจะต้องมีวิชาติดตัวจึงจะล้างอาคมนั้นได้”

“แล้วจะทำเช่นไร ข้ามิได้เป็นผู้วิเศษเช่นท่าน”

“ข้ามิได้เกิดมาเป็นผู้วิเศษ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และฝึกฝน” 


“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดสอนข้าด้วย ข้าจักเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้าจักไม่ย่อท้อ
ท่านอาจารย์”

เถรกระอำมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วยิ้มน้อยๆ พยักหน้า ยอดหล้ายิ้มตอบแล้วก้มลงกราบ


______________________________________________________________


ช่วงพักครึ่งของการซ้อมอ่านบท พิมพ์ดาวยืนชงกาแฟที่โต๊ะชงกาแฟ ตรีภพ ฐาปกรณ์ ตามมา
ชงกาแฟด้วย

พิมพ์ดาวมองบทในมือ มีสีหน้าครุ่นคิด ตรีภพมองดู

“มีอะไรหรือคุณ”

“คะ?”

“ผมรู้สึกเหมือนคุณมีอะไรอยู่ในใจ”

พิมพ์ดาวนิ่ง ฐาปกรณ์มอง “พูดมาเถอะหนูพิมพ์”

“พิมพ์ไม่ได้เรื่องมากนะคะ แต่พิมพ์ว่าบทดารารายดูแปลกๆ”

“ยังไงล่ะหนู”

“พิมพ์ว่าบทดารารายน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ค่ะ เช่น ความสัมพันธ์กับพี่สาว หรือกับตัวหลวงเทพ”

“กลัวบทน้อยหรือคุณ” ตรีภพมองขำๆ พิมพ์ดาวมีสีหน้าจริงจัง 

“ไม่ใช่นะ ฉันแค่”


มีเสียงกรี๊ดดังขึ้น ทุกคนตกใจ หันขวับไปมองมาลาริน

“มีอะไรหรือหนูลินซี่” สุชาดาเป็นห่วง

“ลินซี่กลัวน่ะค่ะ นี่ลินซี่ต้องเล่นกับตัวประหลาดตัวนี้ด้วยเหรอคะ”

“ตัวอะไรหรือคะ ลูกขา” บีบีอยากรู้


ร่างกำยำเปลือยท่อนบนนั้นมีผมกระเซิง มีขนลามทั้งอก ไหล่ และแนวสันหลัง ดวงตาสีเหลืองลุกเรือง
โหนกแก้มลั้งขึ้นเป็นสันกระดูก ปากแสยะเห็นเขี้ยว มันยืนโยกตัวคล้ายงูชูคอ มีเลือดหยดจากเขี้ยวเป็นระยะ


นางผัน นางเผื่อน ยืนกอดกันตัวสั่น ก้มลงดู เห็นว่าขาของตัวประหลาดนั้นมีขาเดียว สองนางตะกายลุกวิ่งหนี
ผีขาเดียวมองตามแล้วดีดตัวขึ้น ร่างมันข้ามหัวสองนาง โดดลงตรงหน้า นางผัน นางเผื่อนชะงัก ผีขาเดียว
กระโดดหันขวับมา กางมือออก ผีขาเดียวทำอาการคล้ายขย้อน พ่นควันออกจากปาก ควันนั้นเข้าปะทะหน้า
นางผัน นางเผื่อน ล้มตึงลง นอนเหยียด ขยับกายไม่ได้ แต่ตาลืม ยังรู้สึกตัว ลิ้นแข็งร้องอืออา ไม่สามารถ
ออกเสียงได้


ผีขาเดียวกระโดดอีกพรวดหนึ่งลงตรงหน้าสองนางแล้วเลิกซิ่นนางผันขึ้น เตรียมเจาะเขี้ยวที่เส้นเลือดใหญ่
โคนขา นางผันตาเหลือกลนลาน ผีขาเดียวแสยะเขี้ยวจะฝังลง ทันใดมีแสงจ้าวาบขึ้น ผีขาเดียวกระเด็นหวือไป กระแทกกับพื้นหิน นางผัน นางเผื่อนเห็นยอดหล้าก้าวมายืนอย่างมั่นคง ผีขาเดียวพลันตะกายลุก ดวงตาลุก
โพลงโกรธเกรี้ยว ยอดหล้ามองดูมัน ใจยังหวาดหวั่น ลังเล

“ไป เจ้าผีชั่ว”

ผีขาเดียวคำราม แล้วกระโดดพรวดเดียวก็ลอยคว้างมาตรงหน้ายอดหล้า 

ได้ยินเสียงเถรกระอำเตือนสติ “สำรวมจิตเจ้าให้เป็นหนึ่ง”


ยอดหล้าจิกหัวแม่เท้ากับพื้นหิน หลับตาลง ผีขาเดียวยังคงลอยคว้างอยู่ กรงเล็บยื่นมาช้าๆ ยอดหล้าพลัน
ลืมตาขึ้น ดวงตานั้นเปี่ยมอำนาจพลังจิต กรงเล็บและเขี้ยวผีขาเดียวแตกหักกระจายออก ร่างมันลอยหวือ
ไปกระแทกโขดหินใหญ่ รูดลงกับพื้น นางผัน นางเผื่อนขยับตัวได้ ลุกขึ้นดูอย่างไม่เชื่อสายตา

ยอดหล้าก้าวไป ผีขาเดียวดิ้นรนตะกายลุก เลือดสีเขียวไหลจากหู ตา จมูก ยิ่งดูน่าขยะแขยง

“เจ้าจะไปหรือไม่” ผีขาเดียวก้มหน้ายอมแพ้


ยอดหล้าหันมาดูนางผันนางเผื่อน ผีขาเดียวฉวยโอกาส ลอยตัวขึ้น พุ่งใส่ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน
ร้องกรี๊ด ยอดหล้าหันขวับไปมองด้วยดวงตาเจิดจ้า เหี้ยมโหด ร่างผีขาเดียวลอยคว้างกลางอากาศ
มันผงะ ผิวหนังปริตลอดร่าง ยอดหล้ายิ้มเหี้ยมเกรียม ผีขาเดียว ร่างพลันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บนโขดหินใหญ่ เถรกระอำยืนมองอย่างพอใจ “ข้าคิดไม่ผิด ที่ถ่ายทอดอาคมให้เจ้า”

ยอดหล้ายิ้ม เถรกระอำขยับตัว วูบเดียวก็มายืนต่อหน้ายอดหล้า นางผัน นางเผื่อนอ้าปากค้าง

“ข้ายังอ่อนหัดนักเจ้า”

“รู้หรือไม่ว่าเจ้ามีสมาธิบารมีสั่งสมมาแต่ปางก่อน เจ้าจึงเรียนรู้ได้ง่ายดายเพียงนี้ สิ่งที่ข้าฝึกเป็นปี

เจ้าทำได้ในเดือนเดียว”

ยอดหล้ายิ้ม พนมมือ เถรกระอำ ดวงตามีแววชื่นชม

“หากเจ้าได้ฝึกฝนต่อไป แม้แต่ข้าเองก็ต่อกรเจ้าไม่ได้”

“ท่านอาจารย์มีบุญบารมี ไม่มีผู้ใดมีชัยต่อท่านได้ดอก”

นางผัน นางเผื่อน ลุกขึ้นพนมมือ มองดูเถรกระอำ ทั้งเลื่อมใสและหลงใหล


ยอดหล้าเห็นสภาพศพที่โดนผีขาเดียวดูดเลือดจนตาย ก็ให้สังเวชใจ

“ท่านอาจารย์ ผีขาเดียวนี้มาจากที่ใด”

“ครูบาสรีปลุกพวกมันขึ้นมา เลี้ยงมันเป็นข้ารับใช้”

“ข้า ข้าต้องบอกเจ้าพ่อให้กำราบครูบาทุศีลผู้นี้เจ้า” 

“อย่าเพิ่ง ยังไม่ต้อง ตอนนี้เจ้ามีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องกระทำ”

“สิ่งสำคัญกว่า อันใดเจ้า”

“เมืองใต้ใกล้มีงานพิธี เจ้าพ่อเจ้า ต้องลงไปถวายบรรณาการ เจ้ายังต้องให้ข้าบอกอีกหรือไม่ ว่าสิ่งสำคัญ
ใด

ที่เจ้าต้องกระทำ”

“ถึงเวลาแล้วใช่ไหมเจ้า”

ยอดหล้าดีใจ เบิกตากว้าง เถรกระอำยิ้ม “ถึงเวลาแล้ว”


เถรกระอำบอกให้ยอดหล้ารู้ว่าล่วงหน้าว่า เมื่อเดินทางไปถึง พ่อเจ้ากับเจ้ายอดหล้าจะได้ไปพักในเรือน
รับรองของพระยาพิชิตชัย ยอดหล้าต้องระวังให้ดี เพราะดารารายได้ใช้ว่านอาคมของครูบาสรี กล่อมจิต
คนทั้งบ้านให้เป็นพวก โดยเอาแท่งว่านยาลูบไล้ตามเนื้อตัว ก่อนจะบิหักว่าน สลายเป็นผงสีดำโปรยลงใน
อาหาร


ในวันที่เดินทางไปถึง พระยาพิชิตชัย และคนสนิท พาเจ้าแสงอินทร์ ยอดหล้า ขึ้นจากเรือ เห็นคุณหญิงอำภา
ผู้เป็นมารดาของหลวงเทพซึ่งมีใบหน้าเหมือนจันทรา และคุณเพ็งซึ่งมีใบหน้าเหมือนพิมพ์เดือนรออยู่ 


เวลานั้น เถรกระอำยืนบนยอดผาน้ำตก โอมอ่านอาคม เหนือขึ้นไป เมฆฝน พยับโพยม ฟ้าแลบแปลบปลาบ
ลมพัดจนผ้าคลุมขาวปลิวไสว เถรกระอำลืมตา ยิ้มอย่างการุณย์


หลวงเทพซึ่งกำลังจะเข้าวัง เดินออกมาที่ชานเรือนพร้อมดาราราย นางทิพย์ นางทิม เกิดแสงจ้าวูบหนึ่ง
หลวงเทพเซซวน หน้ามืดล้ม ดารารายประคองไว้ ร้องกรีดตกใจ 


______________________________________________________________


คืนนั้น ยอดหล้าแต่งชุดดำกลืนกับความมืด มีผ้าคลุมไหล่สีเข้มตวัดคลุมศีรษะ ในมือยอดหล้ามีผอบโลหะ
มีรอยจารึกดูเข้มขลัง ยอดหล้าก้าวลัดเลาะไปตามเสาเรือน เมื่อผ่านกลุ่มบ่าวไพร่ ยอดหล้าก็สำรวมจิตแล้ว
เป่าไป กลุ่มบ่าวไพร่เดินผ่านยอดหล้าไปโดยไม่เห็น จนถึงที่หมาย ยอดหล้าวางผอบลงในหลุมลึกราว 1 ศอก
กลบดินแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างพอใจ ได้ยินเสียงของเถรกระอำกล่าว “อาถรรพ์ของครูบาสรีจักต่อต้าน หลวงเทพ
จักล้มป่วยลง เมื่อตกดึก เจ้าจงนำผอบมังคลานี้ ไปฝังลงในดินใจกลางหมู่เรือน อาถรรพ์ของครูบาสรีจัก
จางลง หลวงเทพจักพื้นคืนจากเสน่ห์ยาแฝดของน้องเจ้า”


หลวงเทพนอนอยู่บนเตียงไม้ ดารารายนอนอยู่เคียงข้าง หลวงเทพใบหน้าดูเครียดคล้ำ ปากซีด มีลมวูบหนึ่ง
พัดมาจนมุ้งผ้าโปร่งปลิวไสว ใบหน้าหลวงเทพกลายเป็นสดใสอิ่มเอิบ หลวงเทพลืมตาขึ้น แล้วยันกายขึ้น
มองดูรอบๆห้อง มองดูดาราราย มีอาการสับสนงุนงง คล้ายเพิ่งตื่นจากความฝัน ดารารายลืมตา ลุกขึ้นมา
แตะแขน

“พี่เทพ เป็นยังไงบ้างเจ้า”

“ปล่อย! พี่ร้อน ออกไปห่างๆข้า”

ดารารายแปลกใจ หลวงเทพฮึดฮัดขัดใจ


ยอดหล้านั่งอยู่หน้าคันฉ่อง หยิบขวดน้ำปรุงเทใส่มือ แตะแต้มตามเนื้อตัว ได้ยินเสียงเถรกระอำสั่งความ  

“ในคืนกาฬปักษ์ ข้าจะปรุงยาวิเศษ อันจักล้างอาคมแลอาถรรพ์ในตัวหลวงเทพให้หมดสิ้น”


หลวงเทพนอนอยู่บนเตียง ดารารายนอนเคียงข้าง หลวงเทพเริ่มกระสับกระส่าย


ที่ยอดผาอันหนาวเหน็บ มีที่ราบกว้าง มีต้นสนขึ้นอยู่ตามลำพังต้นหนึ่ง เถรกระอำก้าวมายืน แล้วโอมอ่าน
มหาเวทย์บนท้องฟ้ามืดมิด เกิดมีเมฆดำเคลื่อนปั่นป่วน เสียงบริกรรมคาถา เสียงฟ้าคำรณระคนกัน ฟังดู
เปี่ยมพลังอำนาจ เถรกระอำ แบมือออก ในมือมียาเม็ดสีเขียวเม็ดหนึ่ง แล้วกำมือไว้ โบกมืออีกมือหนึ่ง
ร่ายมนต์ ดวงตาเจิดจ้า

ทันใด ต้นสนใหญ่ก็สั่นไหว ยอดสนโน้มยอดลงจนลงมาดึงเบื้องหน้าเถรกระอำ

เถรกระอำยิ้มสุขุม วางเม็ดยาบนยอดสน ต้นสนนั้นพลันดีดยอดคืนขึ้นไป ยอดสนตวัดพายาวิเศษลอยไป
ในอากาศ


ที่ห้องนอนหลวงเทพ วัตถุสีเขียวพุ่งมาตกลงในเหยือกน้ำข้างเตียง น้ำในเหยือกแก้วพลันกลายเป็นสีเขียว
เรืองจ้าไปทั้งห้อง แล้วจางลง หลวงเทพผวาตื่น ลุกขึ้นนั่งห้อยเท้า มองดูเหยือกน้ำ น้ำนั้นใสบริสุทธิ์ แต่
คล้ายมีสีเขียวเรืองๆ จางๆ ทาบทับอยู่ หลวงเทพรินน้ำดื่ม แล้วตัวชาวาบ ดวงตามีสีเขียววูบหนึ่ง หลวงเทพ
ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ทิ้งดารารายไว้เพียงผู้เดียว


ที่หน้าคันฉ่อง ยอดหล้าเกล้าผมขึ้นปักดอกไม้ขาว ทิ้งปลายผมลงเคลียบ่า ไม่สวมเครื่องคำใดๆ มีเพียงผ้า
คาดอกกับซิ่นงาม ลมยามดึกพัดมาโลมกาย ม่านบางและมุ้งไหวไปมา ยอดหล้าหันไปที่ประตู ที่หน้าประตู
นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่ ยอดหล้าพยักหน้าให้สองนางข้าไทเปิดประตู หลวงเทพยืนอยู่ ดวงตาวาววาม
ด้วยความรัก


ยอดหล้าสบตาหลวงเทพ แล้วหันกลับไปหาคันฉ่อง พลางหวีปลายผม หลวงเทพก้าวมาหาช้าๆ นางผัน
นางเผื่อนคิกคัก คลานออกไป ปิดประตูลง 

หลวงเทพนั่งลงข้างหลังยอดหล้า สบตากับยอดหล้าในกระจก แล้วจับปอยผมขึ้นมาแตะจมูก

“เจ้านาง คืนนี้ท่านงามเหลือเกิน”

“พี่เทพเคยบอกข้าเจ้าแล้วเจ้า”

“พี่อยู่ใกล้ เหมือนอยู่กลางสวนดอกไม้”

“นั่นพี่ก็เคยบอกข้าเจ้าแล้ว”

หลวงเทพจับไหล่ยอดหล้าให้หันมา สบตาล้ำลึก

“จงบอกสิ่งที่ไม่เคยบอกข้าเจ้าบ้างเถิดเจ้า”

“พี่ผิดเหลือเกินที่ทอดทิ้งเจ้านาง”

“นั่นมิใช่ความผิดพี่หรอกเจ้า”

“เจ้านาง เจ้าคือดวงจันทราส่องสว่างกลางใจพี่”

“พี่เทพก็คือดวงตะวันแห่งชีวิตข้าเจ้า”

“เจ้านาง พี่รักเจ้าเหลือเกิน”

“ข้ารู้แล้วเจ้า ข้ารู้”


หลวงเทพประคองใบหน้ายอดหล้า จูบดูดดื่ม ซุกไซ้ซอกคอ ยอดหล้าแหงนเงย หลวงเทพอุ้มยอดหล้า
ตวัดขึ้น พาไปที่เตียงนอน ดอกไม้ขาวร่วงลงบนพื้นเรือน


______________________________________________________________



ที่ห้องซ้อมบท ฐาปกรณ์ มาดามสุ พิมพ์ดาว แพท รัก ลูกกบ บีบี ต่างกำลังอึ้ง มองไปยังมาลาริน ที่
เคลิบเคลิ้มเลื้อยซบอกตรีภพ ตรีภพมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฐาปกรณ์กระแอ้มขึ้น 

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ พอดีลินซี่ว่าอินไปหน่อย”

มาลารินผละออกจากอกตรีภพอย่างอ้อยอิ่ง

“นี่แค่ซ้อม ไม่ต้องเยอะขนาดนั้นก็ได้” ฐานปกรณ์ว่า “เอ้า อ่านต่อกันได้แล้ว ฉากที่ 17 ที่เรือนพระยา
พิชิตชัย”


ที่ชานเรือน พระยาพิชัย คุณหญิงอำภาหน้าเคร่ง เจ้าแสงอินทร์หน้าเผือด ดวงตาอับอาย หลวงเทพและ
ยอดหล้าหมอบอยู่ตรงหน้า ทางด้านข้าง ดารารายนั่งนิ่งขึง คุณเพ็งกอดประคองไว้ บรรดาบ่าวไพร่
คนรับใช้ คนสนิทถูกไล่ไปหมด หลวงเทพมีอาการดึงดัน ยอดหล้าดูสำนึกผิด แต่ดวงตาสมใจ ดาราราย
มองสามีและพี่สาวอย่างเจ็บช้ำ

เจ้าพิชิตชัยได้แต่กล่าวว่า “เมื่อการเป็นเช่นนี้ กระผมก็ไม่รู้จะทำอันใดได้ นอกจากจะสู่ขอเจ้านางยอดหล้า
ให้แต่งกับเจ้าเทพ.. อีกคนหนึ่ง”

เจ้าแสงอินทร์พูดไม่ออก พยักหน้ารับ 

หลวงเทพกุมมือยอดหล้า ดารารายมองแล้วเมิน คุณเพ็งบีบไหล่เบาๆ ดารารายมองดูสามีและพี่สาวอีกแวบ
ยอดหล้าสบตาน้องสาว มีแววท้าทาย ดารารายตาวาวโกรธแค้น


เรือนด้านเหนือเป็นเขตของยอดหล้า มีชานและทางเดินเชื่อมกันกับเรือนใหญ่ นางผัน นางเผื่อน กำลัง
ทำงานบ้าน เอาของเค็มใส่กระด้งมาตากแดด แต่สายตาชะเง้อมองยั่วยวนบ่าวชายที่รดน้ำไม้กระถาง
2 นายที่ชานเรือน นางทิพย์ นางทิม มาตามหลวงเทพที่เรือน จนทะเลาะตบตีกับนางผันนางเผื่อน
สองบ่าวชายยืนดูเพลิน ดารารายก้าวมา ตวาด “หยุดนะ”

ทั้ง 4 นางหยุด ยอบตัวลงนั่งหมอบ หลวงเทพกับยอดหล้าก้าวมาจากเรือนใน ดารารายยิ้ม

“ดารา เจ้ามาทำไมที่นี่”

“ข้ามาตาม.. นังสองคนนี้เจ้า”

“แน่ใจหรือว่า เจ้ามาตามแค่นังสองคนนี้” ยอดหล้าสงสัย

“เจ้า ข้ามาตามแค่ ‘คนของข้า’ เท่านั้น”

“เอาเถอะ เอาเถอะ คืนนี้ข้าจะเตือนพี่เทพให้กลับไปเรือนเจ้า”

หลวงเทพรีบสั่นศีรษะ ดารารายเม้มปากแล้วยิ้มเย้ย

“ไม่ต้องหรอกเจ้าพี่ เจ้าพี่กับพี่เทพเพิ่งข้าวใหม่ปลามัน ข้ายินดีส่งเสริมท่านสองคน”

“อย่ามาเสแสร้งทำเป็นเสียสละกับข้า”

“ข้าหรือเสแสร้ง ข้าเสแสร้งอะไร”

ยอดหล้าก้าวมาจนชิดดาราราย พูดเบาๆ

“อย่ากล้าดีมาทำหน้าซื่อไขสือ เจ้าแย่งพี่เทพไปได้เพราะใช้เสน่ห์ยาแฝด”

“ข้าน่ะหรือ ถ้าข้าใช้จริงใยพี่เทพจึงอยู่กับท่าน”

“เพราะข้าถอนเสน่ห์เจ้าได้น่ะซี”

“อะไรนะ เจ้าพี่ทำอะไร”

ดารารายคว้าข้อมือยอดหล้าบีบ 

“ปล่อยข้า”

“เจ้าพี่พูดมา ท่านทำอะไร”

“ปล่อย!”


ยอดหล้าสะบัด ปลายนิ้วตบโดนหน้าดาราราย ดารารายโกรธตาวาว ตบกลับ ยอดหล้าล้มถลาไป
หลวงเทพก้าวไปตบหน้าดาราราย ถลาล้ม นางทิพย์ นางทิม ประคองไว้ หลวงเทพประคองยอดหล้า
ขึ้น ชี้หน้าดาราราย

“อย่ากล้าดีมาก้าวร้าวเมียข้า”

“พี่เทพ” ดารารายร้อง

คุณหญิงอำภาเข้ามาห้าม “หยุดนะ เจ้าเทพ” 

ฝ่ายคุณเพ็งก็ประคองดารารายขึ้น “พี่ดารา พี่เป็นอย่างไรคะ”


ครึ่งเดือนต่อมา หลวงเทพไม่ได้ไปหาดารารายอีกเลย ดารารายจึงเสแสร้งร้องไห้ปรับทุกข์กับ
คุณหญิงอำภาและคุณเพ็ง

“พี่เทพไม่ได้กลับมาเรือนนี้ครึ่งเดือนแล้วเจ้า”

“อย่าว่าแต่เรือนเจ้า แม้งานราชการ งานเมืองก็เสียหมด” คุณหญิงอำภาบ่น

“หรือว่าเจ้าพี่ของพี่ จะทำเสน่ห์พี่เทพให้ลุ่มหลง” คุณเพ็งสงสัย

คุณหญิงอำภาตบอก “จริงด้วย หมู่นี้พ่อเทพดูผิดไปเป็นคนละคน”

“เราต้องรีบแก้ไขนะคะ พี่ดารา ก่อนที่พี่เทพจะเป็นอะไรไป”

ดารารายเชิดหน้า ดวงตาวาววับ

“อย่าห่วงเลยเจ้า คุณเพ็ง พี่เองก็ศิษย์มีครู เรื่องนี้พี่ต้องแก้ไขได้”


______________________________________________________________


ดารารายลงอาบน้ำว่านในอ่าง นางผัน นางเผื่อน คอยรินน้ำว่านรดตัว ดารารายร่ายมนต์ไปด้วย เมื่อถึง
เวลายกสำรับ ดารารายก็หยดน้ำยาลงในขนมให้หลวงเทพกิน ระหว่างกินอาหาร คุณเพ็งก็ทำทีเป็นนำ
ขนมมาให้ หลวงเทพก็กินขนมเอาใจน้องสาว ครั้นเมื่อถึงยามราตรี หลวงเทพก็ทิ้งยอดหล้าไปหา
ดาราราย หลวงเทพเข้าสวมกอดดารารายจากเบื้องหลัง ดารารายทำเล่นตัว ขยับหนี ผ้าแถบหลุด
ติดมือหลวงเทพ ดารารายทำเอียงอาย เอามือป้องอก วิ่งไปดึงมุ้งมาบังตัว หลวงเทพผวาตามลุ่มหลง
ยอดหล้าตื่นมาไม่พบหลวงเทพก็แค้นใจ ปาขวดน้ำปรุงไปกระแทกฝา แตกเปรื่องปร่าง นางผัน นางเผื่อน
คอหด


ที่กลางดงกล้วยตานี ต้นใบดูสูงใหญ่ ยอดหล้ายืนอยู่หน้ากองไฟที่ลุกสูงราว 1 ศอก นางผัน นางเผื่อน
นั่งอยู่ที่พื้นอย่างหวาดกลัว ยอดหล้าหลับตา บริกรรมคาถา แล้วลืมตาขึ้น กองไฟนั้นพลันปะทุเป็นลำเพลิง
สูงกว่าตัวคน เถรกระอำยืนอยู่กลางกองเพลิง นางผัน นางเผื่อน อ้าปากค้าง ยอดหล้ายิ้ม ทรุดกายลง
กราบกับพื้น

“น้องสาวเจ้า ทำเสน่ห์ซ้ำอีกแล้ว”

“พี่เทพจะเป็นอันตรายหรือไม่เจ้า”

“ข้าจะบอกหนทางแก้ไขให้ จงฟัง”


ที่หลังต้นกล้วยต้นหนึ่ง คุณเพ็งโผล่มาแอบดู เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง
นางนวลแอบอยู่ที่อีกต้น

ยอดหล้าพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้า ท่านอาจารย์ผู้ทรงศีล”

“จงทำตามข้า ทุกสิ่งที่.. รอคอยใกล้จะสัมฤทธิ์ผลแล้ว”

ขณะที่กำลังปราโมทย์อยู่นั้นเอง เถรกระอำก็ขมวดคิ้ว 

“อันใดเจ้า” ยอดหล้าถาม

“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง เจ้านาง”

เถรกระอำหายวูบไป ยอดหล้าหันขวับมาลุกขึ้น พร้อมนางผัน นางเผื่อน

“ผู้ใด ออกมา”


นางนวลร้องวี้ดวิ่งหนีไป ยอดหล้าพลันปลดดอกไม้คำจากผม ปาไปเสียบคอด้านหลังนวลจนทะลุ
นวลทรุดคว่ำลงเกาะเท้าคุณเพ็ง คุณเพ็งตกตะลึง ยอดหล้าดูศพนวลอย่างเสียใจ

“เจ้าเองหรือ โธ่เอ๊ย” 


นางผัน นางเผื่อน ดึงคุณเพ็งขึ้น ประจันหน้า ยอดหล้าดวงตาเรืองแสง คุณเพ็งจังงังไป


________________________________________________________


คุณเพ็งล้มหมอนนอนเสื่อ พูดเพ้อเหมือนผีสิง จนคุณหญิงอำภาหน้าหมอง นางนวลก็พลอยหายไป
ยอดหล้าต้องการแก้คุณไสยของดาราราย จึงลงครัวไปใส่น้ำยาในสำรับอาหารของหลวงเทพ แต่กลับ
โดนคุณหญิงอำภาจับได้ คุณหญิงนำยอดหล้าขึ้นไปชำระความบนเรือนต่อหน้าหลวงเทพ และดาราราย 


“นั่นคือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เจ้า ใช้แก้พิษคุณไสยทั้งปวง” ยอดหล้าชี้แจง

“คุณไสยอะไรกัน” คุณหญิงอำภาไม่เชื่อ

“น้องข้าวางยาเสน่ห์พี่เทพ ถ้าปล่อยไว้ พี่เทพจักล้มป่วยจนตายเจ้า”

“ดาราน่ะนะ ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้าต่างหากที่ทำเสน่ห์ และนี่ก็คือยาของเจ้า”

คุณหญิงอำภาเปิดขวดยาจะเททิ้ง

“คุณหญิงเจ้า อย่าเจ้า”


ยอดหล้าเข้าแย่งขวดยา แย่งยื้อมากันเหนือบันได คุณหญิงอำภาเสียหลักตกบันได ไถลไป ศีรษะ
ปักลงพื้นหิน คอหัก ศีรษะแตก เลือดไหลแผ่ออกมา ยอดหล้ายืนตะลึงอยู่เหนือบันได พอดีกับบ่าว
ประคองคุณเพ็งออกมาจากห้องเห็นเข้าพอดี


พระยาพิชิตชัยดวงตาแดงก่ำ นั่งอยู่บนตั่ง พร้อมด้วยหลวงเทพ ดาราราย และคุณ มีบ่าวชายหน้าตา
เอาเรื่องนับสิบคน ถืออาวุธคุมเชิงอยู่ในระยะห่าง บ่าวชายหญิงที่ไม่เกี่ยวข้องถูกไล่ไปหมด แสงจาก
ตะเกียงลุกวูบวาบ เกิดแสงเงาไปทั่ว

“นังยอดหล้าเป็นแม่มด มันทำเสน่ห์คุณพี่ มันฆ่านวล มันสะกดลูกให้ล้มป่วยพูดจาไม่ได้ คุณแม่
สงสัยจับผิดมันได้ มันก็ฆ่าคุณแม่ปิดปากเจ้าค่ะ เจ้าคุณพ่อ” 

หลวงเทพมองยอดหล้าอย่างไม่อยากเชื่อ ดารารายส่ายหน้าดูเสแสร้ง ยอดหล้าน้ำตาเอ่อ

“ไม่จริง ไม่จริงเจ้า”

“ถ้าไม่จริง เรื่องทางฝั่งเจ้าเป็นอย่างไร”

“ข้ากับพี่เทพรักกัน แต่ดารารายทำเสน่ห์แย่งชิงพี่เทพไปแต่งกับนาง”

หลวงเทพ สบตาดาราราย “ไม่จริงเจ้า”

“ยังไม่ถึงเวลาเจ้าพูด”

“ข้าตามมาแก้เสน่ห์ พี่เทพจึงกลับมารักข้า ดารารายกลับทำเสน่ห์ซ้ำ อาถรรพ์นี้ร้ายแรงถึงตาย ข้าจึง

เอาน้ำเทพมนต์มาใส่อาหารให้พี่เทพ”

“นังโกหก นังแม่มด” คุณเพ็งไม่เชื่อ

“ลูกเพ็ง เงียบก่อน ยอดหล้า เจ้าพูดต่อ”

“คุณแม่เข้าใจผิด จึงแย่งยื้อขวดน้ำมนต์กับข้าเจ้า จนพลัดตกไป”

“เจ้านั่นแหละเป็นคนผลัก” คุณเพ็งยืนยัน

หลวงเทพขบกราม มองยอดหล้าอย่างผิดหวัง ดารารายยิ้มเยาะ

“ไม่จริงเจ้า ข้าเจ้าไม่ได้ตั้งใจเจ้า”


พระยาพิชิตชัยหยิบขวดแก้วน้ำเทพมนต์ของยอดหล้ามาชู

“นี่หรือน้ำเทพมนต์ของเจ้า”

“เจ้า”


________________________________________________________


พระยาพิชิตชัยหลับตา สำรวมจิต ทุกคนมองดู ในขวดแก้วปรากฏควันสีเขียวคล้ำ ลอยวนเวียน


พระยาพิชิตชัยลืมตา ปาขวดแก้วไปกลางอากาศ ทุกคนผงะ ขวดแก้วนั้นระเบิดเป็นกลุ่มควันสีเขียว ลอย
วนเวียนปั่นป่วน ผ่านตัวคนนั้นคนนี้ ทุกคนผวาหวาดหวั่น พระยาพิชิตชัยลุกขึ้น พนมมือ ควันนั้นพุ่งหนีไป
พระยาพิชิตชัยรีบสั่งให้ตาม


ควันสีเขียวพุ่งมาผ่านเสาเรือน พระยาพิชิตชัย หลวงเทพ บ่าวชายตามมา ถือคบไฟวูบวาบ ควันนั้นมาถึง
พื้นดินใจกลางเรือน แล้วพุ่งวาบซึมลงในดิน

“ขุดลงไปเดี๋ยวนี้” พระยาพิชิตชัยสั่ง


เมื่อขุดพบผอบที่ยอดหล้าฝังไว้ พระยาพิชิตชัยก็นำกลับมาซักความยอดหล้าที่เรือน

“ของสิ่งนี้มาได้อย่างไร”

“ข้าเป็นคนนำมาฝังไว้เองเจ้า สิ่งนี้คือผอบมังคลา สิ่งมงคลภายในจะล้างอาถรรพ์ที่ดารารายทำต่อ

ทุกคนในบ้านนี้”

“ไม่จริงนะ เจ้าพี่” ดารารายแสร้งร้องไห้ 

“สิ่งมงคลหรือ งั้นจงดู” พระยาพิชิตชัยทุ่มผอบลงตรงหน้ายอดหล้า โถเคลือบแตกกระจาย มีหุ่นขี้ผึ้ง
ชายหญิงสีดำมัดไว้ด้วยสายสิญจน์ ทั้งมีของเสน่ห์ต่างๆเช่น ลูกสวาด ดอกรักแห้ง ควันสีดำฟุ้ง กลิ่น
เน่าวูบมา ทุกคนอุดจมูก ยอดหล้าตกใจ ไม่เข้าใจ

“ฝังรูป ฝังรอย ไม่ใช่ ข้าเจ้าไม่ได้ทำ”

ยอดหล้ามองไป เห็นดารารายยิ้มเยาะ

“ดาราราย เจ้าสับเปลี่ยนของ เพื่อใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ”

ดารารายรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ น้ำตาเอ่อ

“ไม่จริงเจ้า เรื่องทั้งหมด เจ้าพี่เข้าใจผิดหมด”

“ใช่ ข้าเข้าใจผิด ข้าเข้าใจว่าไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับข้าก็เป็นพี่น้อง เข้าใจว่าเจ้าจะมีธรรมหลงเหลือ
เข้าใจว่าเจ้าจะสำนึกบ้าง”

“เจ้าพี่”

“ข้ามันโง่งมเอง ที่คิดว่าเจ้ายังมีเยื่อใย เพราะคำสาบานของเจ้าร้ายกาจนัก.. เจ้ายังกล้าทวนคำ
สาบานได้”

ดารารายผงะ เหมือนกลัวคำสาบาน

“เจ้าพี่ ข้าไม่ได้ผิดคำ”

“ข้าจะไม่ฟังเจ้าแล้ว”

คุณเพ็งทนไม่ไหว ด่าทอยอดหล้า “นังแม่มด เลิกเล่นละครทำหน้าซื่อเป็นคนดีเสียที เจ้าคุณพ่อ เกิด
เรื่องร้ายกาจขนาดนี้ จะทำเช่นใดเจ้า”

พระยาพิชิตชัยอึ้ง มองดูลูกชาย “เจ้าเทพ เจ้าจะว่าอย่างไร”

“ลูกไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วเจ้าคุณพ่อ เพราะลูกเองก็เหมือนเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องร้ายทั้งหมดขึ้น”

“คุณพี่! คุณแม่ตายไปทั้งคนนะคะ แล้วยังนวลอีก ดีไม่ดีศพไอ้ยอดที่ลอยมาติดท่าน้ำก็ฝีมือมัน”

นางผัน นางเผื่อนหน้าซีด แต่ยอดหล้าไม่รู้เรื่องยอด 

“เรื่องนวล ข้าพลั้งมือทำร้ายจริง แต่ข้าไม่ได้ผลักคุณหญิงจริงๆเจ้า พี่เทพ.. เชื่อข้าเจ้าเถิด”

“ข้าเชื่อเจ้า ข้าเชื่อเจ้าพี่”ดารารายแสร้งพูดคล้ายเยาะ ยอดหล้ายิ่งแค้น

“เจ้าไม่ต้องมามารยาเสแสร้งเข้าข้างข้า เจ้าคือนังงูพิษ”

“เจ้าพี่”

พระยาพิชิตชัยตบตั่งฉาด ลุกพรวดขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเอ็งกุมตัวเจ้านางยอดหล้าไว้” 

บรรดาบ่าวชายก้าวมารุมล้อมยอดหล้า


ยอดหล้าถูกส่งตัวกลับไปที่คุ้มหลวง เจ้าแสงอินทร์ยืนนิ่งขึง มองดูยอดหล้าที่หมอบอยู่ที่พื้นอย่างผิดหวัง
เจ้านางหอมุกนั่งเมินหน้าอยู่บนตั่ง  

“ยอดหล้า เจ้าทำอันใดลงไป เจ้าทำเสน่ห์เพื่อแย่งผัวจากน้อง เจ้าฆ่าคนเพื่อปกปิดความชั่ว เจ้าทำลาย
ความสัมพันธ์ของเวียงแก้วกับเมืองใต้จนพังยับ นี่น่ะหรือ ลูกสาวที่ข้ารักยิ่งแก้วตา”

ยอดหล้าเงยหน้าขึ้น ร่ำร้อง น้ำตาริน

“เจ้าพ่อ ข้าถูกใส่ความ ดารารายคือต้นเหตุทั้งหมด ดารารายให้ครูบาสรีทำเสน่ห์เล่ห์กล แล้ววางกลใส่
ความข้า ให้ข้าเป็นคนผิดเจ้า”

เจ้าแสงอินทร์ไม่เชื่อ เจ้านางหอมุกมองลูกสาวอย่างเวทนา

“เจ้าต่างหากคือตัวต้นเหตุ เจ้าต่างหากที่ใส่ความน้อง”

เจ้าแสงอินทร์ก้าวมาใกล้ “แต่ข้าอยากรู้ ว่าผู้ใดสอนมนต์แลเล่ห์กลให้เจ้า”

“ท่านอาจารย์เป็นนักพรต ถือสันโดษเร้นกายในป่าเขา ท่านสอนมนตราก็เพื่อให้ข้าปกป้องตัวเท่านั้น”

เจ้าแสงอินทร์ยิ่งโกรธ “หรือว่ามันคือเถรกระอำ”

ยอดหล้าผงะ “เจ้าพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไร”

“เจ้าเถรชั่วผู้นี้ต้องตายก่อน”

“อย่านะเจ้าพ่อ ท่านอาจารย์ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านเข้าใจข้า ดีกับข้า รักข้ายิ่งกว่าเจ้าพ่อเสียอีก”

“เจ้ากล้าดี เอาข้าไปเปรียบกับคนถ่อยนั่น นังลูกชั่ว”

เจ้าแสงอินทร์โกรธจนขาดสติ คว้าดาบขึ้น พุ่งเข้าหาลูกสาว เจ้าหอมุกถลันเข้ารับดาบแทน ยอดหล้า
กรีดร้อง เข้าประคองแม่


“ยอดหล้าทำผิดใหญ่หลวง แต่เว้นโทษตายลูกเถิดเจ้า”

“เจ้าแม่”

เจ้าแสงอินทร์เสียใจ เจ็บใจ ผลักยอดหล้าล้มไป ตวัดอุ้มเจ้านางหอมุกขึ้น

“อย่ากล้าดีมาแตะต้องแม่เจ้า.. เอานังลูกชั่วไปขังไว้ในคุ้มน้อย ล่ามมันไว้ในเรือนด้วยโซ่อาคม
อย่าให้มันติดต่อกับผู้ใด”

เจ้าแสงอินทร์อุ้มเจ้านางหอมุกไป 


คุ้มเล็กริมปิง เงียบสนิทเป็นเรือนร้าง มีขุนหาญ 10 คนล้อมรักษาเรือน ยอดหล้านั่งบนเตียง มือกอด
ซึงแนบอก ที่ข้อเท้ามีโซ่ล่ามไว้กับเสาเรือน นางผัน นางเผื่อนหน้าหมอง ถือโตกอาหารและน้ำต้ม
มาคุกเข่าลง

“เจ้านางเจ้า กินอันใดก่อนเถอะเจ้า”

ยอดหล้าส่ายหน้า นางเผื่อนรินน้ำให้ “ไม่อย่างนั้นก็กินน้ำเถอะเจ้า”

ยอดหล้ายอมจิบน้ำ “ข้างนอกมีข่าวอันใดบ้าง”

นางผัน นางเผื่อนมองหน้ากัน มีพิรุธอึกอัก “ข้าถามพวกขุนหาญ ไม่ใคร่ได้ความอันใดเจ้า”

“ไม่จริง นี่พวกเจ้าต้องรู้อันใด ถึงปกปิดความไม่ให้ข้ารู้ หรือว่า หรือว่า เจ้าแม่”

นางผัน นางเผื่อนตัวสั่น ร้องไห้ออกมา

“แม่เจ้า แม่เจ้า สิ้นแล้วเจ้า” ผันยอมบอก

“ไม่จริง อาการแม่ข้า ไม่หนักหนา”

“มีคำเล่าลือ ว่านางอาการดีขึ้นแล้ว แต่พอเจ้านางสร้อยคำไปเยี่ยมก็ทรุดลง.. คืนเดียวก็สิ้นเจ้า”
นางเผื่อนเล่า

“เจ้าแม่ เจ้าแม่ ลูกอกตัญญูนัก เจ้าพ่อ ใยท่านปล่อยให้แม่น้าฆ่าแม่ข้า”

ยอดหล้าร้องไห้ ทันใดมีเสียงฟ้าคำรณ ฟังดูพิกล


เหนือคุ้มน้อย เกิดเมฆหมอกประหลาดเคลื่อนมาเต็มฟ้า บรรดาขุนหาญแหงนดู พากันไหวหวั่น
พรั่นพรึง

ฟ้าภายนอกมืดมิดลง ในห้องพลันมืดลงเท่ากลางคืน นางผัน นางเผื่อนจุดประทีปขึ้น

“แม้แต่ฟ้าก็ร่ำไห้ ให้แม่เจ้าเจ้า”

“มิใช่ นี่มิใช่เมฆฝนธรรมดา แต่นี่คือเมฆฝนจากอาคม” ยอดหล้ากล่าว

ขุนหาญทุบประตู ทั้งสามหันขวับไป ยังไม่ทันอนุญาต ขุนหาญก็พรวดเข้ามา

“ขออภัยเจ้านาง จงรีบลั่นดาลประตูหน้าต่าง ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเปิด อย่าดูเป็นอันขาด”

นางผัน นางเผื่อนงุนงง แต่ก็ลุกไปปิดหน้าต่างประตู เงี่ยหูฟัง

“เกิดอันใด” “ข้าเจ้ากลัว”


เสียงต่อสู้ดังแว่วมาไกลๆ ยอดหล้ายังอยู่ในภวังค์โศกหาได้สนใจไม่ นางผัน นางเผื่อนทรุดลง
เบิกตากว้าง ปิดปาก


________________________________________________________


หลายวันต่อมา ยอดหล้านั่งอยู่หน้าคันฉ่อง เงาสะท้อนเห็นว่าซูบซีดลง แต่ก็ยังงามสะคราญ นางผัน
นางเผื่อนร้อนรนเข้ามา คุกเข่า

“ฟ้ามืดมิดอยู่ 3 วัน 3 คืน เกิดอันใดกันแน่” ยอดหล้าถาม

“เจ้านาง ข้าไม่กล้าพูดเจ้า”

“เจ้านางต้องเข้มแข็งไว้นะเจ้า”

“ยังมีเรื่องใด.. ทำให้ข้าเจ็บได้อีกหรือ จงพูดมา” ยอดหล้าหันมามองอย่างคาดคั้น

“ท่านอาจารย์เถรกระอำมาช่วยเจ้านาง ต่อสู้ด้วยอาคมกับครูบาสรี” 

“ตอนนี้ถูกครูบาสรีสังหารแล้วเจ้า”

ยอดหล้าผงะ หน้าขาวซีด


ครูบาสรีในชุดนักพรตสีน้ำตาลเกือบดำ ดูชั่วร้ายยิ่ง ถือศีรษะเถรกระอำชู พลางหัวเราะบ้าคลั่ง


เมื่อเถรกระอำจากไป ยอดหล้าก็เกิดเป็นโรคร้าย ซีกหน้าลงไปถึงซีกร่างข้างหนึ่ง กลายเป็นเกล็ดมี
รอยแยก น้ำเลือด น้ำเหลืองเริ่มซึม ผมร่วงเหลือผมกร่อนบาง ทำให้ยอดหล้าแค้นใจยิ่งนัก คิดว่า
ครูบาสรีทำคุณไสยใส่ ยอดหล้าพลันดึงโซ่อาคมขาดจากเสา ฟาดใส่ 2 ขุนหาญกระเด็นไปปะทะ
ฝาผนังและเสาสิ้นใจตาย ครูบาสรีก้าวมาพลางยกมือมาเบื้องหน้า ร่ายเวทย์ เจ้าหลวงแสงอินทร์
เจ้านางสร้อยคำเข้ามาในห้อง

“เจ้าจะฆ่าคนอีกกี่คน จนป่านนี้เจ้ายังไม่สำนึกหรือ” เจ้าแสงอินทร์เตือนสติลูกสาว

“ข้ามิใช่คนผิด” 

“เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว โซ่อาคมกับเรือนนี้คงขังเจ้าไม่ได้”

“เจ้าพี่เวทนาลูกเถิด” นางสร้อยคำขอ

“ข้ามิใช่ลูกเจ้า”

“หุบปาก” เจ้าแสงอินทร์โกรธ

“นังดารารายก็ไม่ใช่น้องข้า”

“ข้าบอกให้หุบปาก”

“แม้แต่ท่าน.. ท่านลำเอียง ใจร้าย เชื่อแต่ผู้อื่นมากกว่าลูกตัว”

เจ้าแสงอินทร์ผงะ ยอดหล้ามองอย่างไม่ลดละ


“ข้าก็ไม่ถือว่าท่านเป็นพ่อเช่นกัน”

“ผู้ที่ข้าให้กำเนิด กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู รักใคร่ใยดีกว่าใครๆ กลับคิดคดทรยศขนาดนี้ เมื่อเจ้ามืดบอด
ขนาดนี้ แสงเดือน แสงตะวัน คงไม่มีความหมายต่อเจ้า ข้าจักขังเจ้าไว้ในคุกใต้ดินจนสิ้นใจตาย”

ยอดหล้ายิ้ม “ความตายจักปลดปล่อยข้าเป็นไท จากความอยุติธรรมของท่าน”

“แม้เจ้าตาย เจ้าคงเป็นวิญญาณพยาบาทชั่วช้า ไม่ข้าจักจองจำเจ้าไว้ที่นี่ ให้วนเวียนมิรู้ผุดมิรู้เกิด
จนกว่าเจ้าจักสำนึกผิด ในความเขลา ในความชั่ว ในความพินาศที่เจ้าก่อไว้”

“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันกลัวทัณฑ์ทรมานของท่าน”


ที่ลานหลังคุ้มน้อย ดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ยอดหล้าถูกผูกตรวนอาคม ทั้ง 2 มือ 2 เท้า นางผัน
นางเผื่อนเดินตาม ยอดหล้าถือผลไม้ในมือ “เจ้าหลวงเมตตายิ่ง ให้ข้าได้มาล่ำลาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ม้าวายุก้าวมา ยอดหล้าลูบคอมัน มันเอาหัวซบแขนยอดหล้า

“ถึงเจ้าเป็นเพียงของขวัญ ที่ดารารายมอบให้เพื่อเยาะเย้ยข้า แต่เจ้าก็ดีกับข้านัก”

ยอดหล้าป้อนผลไม้ ดวงตาทั้งรักทั้งอาลัย ม้าวายุกินผลไม้มีความสุข ยอดหล้ามองท้องฟ้า ตวัด
ผ้าคลุมให้ปิดซีกอัปลักษณ์ แล้วร้องเรียน “นกเอย นกน้อยๆของข้า” บรรดานกพิราบ นกเขา
นกกระจอก แม้แต่กา ก็บินกรูเกรียวมา ยอดหล้าโปรยข้าวไปทั่ว พวกมันลงกิน มีเพียงอีกาใหญ่
ตัวเดียวที่มากินในมือ ยอดหล้าหัวเราะเบาๆ ดวงตาเจ็บช้ำ

“กินเถิด นี่เป็นมื้อสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้เลี้ยง ได้เห็น ได้รักเจ้า” 

นางผัน นางเผื่อน สะอื้นไห้


เจ้ายอดหล้าถูกคุมขังอยู่ในกรงไม้ขนาดใหญ่ที่ฝังลึกลงในดิน ภายในห้องใต้ดินในคุ้มน้อย บนศีรษะ
มีผ้าบางคลุมผม ที่ข้อมือ ข้อเท้า มีโซ่อาคมโยงอยู่ หลวงเทพลงบันไดมาช้าๆ ในมือถือคบไฟ ก้าว
เท้าเดินไปยังกรง เท้าสะดุดร่างนางผัน นางเผื่อนที่นอนตายแน่นิ่ง เนื้อตัวเป็นเกล็ดแยกแตกระแหง
ทั้งตัว หลวงเทพเดินไปยังกรง มองเข้าไปอย่างเวทนาและเจ็บช้ำ เกาะกรงด้านที่ใกล้แคร่

“เจ้านาง”

ยอดหล้าเงยหน้าดูหลวงเทพ “พี่เทพ ท่านมาอีกแล้ว ถึงเป็นเพียงภาพลวง แต่ข้าก็เบิกบานใจนัก
ที่ท่านมา”

“นี่คือพี่จริงๆ เจ้านาง”

ยอดหล้าผวาเข้าหา แต่อ่อนแรงนัก ผ้าคลุมเลื่อนตก เห็นผมกร่อน เห็นหนังศีรษะ เกล็ดรอยแยก
คลุมผิวหน้าจนเกือบทั่วหน้า เหลือเพียงดวงตาข้างเดียว หลวงเทพผงะ ยอดหล้าอับอาย ดึงผ้า
ขึ้นคลุม มองหลวงเทพอย่างลังเล หลวงเทพยื่นมือมาให้ยอดหล้าจับ ทั้งคู่อยู่กันคนละด้าน กั้น
ด้วยซี่กรง ยอดหล้ายื่นมือเหี่ยวแห้งคลำหน้าสามี


“ข้ามีบุญนัก ที่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนที่ความตายปิดดวงตาที่เหลือของข้า

“เจ้านาง.. พี่ทำผิดต่อท่าน”

“คนผิดมิใช่พี่ แต่คือดาราราย”

“ไม่ใช่ แต่คือพี่ พี่ผิดเหลือเกิน เจ้านางให้พี่ทุกสิ่ง แต่พี่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนท่านเลย”

“ไม่จริงหรอก เพลงนี้ไง พี่แต่งให้ข้า ข้าจะเล่นให้พี่ฟัง ฟังเพลงของเรา”

“ใช่ เพลงของเรา”

ยอดหล้าบรรเลงเพลงซึง ดวงดาว เสียงเพลงกลับทรงพลัง ไพเราะ ไม่ขาดห้วงราวทุ่มเทพลังที่
เหลือทั้งหมด หลวงเทพนิ่งฟังเพลงน้ำตาคลอ 

“พี่คือดวงตะวัน ข้าคือจันทรา”


เพลงจบลงกลางคัน ซึงเคลื่อนตกจากตัก ยอดหล้าซบพิงกับกรง หลวงเทพผวาเยือก กำเสากรงไว้
แล้วก้มหน้าลง แสงเป็นลำส่องมา ทาบทาอาบร่างยอดหล้า ร่างนั้นยังคงระหงแบบบาง ดูเรืองเรื่อ
งดงามราวที่เคยเป็นมา


 

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 4
 
 
 
ชมทีวีออนไลน์ช่อง 5 แบบสดๆ ได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารบันเทิงทีวีได้อีกช่องทาง
     Facebook.com/TVSociety